โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.202 – ฆ่าหลินเซิง

 

ทั่วทั้งใบหน้าของหลินเซิงซีดเผือด กำลังภายในถูกพรากจาก พลังที่คอยสนับสนุนให้เขายังคงสามารถรักษาชีวิต และกระดูกที่แหลกเหลวให้คงรูป ค่อยๆถดถอดลง

 

“ฉินเฟิง ฉันเสียดาย เสียดายจริงๆที่ในตอนระบุตัวได้ในครั้งแรก ฉันไม่ได้ฆ่าแก!” หลินเซิงกัดฟันกรอด

 

ฉินเฟิงไม่เอ่ยตอบโต้แต่อย่างใด เขาเพียงยกมืออีกข้างขึ้น และปลดปล่อยรังสีแสงสีดำ ตกลงบนร่างของหลินเซิง

 

หลินเซิงจ้องมองมันด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง แม้กำลังภายในของเขาแทบจะไม่หลงเหลือ แต่ก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันคืออะไร

 

“นี่มันอบิลิตี้ธาตุมืด!”

 

ที่แท้ฉินเฟิงเป็นผู้ใช้อบิลิตี้สองประสานอย่างงั้นหรือนี่?

 

ด้วยพรสวรรค์ดังกล่าว ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมผลลัพธ์ถึงกลายเป็นแบบนี้ มิน่าเล่าตอนภูเขาพ่อแม่ลูกฉินเฟิงถึงสามารถต่อกรกับชุดคลุมดำกระหายเลือดได้

 

กลายเป็นว่าฉินเฟิงปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ กลบซ่อนมันไว้ลึกเกินกว่าใครจะค้นเจอ

 

เวลานี้ ในหัวใจของหลินเซิงคล้ายจะพบคำตอบแล้ว ว่าเหตุใดตนถึงพ่ายแพ้

 

ฉินเฟิงยอมเผยความลับนี้ออกมา ก็เพราะเจ้าตัวมองอีกฝ่ายในฐานะคนที่ตายไปแล้ว “ถูกต้อง นี่คืออบิลิตี้ธาตุมืด ฉันสามารถปลุกมันให้ตื่นขึ้นได้ตั้งแต่วันแรกที่ได้รับการฉีดยากระตุ้น แต่ไม่ได้บอกใครออกไป มิฉะนั้น น่ากลัวว่าฉันคงต้องตกนรกทั้งเป็น ถูกจับตัวไปทดลอง กลายเป็นเหยื่อของผู้คอยชักใยอยู่ในเงามืดอย่างแก!”

 

สีหน้าของหลินเซิงแปรเปลี่ยนกลับกลาย เขารับรู้ได้แค่เพียงความหวาดกลัวที่ฟุ้งในจิตใจตน

 

“ยังมีเรื่องอะไรอีกที่แกไม่รู้?”

 

หลินเซิงไม่คิดเลย ว่าเรื่องที่เขาสามารถปิดซ่อนมันจากเจิ้งหยางได้ สุดท้ายจะถูกเปิดโปงโดยฉินเฟิง

 

“ที่ฉันยังไม่รู้น่ะหรือ?” ฉินเฟิงเผยรอยยิ้มเย็นชา “ที่ฉันยังไม่รู้ก็คือ แกเกี่ยวข้องอะไรกับองค์กร Z และแกมีวิธีติดต่อกับพวกมันยังไง?”

 

สภาพของหลินเซิงย่ำแย่มาก และเขาตระหนักดีเกี่ยวกับมัน ว่าอีกไม่นานตนคงสิ้นลมหายใจ ฉะนั้นไม่คิดตอบคำถามฉินเฟิง

 

“ทำไมฉันต้องบอกแก!”

