โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.222 – ความลับของเกาะ

 

เมื่อได้ยินฮั่นเจียนกล่าว คนอื่นๆก็หันไปมองไป๋หลีอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ทยอยกันพยักหน้า ไม่คิดโต้แย้งใดๆ

 

นั่นเพราะไป๋หลีเป็นคนลงมือ ทั้งยังสามารถสังหารหมาป่าสาวลงได้อย่างง่ายดาย และแม้จะสามารถปลิดชีวิตคนที่มีชื่อเสียงลงได้ แต่กลับยังคงสงบ ไม่แสดงออกถึงความตื่นเต้นดีใจใดๆ –หากใครก็ตามได้พบเจอบุคคลเช่นนี้ ก็คงรู้สึกหวาดกลัวในหัวใจไม่ต่างไปจากพวกเขา!

 

เวลานี้ฮั่นเจียน , ชิหลง และหลิงหวูยี่ต่างกำลังย้อนนึกไปว่าก่อนหน้านี้ตนเคยทำอะไรให้ไป๋หลีรู้สึกโกรธหรือไม่

 

อย่างไรก็ตาม พอนึกไปถึงเรื่องไข่จระเข้มังกร ทั้งหมดก็รู้สึกสุขใจเป็นอย่างยิ่ง

 

“งั้นพวกเราจะแบ่งสินสงครามกันตามนี้ –ของทั้งหมดที่หมาป่าสาวครอบครอง ยกให้ไป๋หลี!”

 

ฉินเฟิงมอบสินสงครามให้ไป๋หลี แต่ไป๋หลีเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ฉินเฟิงจึงเก็บมันลงในอุปกรณ์รูนมิติของตัวเอง

 

“ส่วนไข่จระเข้มังกรมีแค่ 4 ฟอง ดังนั้นพวกเราจะแบ่งกันคนละหนึ่ง ส่วนผมขอวัตถุดิบจากนายพลจระเข้ และอุปกรณ์รูนทั้งหมดของมือปืน ทุกคนคิดว่ายังไง?”

 

อีกสามคนใช้เวลาต่อสู้แค่เพียง 1 / 10 ของฉินเฟิงเท่านั้น ผลงานของพวกเขาไม่เพียงพอที่จะรับอุปกรณ์รูนและวัตถุดิบนายพลสัตว์ร้าย จริงๆแล้วมันไม่พอที่จะได้รับไข่จระเข้เป็นรางวัลด้วยซ้ำ

 

อย่างไรก็ตาม นั่นถือว่าเป็นน้ำใจเล็กๆน้อยๆจากฉินเฟิง

 

ทั้งสามพยักหน้าตกลง จากนั้นฉินเฟิงก็นำอุปกรณ์รูนมิติของมือปืนที่ตายลงออกมา ปล่อยปืนและกระสุนภายในลง ให้ชิหลงเลือกสรรมัน

 

เพราะปัจจุบันพวกเขาติดเกาะ ยังกลับไปไม่ได้ ฉะนั้นจึงไม่สามารถเติมเสบียงรบ จำเป็นต้องยึดมันจากคนอื่นๆเท่านั้น!

 

โดยเฉพาะกระสุนสำหรับชิหลง มันมีจำนวนจำกัด ดังนั้นหลังจากได้รับสินสงคราม เลยต้องหักตามจำนวนของเดิมที่เสียไปอย่างเหมาะสม

 

หลังจากจัดสรรรางวัล ทุกคนก็เคลื่อนตัวออกจากจุดเดิม มองหาแหล่งน้ำเพื่อชะล้างเลือดบนร่างกาย และเริ่มสำรวจเกาะอีกครั้ง

 

ต้องขอบอกว่า บนเกาะที่เป็นรังของสัตว์ร้ายเกาะนี้ อุดมไปด้วยพลังงานมากมาย คล้ายตลอดทั้งสวรรค์และปฐพีเปี่ยมไปด้วยพลังงานทางจิตวิญญาณ

 

ระหว่างที่สูดอากาศเข้าสู่ร่างกาย กำลังภายในจะค่อยๆฟื้นฟูอย่างช้าๆ

 

ทั้งยังผุดไปด้วยสมุนไพรวิญญาณนับไม่ถ้วน ทุกคนเกี่ยวเกี่ยวมันตลอดทาง เพียงวันเดียวไม่ต่างไปจากได้รับโชคก้อนใหญ่

