Ep.18

 

“ซูเฉินเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ เขาคิดว่าตัวเองเป็นผู้วิวัฒนาการรึไง? แต่ต่อให้เขาเป็นผู้วิวัฒนาการ ก็คงไม่สามารถฆ่าซอมบี้มากมายขนาดนี้ได้ในศึกเดียวหรอก!” ในบรรดาชายสองคนในรถ คนร่างผอมที่ดูน่าสมเพชเยาะเย้ยออกมา

 

ในตอนที่มาถึง เขายังไม่เห็นซูเฉินแสดงฝีมือ ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าซูเฉินแข็งแกร่งเพียงใด

 

ส่วนการที่ซูเฉินยืนกรานจะสังหารซอมบี้ฝูงนี้ นอกจากเพราะอยากได้หินพลังจำนวน 100 ก้อนแล้ว ที่เหลือก็เพราะเศษชิ้นส่วน

 

แน่นอน การสังหารซอมบี้จำนวนมากมันไม่ใช่เรื่องง่าย

 

ด้วยกำลังของซูเฉินในฐานะผู้วิวัฒนาการและผู้ศึกษาพลังเพียงลำพัง มันยังไม่มากพอ แต่หากได้รับการช่วยเหลือจากหวู่หยางแล้วล่ะก็ มีโอกาสสูงมากที่จะทำลายซอมบี้ฝูงนี้ได้

 

แต่สำหรับคนอื่นๆ ต่อให้ยอมลดอคติ ถอยออกมาสักหมื่นก้าว พวกเขาก็ยังคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้อยู่ดี วิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้คือขึ้นรถและหลบหนีไป

 

เพื่อให้หวู่หยางเกิดความมั่นใจที่จะร่วมมือ ซูเฉินตัดสินใจแสดงความแข็งแกร่งของเขาออกมา แค่ยกฝ่ามือขึ้นลูกไฟก็ถูกยิงออกไปทันที

 

ภายใต้เสียงระเบิดอันรุนแรง หัวของซอมบี้แหลกเละเป็นชิ้นๆ 

 

ซูเฉินพุ่งไปข้างหน้าพร้อมมีดเขา แสงสะท้อนจากคมมีดวูบไหว เก็บเกี่ยวชีวิตซอมบี้ไม่ต่างจากยามตัดข้าวสาลี เพียงชั่วพริบตา ซอมบี้กว่าสิบตัวถูกสังหารลง

 

“โอ้พระแม่ทรงโปรด!”

 

เมื่อได้เป็นสักขีพยานเหตุการณ์นี้ หวู่หยางอ้าปากจนกรามเกือบค้างด้วยความตกใจ 

 

ในความทรงจำของเขา ความแข็งแกร่งของซูเฉินเรียกได้ว่าอยู่อันดับล่างสุดของทีมทหารรับจ้าง แต่ทำไมจู่ๆเขาถึงแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้?

 

ซูเฉินไม่ใช่แค่เป็นปรมาจารย์มนตรา แต่เขายังเป็นผู้วิวัฒนาการอีกด้วย

 

หวู่หยางไม่ค่อยรู้ข้อมูลเกี่ยวกับปรมาจารย์มนตรามากนัก ดังนั้นไม่ใช่เจนว่าเวทมนต์ของซูเฉินลึกล้ำแค่ไหน 

 

แต่ในฐานะผู้วิวัฒนาการเลเวล 1 เขากระจ่างแจ้งแก่ใจถึงความแข็งแกร่งในสถานะผู้วิวัฒนาการของซูเฉิน

 

ซูเฉินสังหารซอมบี้ไม่ต่างจากหั่นผักปลา ความแข็งแกร่งที่สำแดงมันทรงพลังยิ่งกว่าผู้วิวัฒนาการรุ่นเก่าอย่างเขาเสียอีก

 

ถึงจุดนี้ หวู่หยางไม่สงสัยในความสามารถของซูเฉินอีกต่อไป ไม่สงสัยในคำพูดที่ซูเฉินเอ่ยปากว่าจะสังหารซอมบี้ทั้งฝูง