 

“แกจะต้องบอกฉัน!” ฉินเฟิงคาดการณ์ไว้แล้วว่าหลินเซิงจะต้องตอบแบบนี้ นั่นเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงปล่อยให้อีกฝ่ายหลบหนีแต่แรก แล้วค่อยทุบตีอย่างหนักในภายหลัง

 

หากไม่ติดปัญหาเรื่องนี้ ฉินเฟิงคงสังหารหลินเซิงตกตายลงในกระบวนท่าเดียวตั้งแต่ที่ยังอยู่ในคลับอินทรีแล้ว

 

ที่ยังไม่ลงมือ เป็นเพราะฉินเฟิงยังต้องการเบาะแสบางอย่าง

 

ปัจจุบันร่างกายของหลินเซิงถูกทารุณจนบาดเจ็บสาหัส แทบจะไม่อาจฝืนทนไหว จิตสำนึกของเขาเองก็ค่อยๆถดถอยลงเช่นกัน

 

ไป๋หลีไม่รอช้า โน้มกายลงมา เอ่ยปากเปล่งวาจาโดยตรง ดวงตาสีเงินดุจดั่งดาราภายใต้แสงจันทร์ เจิดจรัสจนวิสัยทัศน์ของผู้คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามต้องหลุบตาต่ำลง

 

“จงมองมาที่ฉัน!”

 

เมื่อถูกพลังอำนาจที่เหนือกว่าเข้าจู่โจมอย่างกระทันหัน แม้หลินเซิงจะเป็นผู้ใช้พลังเลเวล E ก็ยังต้องตกอยู่ในห้วงภวังค์ของไป๋หลี

 

ในแววตาของเขา เริ่มกลายเป็นพร่ามัว

 

“คุณรู้จักคนขององค์กร Z ได้ยังไง” เสียงของไป๋หลี ไม่หวานละมุนเหมือนปกติ มันค่อยๆกลายเป็นเคร่งขรึมและจริงจัง

 

เธอยังพอหลงเหลือความทรงจำ ทราบว่าตนเองถูกนำออกมาจากองค์กร Z และแม่ของเธอตกตายลงภายใต้น้ำมือของห้องทดลอง

 

“เป็นผู้จัดการที่มาพบฉัน พวกเราทำข้อตกลงร่วมกัน ฉันคอยลอบอำนวยความสะดวกให้พวกเขา แลกกับการที่พวกเขาช่วยให้ลูกชายฉันกลายเป็นผู้ใช้อบิลิตี้! นอกจากนี้พวกเขายังมอบจดหมายแนะนำคนระดับสูงของเมืองเฉิงหยางให้”

 

เท่าที่ฟังมา นี่มันเป็นแค่การแลกเปลี่ยนกันแบบง่ายๆ

 

“คนที่ว่าคือใคร?” ฉินเฟิงเอ่ยถามทันที

 

แต่ท่าทีของหลินเซิงกลับว่างเปล่า ไม่ยอมตอบคำ

 

“คือใคร?” ไป๋หลีจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากและทวนซ้ำ

 

“เป็นเหลียงกัน!”

 

ฉินเฟิงเดิมคาดไม่ถึง แต่พอลองนึกดูดีๆก็คิดว่ามันสมเหตุสมผล

 

เหลียงกันคนนี้ นับว่าเป็นเบาะแสสำคัญที่จะใช้สืบสาวให้ลึกลงไปจริงๆ

 

“แล้วแกรู้ข้อมูลอื่นๆเกี่ยวกับองค์กร Z อีกรึเปล่า?” ฉินเฟิงกล่าว ไป๋หลีทวนซ้ำ

 

หลินเซิงดูเหมือนจะพยายามขัดขืน แต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากการควบคุมของไป๋หลี สุดท้ายเอ่ยปาก “ไม่รู้เลย!”

 

ไป่หลีเร่งเพิ่มพลังในการควบคุมจิตใจ ป้องกันไม่ให้เขาโกหก

 

พอถูกกดดันโดยพลังสมาธิหนักๆเข้า สุดท้ายความลับที่เก็บลึกไว้ในหัวใจของหลินเซิงก็ถูกเปิดเผยออกมา

 

“หลังจากเหตุการณ์ลักพาตัวผู้ใช้อบิลิตี้ที่เพิ่งถูกฉีดยากระตุ้น ฉันก็คิดว่าเรื่องราวมันอาจจะถูกเปิดเผย และกลัวว่าเจิ้งหยางจะจับได้ ดังนั้นเลยส่งคนไปทำลายห้องทดลอง แต่เขากลับหายตัวไป แต่ห้องทดลองก็ถูกทำลายไปด้วยเช่นกัน”

 

นี่คือสิ่งที่ฉินเฟิงเองก็ทราบ เหตุการณ์ทั้งหมดเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน เขาขบคิดเกี่ยวกับมัน จากนั้นเอ่ยถาม “แล้วเหลียงกันมาพบกับแกด้วยตัวเองรึเปล่า? หรือมีแค่จดหมายแนะนำ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกัน?