 

นอกเหนือไปจากทีมของฉินเฟิง ยังมีคนอื่นๆเข้ามาที่นี่อีกกว่า 100คน แต่สถานการณ์ของพวกเขาค่อนข้างเลวร้าย

 

เพราะท้ายที่สุดแล้ว มิใช่ทุกคนที่จะแข็งแกร่งเหมือนกับฉินเฟิง

 

เมื่ออันตรายปรากฏขึ้นรอบด้าน พวกเขาก็จำถูกบังคับให้หลบหนี ข้ามผ่านช่วงเวลาแห่งความตายก็หลายครั้ง

 

โชคยังดี ที่บางคนสามารถหนีมาถึงใจกลางเกาะได้ และก็ไม่ทราบสาเหตุเหมือนกันว่าทำไม แต่พวกฝูงจระเข้จู่ๆก็ไม่ไล่ตามพวกเขาอีกต่อไป

 

ตกกลางคืน ช่วงเวลาที่เฝ้าทนต่อสู้มาทั้งวันก็จบลง ในที่สุดเวลาแห่งความสงบก็มาเยือน

 

สัตว์ร้ายจระเข้มังกรล่าถอยไปแล้ว!

 

แม้ฉินเฟิงและคนอื่นๆจะไม่ตระหนักถึงข้อนี้ แต่พวกเขาก็ล่าถอยมาเรื่อยๆจนเข้าถึงใจกลางเกาะโดยไม่ตั้งใจ ดังนั้นเลยได้พบกับผู้ใช้พลังมากมายที่หนีรอดมาได้ และปักหลักอยู่ที่นี่

 

ทว่าจำนวนคนในที่นี้ หากเทียบกับผู้ใช้พลังที่เข้ามาตอนแรก มันน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

 

หลังจากกวาดตาสำรวจผู้ใช้พลังรอบๆ สีหน้าของฮั่นเจียนแปรเปลี่ยนไป

 

เขาก้าวไปหาผู้ใช้พลังเลเวล E คนหนึ่งและเอ่ยถามเสียงหม่น “แล้วหลิวบาเล่า?”

 

สีหน้าของคนตอบกลายเป็นน่าเกลียด เฉลยในที่สุด “ตายแล้ว”

 

ทันใดนั้นบทสนทนากลายเป็นเงียบงันไปครู่หนึ่ง

 

ฮั่นเจียนไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่มเติมอีก เพียงหันหลังกลับ เดินมารวมกลุ่มกับฉินเฟิง

 

คนเหล่านี้ไม่ใช่มือใหม่ ดังนั้นภายในจุดรวมตัวจึงมีการจัดวางแนวป้องกัน ช่วยกันโรยผงขับไล่สัตว์ร้ายระดับสูง กระจายไปรอบๆ ล้อมเป็นค่ายชั่วคราวขึ้นมา

 

ระหว่างฉินเฟิงกำลังตั้งเต็นท์ ฮั่นเจียนก็เดินกลับมา

 

“นายพลฮั่น เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?” ฉินเฟิงเปิดปากถาม

 

ฮั่นเจียนกล่าวเสียงหม่น “หนึ่งในระดับสูงจากสถานชุมชนตงหลิงเสียชีวิตแล้ว ถูกต้อง … เป็นหลิวบา ไม่แน่ใจว่าเธอยังจำเขาได้รึเปล่า”

 

ฉินเฟิงมีหรือจะจดจำไม่ได้

 

ผู้ใช้วรยุทธโบราณคนนี้ เป็นคนเดียวกันกับที่เข้าต่อกรกับราชันย์อัศวิน แต่เขาไม่คาดคิดเลย ว่าอีกฝ่ายจะตกตายลงในสถานที่แบบนี้

 

“แน่นอนผมจำได้!”

 

“หลังจากนี้ไป สถานชุมชนตงหลิงคงวุ่นวายน่าดู เพราะหลิวบาคือกำลังรบสำคัญ ทั้งยังเป็นหนึ่งในกระดูกสันหลังของชุมชน ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาตายไปแล้ว!”

