โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.119 – ฝ่าวงล้อม

 

ฉินเฟิงกล่าวออกไปตามตรง

 

“ฉันต้องการที่จะฝ่าวงล้อมออกไปก็จริง แต่ไม่ได้ตั้งใจจะพาคนจำนวนมากติดตามไปด้วย ตอนนี้พวกคุณก็ได้เห็นกับตาแล้วว่ากองทัพแมลงมันยังไม่ได้รับอาหารเพียงพอเลยออกมาล่าแบบนี้ ดังนั้นหากมี ‘กลุ่มอาหาร’ จำนวนมากออกเคลื่อนไหว นี่ย่อมเป็นการดึงดูดพวกแมลงจำนวนมาก”

 

“ฉันหวังว่าคุณจะเข้าใจ อีกอย่างกองกำลังหลิงหานข้างนอกก็เตรียมการจะบุกเข้ามายึดเมืองคืนอยู่แล้ว ฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ ฉันขอแนะนำว่าควรจะอยู่รอการช่วยเหลือดีกว่า”

 

“ถ้าพวกเราอยากอยู่รอการช่วยเหลือ แล้วพวกเราจะมาที่นี่ทำไม ฉิน …ไม่สิ มิสเตอร์ฉิน คุณคือความหวังเดียว! ฉันหวังว่าคุณจะสามารถพาพวกเราไปด้วย!”

 

หนึ่งในผู้ใช้พลังเลเวล F เปลี่ยนคำเรียกขานกระทันหัน ไม่กล้าเอ่ยชื่อฉินเฟิงตรงๆ

 

ฉินเฟิงกวาดตามอง และพบว่าคนอื่นๆต่างกำลังแสดงสีหน้าวิงวอนเช่นกัน

 

“ถ้าอยากไป งั้นก็รอฟังคำสั่งจากฉัน!”

 

อันดับแรก ฉินเฟิงบอกให้พวกเขาไปรอด้านโรงแรมหลังก่อน เผื่อว่าจะมีใครมาอีก

 

“ส่งข้อความหาคนที่เธอรู้จักซะ บอกไปว่าอีกหนึ่งชั่วโมงฉันจะเริ่มฝ่าวงล้อมออกไปตามเส้นทางนี้” ฉินเฟิงยกอุปกรณ์สื่อสารขึ้นมา แล้วเปิดแผนที่เมืองหาน ลากเส้นไปตามทิศทางหนึ่ง และส่งต่อให้หลิวซู

 

หลิวซูก้มลงมองเส้นทางลากยาวบนแผนที่ บังเกิดความสับสนเล็กน้อย แต่แล้วในหัวใจก็คล้ายนึกอะไรบางอย่างออก

 

“เส้นทางนี้ … นายต้องการจะไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอย่างงั้นหรอ? นี่นายคิดจะช่วยเหลือพวกเด็กๆ?”

 

ฉินเฟิงกล่าวเสียงเย็นชา “ก็ใช่ไง ไม่งั้นฉันจะเลือกเดินทางเส้นนี้ทำไม?”

 

สถานะของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในเมืองหาน ไม่ได้ดีไปกว่าสถานเลี้ยงเด็กในชุมชนเฉิงเป่ย บางทีอาจจะเลวร้ายยิ่งกว่าด้วยซ้ำ ไม่ต้องกล่าวถึงว่าสถานเลี้ยงเด็กตั้งอยู่ในพื้นที่คับแคบ และยังห่างไกลกับประตูเมืองทั้งสอง

 

มันไม่สะดวกต่อการฝ่าวงล้อมเป็นอย่างยิ่ง หากไปตามทิศทางนี้ จะเทียบเท่ากับว่าฉินเฟิงกำลังเดินอ้อมเป็นวงกลม

 

อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงก็ยังตั้งใจที่จะไป

 

เพราะเด็กๆคืออนาคตของโลก ตัวฉินเฟิงเองก็เป็นเด็กกำพร้า ฉะนั้นเขาทราบดีถึงความไร้กำลังของพวกเด็กๆ ในเวลานี้ หากฉินเฟิงไม่ช่วยเหลือพวกเขา ก็คงไม่มีใครคิดช่วยอีกแล้ว

 

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องพวกเขาเป็นกลุ่มที่อ่อนแอ และเปราะบางที่สุดในเมืองหานตอนนี้

 

จู่ๆหลิวซูก็คล้ายรับรู้ถึงความรู้สึกบางอย่างในหัวใจ

 

“ฉันคิดว่านายไม่ชอบช่วยชีวิตคน เพราะเกลียดการให้พวกเขาต้องกลายมาเป็นภาระซะอีก” หลิวซูกล่าว

 

“เธอคิดไม่ผิดนะ พวกเขาเป็นภาระจริงๆ!”