 

“ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน” หลินเซิงตอบกลับ

 

“โอเค” ฉินเฟิงโบกมือ

 

ไป๋หลีถอนพลังสมาธิ ที่หลินเซิงสารภาพออกมา คาดว่านั่นน่าจะเป็นทั้งหมดที่เขารู้!

 

หลังไป๋หลีถอนพลัง ในหัวใจของหลินเซิงก็ฟุ้งไปด้วยความตกตะลึง แต่ไม่รีรอให้ได้เอ่ยปากถาม เขาก็รู้สึกได้แค่เพียงความมืดมิด

 

ปัง!

 

ฉินเฟิงฟาดฝ่ามือ บดขยี้ศีรษะของหลินเซิง

 

หลินเซิงอ้าปากตาค้าง ทั้งคนทั้งร่างหมดสิ้นซึ่งเรี่ยวแรง ตกตายอย่างไม่ยุติธรรม!

 

เขาจบชีวิตลงในตรอกมืด เดินตามรอยเดียวกับเจียงเส้าหยาง!

 

“ดูเหมือนว่าแผนสมคบคิดนี้ หลินเซิงจะเป็นคนจัดการมันทั้งหมด , เหลียงกันทำหน้าที่รับผิดชอบเป็นคนประสานงาน , ฐานทดลองรับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการ ในกรณีนี้คาดว่า ทางฝั่งฟูเฉิงเองก็คงตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน”

 

ด้วยความสัมพันธ์อันซับซ้อนนี้ ฉินเฟิงเลยต้องระมัดระวังให้มากขึ้นกว่าเดิม เพราะจากนี้ไป ยิ่งสืบลึกเขาก็ยิ่งมีโอกาสเจอพวกตัวเป้ง แล้วถูกอีกฝ่ายกลืนกินลงไปในคำเดียว

 

เมื่อคิดได้อย่างนั้น เขาจึงเลือกจะพักการสืบสวนเหลียงกันไว้ก่อนชั่วคราว

 

“รอก่อนเถอะ เอาไว้ฉันกลับมาจากเมืองไห่เมื่อไหร่ ฉันจะไปตามตัวเขาอีกครั้ง!” นี่คือข้อสรุปของฉินเฟิง เขาเลือกที่จะทิ้งภาระที่แบกรับมันอยู่ในจิตใจลง

 

หนึ่งมือวาดออก เปลวเพลิงสีแดงดำถูกจุด ร่วงตกลงบนศพของหลินเซิง

 

วินาทีต่อมา ศพก็ลุกเป็นไฟ และมอดเป็นขี้เถ้าอย่างรวดเร็ว เกราะรูนที่สวมทับเอาไว้ภายในถูกเผยออกมา แต่ฉินเฟิงโจมตีหนักมือไปหน่อย อุปกรณ์รูนช่วงขาของหลินเซิงเลยบุบเบี้ยวจนผิดรูป ได้รับความเสียหาย

 

ทว่าช่วงลำตัวกลับยังคงมีสภาพสมบูรณ์ มันเป็นอุปกรณ์รูนสีม่วงเลเวล E ซึ่งมีมูลค่ามหาศาล

 

นอกจากนี้ที่เหลือก็เป็นอุปกรณ์รูนมิติของอีกฝ่าย

 

ในบรรดาคนที่ฉินเฟิงเคยสังหาร หลินเซิงมิใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุด แต่สำหรับเรื่องเงินทอง หากนับเฉพาะรายบุคคล ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขานี่แหละร่ำรวยที่สุด!

 

“เก็บกวาดเรียบร้อย กลับกันเถอะ” ฉินเฟิงหันไปเรียกไป๋หลี บอกให้พาเขากลับไปยังคลับอินทรี

 

 

ณ ขณะนี้ทุกคนในคลับอินทรีได้อพยพออกมาแล้ว แน่นอนว่านั่นเป็นเพราะอบิลิตี้ไฟของฉินเฟิง ที่เกิดการระเบิดในชั้น 4

 

ด้วยอำนาจของผู้ใช้อบิลิตี้เลเวล E สำหรับบุคคลธรรมดาทั่วไป มันคือภัยพิบัติอันน่าสยองเกล้า!