 

แต่เมื่อลองได้ย้อนนึกถึงประสบการณ์ที่ตนเองได้พบเจอในวันนี้ ฮั่นเจียนก็คิดว่ามันสมเหตุสมผล ยิ่งนึกก็ยิ่งขนลุกเกรียว!

 

หากตนไม่ตัดสินใจติดตามฉินเฟิง บางทีอาจจะตายไปแล้วก็ได้!

 

ณ เวลานี้ ทัศนคติที่ฮั่นเจียนมีต่อฉินเฟิงค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป จากแต่เดิมคิดว่าเป็นแค่เจ้าหนูมากพรสวรรค์ ปัจจุบันกลายเป็นเคารพนับถือ

 

 

ภายในค่ายชั่วคราว บรรยากาศยิ่งมายิ่งหนักอึ้ง

 

“มีใครรู้จักปรมาจารย์สร้างตัวเชื่อมต่อมิติรึเปล่า?”

 

“บ้าเอ๊ย ที่พวกเราต้องมาติดอยู่ที่นี่ ต้องเป็นแผนการของใครแน่ๆ!”

 

“ไอ้เกาะบัดซบนี่มันรังจระเข้มังกรชัดๆ! อย่าว่าแต่เรื่องหาสมบัติเลย แค่ไม่โดนฆ่าตายก็บุญเท่าไหร่แล้ว! ”

 

“ฉันไม่รู้จักปรมาจารย์สร้างตัวเชื่อมต่อมิติหรอก แต่ฉันจำได้ว่ามือปืนก่อนหน้านี้ ใช่ .. ไอ้บ้าที่โยนแผ่นหินจนช่องว่างมิติเปิดออกนั่นแหละ มันเป็นคนของเล่ยถัง!”

 

พริบตานั้นฝูงชนกลายเป็นเงียบงัน

 

กลุ่มเล่ยถัง! (ตำหนักสายฟ้า)

 

“ว่ากันว่ากลุ่มเล่ยถัง เหมือนจะกำลังมีปัญหากับพวกระดับสูงของเมืองไห่เมื่อไม่นานมานี้”

 

“ระดับสูงต่อสู้กัน แต่คนระดับล่างอย่างพวกเราดันต้องมีซวยอย่างงั้นหรือ? พวกเราไม่เกี่ยวข้องด้วยซักหน่อย!”

 

“ฮี่ฮี่ คนจากเมืองไห่ที่ติดเกาะในครั้งนี้มีเยอะซะด้วย พวกเขาตัดสินใจกระโจนเข้ามาเพราะอยากได้รับผลประโยชน์ แต่ในความเป็นจริงกลับกลายเป็นไร้ประโยชน์ ทั้งยังเอาชีวิตมาทิ้ง!”

 

ทันใดนั้นผู้คนก็เริ่มถกเถียงกันเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

ยังไม่พอ สายตาของพวกเขายังตกลงบนร่างของชายคนหนึ่ง

 

—ปาหัน!

 

เรื่องราวของกลุ่มธุรกิจใหญ่ มักจะมีเพียงคนของกลุ่มเท่านั้นที่สามารถล่วงรู้ได้

 

แม้จะมีคนระดับสูงจากสถานชุมชนต่างๆอยู่ที่นี่มากมาย แต่คงมีเพียงปาหันคนเดียวที่น่าจะล่วงรู้ถึงเรื่องนี้

 

เพราะเขาไม่เพียงเป็นผู้ที่เข้าต่อกรกับกลุ่มองค์กรมืด แต่ยังเป็นผู้ดูแลตั๋วทั้งสิบใบ หลังจากที่ผู้จ้างวานจากไปแล้ว เขาเลยต้องตามมายังเกาะนี้ด้วย

 

แต่อันที่จริง มันอาจจะไม่ใช่เพราะต้องการรับผิดชอบตามหน้าที่ก็ได้กระมัง? เพราะเมื่อเห็นผลประโยชน์มหาศาลอยู่ตรงหน้า ใครบ้างเล่าจะไม่อยากกระโจนเข้าร่วม?

 

ขอแค่ได้หยิบฉวยวัตถุดิบเล็กๆน้อยๆจากที่นี่ ถึงเวลากลับไปก็ถือว่าได้รับโชคก้อนใหญ่แล้ว

 

“ฉันเองก็ไม่แน่ใจ เพราะทางหวันซ่งของพวกเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเล่ยถัง!”