 

ในกรณีนี้ ฉินเฟิงหมายถึงพวกคนที่อยู่ในห้องใต้ดิน

 

อย่างไรก็ตาม หลิวซูเข้าใจผิดอย่างเห็นได้ชัด เธอไม่หวาดกลัวฉินเฟิงอีกต่อไป เจ้าตัวพาลคิดไปว่าความโหดร้ายที่ฉินเฟิงแสดงออกมา มันเป็นเพียงหน้ากากที่เขามีไว้เพื่อเก็บซ่อนความดีงามจากภายในไม่ให้ใครเห็นก็เท่านั้น

 

“ขอบคุณนะฉินเฟิง!” หลิวซูกล่าวด้วยความซาบซึ้ง

 

ฉินเฟิงรู้สึกเหมือนหลิวซูน่าจะเข้าใจอะไรผิดไป แต่เขาก็คร้านเกินกว่าจะพูดอธิบาย

 

หนึ่งชั่วโมงต่อมา คนอื่นๆเริ่มมาสมทบอย่างต่อเนื่อง

 

นอกจากนี้ ยังมีกระทั่งบางคนที่ส่งข้อความผ่านอุปกรณ์สื่อสาร ว่าจะรอสมทบกับกลุ่มของฉินเฟิงระหว่างเส้นทาง

 

ในทำนองเดียวกัน คนที่อยู่ห่างไกลจากเส้นทางหลบหนี เห็นได้ชัดว่าเริ่มคร่ำครวญ พวกเขาส่งข้อความกลับมา หวังว่าฉินเฟิงและคนอื่นๆจะมารับตนเองที่ตำแหน่งนี้เช่นกัน แต่ฉินเฟิงไม่สนใจเลย

 

โชคดีที่หลิวซูไม่ได้โง่ขนาดนั้น เธอเพียงประกาศคำสั่งขอฉินเฟิงแต่ไม่ได้ตอบกลับข้อความใดๆ มิฉะนั้นน่ากลัวว่าฉินเฟิงคงบีบคอเธอจนตาย

 

แน่นอน ว่าการยอมกัดฟันละทิ้งคนอื่นๆแบบนี้ ทำให้หลิวซูรู้สึกปวดร้าวเป็นอย่างมาก

 

“หมดเวลาแล้ว! เตรียมตัวออกเดินทางได้!” ฉินเฟิงประกาศคำสั่งออกไป

 

ในหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา มีผู้คนมาสมทบกับทางฉินเฟิงถึง 200 คนเต็ม ทั้งหมดเป็นคนจากพื้นที่ใกล้เคียง และมีแม้กระทั่งคนที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องพักของโรงแรมตั้งแต่เมื่อวานนี้

 

ปัจจุบัน ผู้ที่สามารถต่อสู้ได้ จริงๆแล้วมีจำนวนค่อนข้างเยอะ ในกลุ่มของฉินเฟิงตอนนี้ มีผู้ใช้พลังเลเวล F มากถึง 13 คน และผู้ใช้พลังเลเวล G อีกมากกว่า 30 คน ที่เหลือเป็นคนธรรมดา

 

อย่างไรก็ตาม เท่านี้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว!

 

“แบ่งกันเป็นทีมละ 10 คน ผู้ใช้พลังเลเวล Fเป็นผู้นำแต่ละทีม แต่ละทีมจะมีผู้ใช้พลังเลเวล G 3 คน ส่วนอีก 7 คนเป็นคนธรรมดา”

 

ฉินเฟิงประกาศคำสั่ง

 

เนื่องจากปัจจุบันเป็นช่วงเวลาวิกฤต ดังนั้นฝูงชนจึงปฏิบัติตามอย่างรวดเร็ว เลเวล F ทั้ง 13 คนปฏิบัติตามคำสั่งของฉินเฟิงทันที เลือกคนในทีมของตัวเอง

 

นี่เป็นเรื่องธรรมดา เพราะถึงเวลาต่อสู้จริงๆ ฉินเฟิงไม่สามารถดูแลคนธรรมดาอย่างทั่วถึงได้ จึงต้องเป็นหน้าที่ของคนเหล่านี้ สำหรับคนธรรมดาที่ติดตามมาได้ นับว่าเป็นวาสนาของพวกเขาแล้ว

 

“ฉันจะพูดประโยคนี้แค่เพียงครั้งเดียว หากใครก็ตามที่เข้าร่วมกับกลุ่มฝ่าวงล้อมของเรา ขอให้เตรียมใจว่าจะไม่ก่อความวุ่นวายขึ้นตามมา รูปแบบกระบวนทัพจะเป็นผู้ใช้อบิลิตี้อยู่ภายนอก คนธรรมดาอยู่ภายใน”

 

“ส่วนฉันจะอยู่หน้าสุด และจะลงมือล่าทหารสัตว์ร้าย , นายพลสัตว์ร้าย หรือกองทัพแมลงเลเวล F จำนวนมากเท่านั้น ห้ามสั่งฉัน หุบปากให้สนิท อย่าตะโกนใส่ฉัน ถ้าคิดว่าทำไม่ได้ก็ไปหาเทปกาวมาปิดปากซะ!”