 

“เขา … เขากลายเป็นคนแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ได้ยังไงกัน?” สีหน้าของชายน่าสมเพชตอนนี้ดูน่าเกลียดถึงขีดสุด

 

ตัวเขาเองก็เป็นสมาชิกของทหารรับจ้างเช่นกัน แม้เขากับซูเฉินจะไม่ได้อยู่ในทีมเดียวกัน แต่ทั้งสองรู้จักกันดี

 

เพราะในอดีต ทั้งเขาและซูเฉินต่างถูกกล่าวขวัญว่าเป็นทหารรับจ้างที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่ม

 

แต่ใครจะไปคิดกัน ว่าแท้จริงแล้วซูเฉินจะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ อีกฝ่ายแกร่งพอที่จะทำให้เขาต้องแหงนหน้ามอง

 

ความห่างชั้นนี้ทำให้เขาเกิดความรู้สึกริษยาอย่างสุดซึ้ง ร่องรอยของความไม่ยินยอมและอาฆาตวาบผ่านเข้ามาในดวงตาเขา

 

“ซูเฉินจะน่าทึ่งเกินไปแล้ว! เขาเป็นอัจฉริยะในการฝึกฝนแท้ๆ!”

 

ข้างๆตันหลินยังมีชายร่างเตี้ยอีกคน เขาไม่ได้มีแต่ความคิดแง่ร้ายเหมือนชายน่าสมเพช หลังจากเห็นสุดยอดความสามารถของซูเฉิน เขาก็ร้องชมด้วยความตื่นเต้น

 

เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ว่าจะมีคนที่สามารถกลายเป็นทั้งปรมาจารย์มนตราและผู้วิวัฒนาการได้ในเวลาเดียวกัน แต่ซูเฉินกลับสามารถทำได้

 

ในใจของเขาตอนนี้ รู้สึกว่าการใช้คำว่าอัจฉริยะกับซูเฉินคงไม่เพียงพอ คำอธิบายที่เหมาะสมควรเป็นคำว่าสัตว์ประหลาดมากกว่า

 

ตันหลินขบริมฝีปากเธอ ดวงตาเปล่งประกายมีชีวิตชีวา

 

ทั้งๆที่เธอเห็นกับตามาก่อนแล้วว่าซูเฉินน่ะแข็งแกร่ง แต่ในตอนนี้ ยิ่งมองเขา หัวใจเธอกลับยิ่งเต้นแรง

 

ในตอนที่ตัดสินใจเลือกซูเฉิน ไม่รู้ว่ามีตั้งกี่คนที่เข้ามาเกลี้ยกล่อมเธอ ทัดทานว่าซูเฉินนั้นไม่คู่ควร

 

แต่สิ่งที่เธอชอบคือความมั่นคง , สติปัญญา , ความมุ่งมั่น และความรับผิดชอบของซูเฉิน ดังนั้นตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะร่วมเคียงข้างเขา

 

เธอมักคิดเสมอมาว่าสักวันหนึ่งซูเฉินจะกลายเป็นคนที่โดดเด่น กลายเป็นตัวตนที่ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนต้องแหงนหน้ามอง

 

แต่ก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน ว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วขนาดนี้

 

ตอนนี้ตันหลินอยากจะตะโกนโห่ร้องด้วยความสะใจ 

 

‘ทุกคนเห็นรึยัง ว่าผู้ชายที่ฉันเลือกยอดเยี่ยมแค่ไหน!’

 

‘อิจฉากันรึเปล่า? อึ้งไปเลยล่ะสิ? รู้สึกเสียดายแล้วใช่ไหม?’

 

‘แต่ขอโทษด้วยนะ รู้สึกตัวกันตอนนี้มันก็สายไปแล้ว!’

 

‘เพราะซูเฉินน่ะเป็นผู้ชายของฉัน –ตันหลินคนนี้จะไม่ยอมปล่อยให้ใครมาแย่งไปทั้งนั้น!’