 

ตั้งแต่แรกที่เล่ยถังเริ่มต้นทำธุรกิจ พวกเขาก็เป็นองค์กรมืดอยู่ก่อนแล้ว ควบคุมตั้งแต่อุตสาหกรรมบันเทิงยันจำหน่ายยาเสพติด เป็นแมลงร้ายอันน่าเกลียดชังสำหรับสถานชุมชนทั้งหมด

 

อย่างไรก็ตาม พวกเขายังไงก็ถือเป็นกลุ่มองค์กร ฉะนั้นเลยเป็นธรรมดา ที่ผู้ก่อตั้งของพวกเขาคือตัวตนทรงพลัง

 

ภายใต้ยุคโลกาวินาศ ผู้แข็งแกร่งจะสามารถสร้างอาณาจักรได้ ทว่าขณะเดียวกันหากผู้แข็งแกร่งสิ้นชีวิตลง อาณาจักรของพวกเขาก็จะล่มสลายลงเช่นกัน

 

ข้อถกเถียงของฝูงชนหยุดลง แต่การสนทนาอย่างลับๆยังคงดำเนินต่อไป

 

“มิน่าเล่าฉันถึงรู้สึกเหมือนกำลังตกอยู่ภายใต้แผนการอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ไม่รู้ว่ามันเป็นแผนของใคร!” ฮั่นเจียนกล่าวเสียงกระซิบ

 

“ที่แท้นี่ก็เป็นความตั้งใจจะให้เหยื่อกินเบ็ด พวกเราทุกคนตกหลุมพรางของมันกันหมด!” ชิหลงกล่าวประชดประชันเล็กน้อย การเข้ามาที่นี่ มิใช่กับกระโจนเข้าสู่กับดักหรอกหรือ?

 

“อย่าคิดมากนักเลย ขอแค่รักษาชีวิตเอาไว้ให้ได้ก็พอ ตอนนี้รีบไปทำสมาธิ ไม่ก็พักผ่อนที่เหนื่อยมาทั้งวันก่อนเถอะ พรุ่งนี้พวกเราคงได้สู้กันอีก”

 

ฉินเฟิงเอ่ยปากกล่าว

 

อันที่จริงแล้ว ในบรรดาคนเหล่านี้ มีเพียงฉินเฟิงเท่านั้น ที่รู้ว่าเหตุการณ์กำลังดำเนินไปในทิศทางไหน

 

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตัวเชื่อมมิติ หรือช่องว่างมิติที่ถูกเปิดออก มันมีความลับที่เกือบทุกคนในที่นี้ยังไม่ล่วงรู้อยู่อีกมากโข!

 

อย่างเช่น เรื่องที่ใจกลางถ้ำใต้ดินของเกาะมี ‘ราชันย์จระเข้มังกร’ อาศัยอยู่

 

เนื่องจากกลุ่มเล่ยถังยุ่งจนไม่สามารถเข้ามากวาดล้างเกาะแห่งนี้ได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นผู้ใช้พลังเลเวล D จากกลุ่มเล่ยถัง นาม ‘เล่ยเฉิน’ จึงตัดสินใจอาศัยประโยชน์จากเรื่องนี้

 

แผนเดิมของเขามิได้ตั้งใจสังหารคนใดคนหนึ่ง แต่ใช้ประโยชน์จากแผ่นหินซึ่งเป็นตัวเชื่อมมิติ ล่อลวงเลเวล E จำนวนมากให้ออกจากเมืองไห่

 

และในปัจจุบัน เมืองไห่แทบจะกลายเป็นว่างเปล่า พวกเขาแทบไม่มีผู้ใช้พลังระดับสูงหลงเหลืออยู่เลย!

 

และทุกอย่างก็เป็นไปตามแผ่นการของกลุ่มเล่ยถัง

 

เพราะตามความทรงจำของฉินเฟิง ครึ่งเดือนต่อจากนี้ กลุ่มเล่ยถังจะได้ขึ้นเป็นผู้นำคนใหม่ของเมืองไห่

 

ส่วนคนก่อนหน้านี้เป็นใครน่ะหรือ?

 

ปั๊ดโถ่! ไอ้คนที่พ่ายแพ้น่ะ ไม่มีใครใส่ใจจะจำชื่อมันหรอก!