 

เปลวไฟของฉินเฟิงไม่ง่ายที่จะดับลง ลูกค้าทั้งหมดแตกตื่นหนีกระเจิงด้วยความหวาดกลัว

 

และคลับอินทรีในเวลานี้ไร้ซึ้งผู้นำ ฉะนั้นการช่วยเหลือจึงดำเนินไปอย่างเชื่องช้า

 

ฉินเฟิงไม่คิดสนใจเกี่ยวกับมะเร็งร้ายที่คอยเกาะกินเมืองเหล่านี้ เขาพาไป๋หลีก้าวขึ้นไปบนรถ และขับออกจากคลับอินทรีไป

 

ในเวลาเดียวกัน ภายในเงามืด ลูกน้องของหลินเซิงที่ลอบสังเกตการณ์ฉินเฟิงจากระยะไกล ทั้งหมดถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

โชคดีที่ฉินเฟิงไม่คิดนองเลือดในคลับอินทรี แบบนี้ถือว่าพวกเขารอดตายแล้ว!

 

เพียงแต่ว่า …

 

“รองผู้ว่าการหลินไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้าง”

 

“ลองโทรหาเขาดูสิ”

 

“ไม่ไหว ติดต่อไม่ได้เลย”

 

“แบบนี้ก็หมายความว่า … ”

 

“พวกเราจะทำยังไงกันดี? ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับรองผู้ว่าการหลิน เมืองเฉิงเป่ยอาจจะเกิดการสับเปลี่ยนขั้วอำนาจรอบใหม่!”

 

ท่ามกลางฝูงชน บังเกิดความเงียบงันไปพักหนึ่ง ทว่าแววตาของพวกเขากลับแสดงออกไปในทิศทางแตกต่างกันไป และทั้งหมดเหมือนจะนึกขึ้นได้ถึงบางอย่าง

 

แต่กระนั้น ในหัวใจของพวกเขาก็ยังฟุ้งไปด้วยความหวาดกลัว

 

เรื่องที่ฉินเฟิงทำเป็นปัญหาใหญ่มาก เมื่อรถล่องเวหาของเขาขับมาถึงใจกลางสถานชุมชน ยังไม่ถึงทะเลสาบชิงหู อุปกรณ์สื่อสารของเขาก็ดังขึ้น

 

เป็นสายเข้าของเจิ้งหยาง!

 

“ฉินเฟิง ฉันได้รับข่าวมา ว่าเธอกับหลินเซิงเกิดความขัดแย้งกันใช่ไหม? เธอเป็นอะไรรึเปล่า?” เจิ้งหยางเอ่ยถาม ในน้ำเสียงแฝงความกังวลใจเอาไว้เล็กน้อย

 

แต่ที่กังวลใจ มิใช่เรื่องความปลอดภัยของฉินเฟิง หากแต่เป็นความแข็งแกร่งของฉินเฟิงต่างหาก

 

แต่ความกังวลนี้ก็ถูกข่มเอาไว้ด้วยน้ำเสียงที่สงบราบเรียบของเขา

 

ในความเป็นจริงเจิ้งหยางรู้อยู่ก่อนแล้ว

 

เพราะหากหลินเซิงมีเส้นสาย ตัวเขาเองก็มีเส้นสายในอยู่ในเมืองเฉิงหยางเช่นกัน

 

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ฉินเฟิงไปอาละวาดครั้งใหญ่ในตระกูลซิน และโค่นอาวุโสระดับสูงทั้งหมดลง จากนั้นก็เกิดความวุ่นวายตามมา สุดท้ายตระกูลซินถึงคราวล่มสลาย ทุกข่าวสารล้วนถึงหูของเขา!

 

แต่เรื่องที่เจิ้งหยางรู้ดีที่สุด คงไม่พ้นเรื่องที่ว่าฉินเฟิงในปัจจุบัน ได้โผทะยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์จนไม่มีใครสามารถหยุดเอาไว้ได้อีกแล้ว!!!