 

แม้ว่าคำประกาศของฉินเฟิงจะดูรุนแรง แต่มันก็เพื่อประโยชน์และความปลอดภัยของทุกคน

 

มีแม่คนหนึ่งถึงขั้นเกิดความคิดลงมือทำจริงๆ เธอเอาเทปกาวออกมา และปิดปากลูกสาวตัวเองเอาไว้ นอกจากนี้ยังปิดปากของตัวเอง ในแววตาฉายถึงความตั้งใจเด็ดเดี่ยวว่า–

 

–อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว จะต้องฝ่าวงล้อมออกไปให้ได้!

 

ฉินเฟิงมองไปทางแม่คนนั้น เขาพยักหน้าให้เธอและกล่าวว่า “คุณมาอยู่ทีมเดียวกันกับผม”

 

เห็นได้ชัดว่าแม่ไม่คาดคิดว่าฉินเฟิงจะเลือกเธอ เจ้าตัวรู้สึกปลาบปลื้มมาก เพราะยังไงซะ ฉินเฟิงคือหัวใจสำคัญของกลุ่มฝ่าวงล้อมนี้ เป็นการดำรงอยู่ที่แข็งแกร่งที่สุด

 

นอกเหนือไปจากฉินเฟิง ยังมีวังเฉินอีกคนหนึ่งอยู่ในกลุ่มของพวกเขา ที่เหลือจะเป็นลุงหลิว , ภรรยาลุง , พนักงานสี่คน , แม่และลูกสาว ทั้งสิ้นสิบคน

 

แล้วเหตุใดทีมย่อยของฉินเฟิงถึงมีเลเวล F ตั้ง2 คน? แน่นอน นั่นก็เพราะฉินเฟิงไม่ต้องการให้ลุงหลิวกับภรรยาเขาได้รับบาดเจ็บแม้เพียงเล็กน้อย เลยต้องป้องกันไว้ก่อน

 

“เริ่มออกเดินทางได้”

 

ฉินเฟิงชูมือขึ้น และเดินนำออกจากโรงแรม

 

กลุ่มแมลงโดยรอบถูกเก็บกวาดหมดแล้วโดยฉินเฟิง หลังจากออกมาข้างนอก สถานการณ์เลยยังดูปลอดภัยมาก

 

มีแมลง 1 – 2 ตัวโผล่มาบ้างตามรายทาง แต่ทั้งหมดก็ถูกคนอื่นๆกำจัดอย่างรวดเร็ว

 

ในความเป็นจริงแล้ว ตราบใดที่สถานการณ์ไม่ร้ายแรงจนเกินไป ผู้ใช้พลังอย่างไรเสียก็คือผู้ใช้พลัง พวกเขาทำหน้าที่ได้ดี และน่าประทับใจมาก นี่นับว่าเพียงพอที่จะรับมือกับสถานการณ์ปัจจุบัน!

 

แต่แน่นอน ว่าระหว่างการฝ่าวงล้อม ยังไงก็ต้องมีอุบัติเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นเสมอ ความตายและการบาดเจ็บเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

 

หึ่ง หึ่ง!

 

จู่ๆก็มีแมลงสีดำจำนวนมากบินออกมาจากมุมตึกอย่างกระทันหัน พวกมันคือหนึ่งในแมลงที่น่าหวาดกลัวที่สุด —ด้วงกระหายเลือด!

 

และด้วงกระหายเลือด คือสัตว์ร้ายเลเวล F! ไม่เพียงบินได้ แต่ยังครอบครองความสามารถในการรับรู้กลิ่นเลือดในรัศมีหนึ่งกิโลเมตร ซึ่งเลือดที่ว่าเกิดจากมีผู้ได้รับบาดเจ็บในการต่อสู้ระหว่างทาง กลิ่นอาหารที่หอมหวลเลยโชยไปแตะจมูกพวกมัน

ด้วงกระหายเลือดทำการปิดล้อมกลุ่มของฉินเฟิงทันที!

 

มีมากกว่า 30 ตัวในฝูงของพวกมัน หัวหน้าฝูงคือด้วงกระหายเลือดที่มีขนาดตัวใหญ่หว่า 2 เมตร เป็นนายพลสัตว์ร้าย นอกจากนี้ยังมีด้วงระดับทหาร ขนาดตัวราวๆ 1.5 เมตร !

 

สำหรับพวกสัตว์ร้าย ไม่ว่าจะเป็นตัวใดก็ตาม หลังจากที่ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ความแข็งแกร่งของมันย่อมเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และนี่ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะรับมือได้!

 

ด้วงกระหายเลือดขนาด 1.5 เมตรแทบจะมีขนาดตัวเกือบเท่ากับมนุษย์ และในแง่ของความแข็งแกร่งที่พัฒนาตามขนาดตัว มันสามารถสังหารผู้ใช้พลังเลเวล F ได้ในเวลาไม่กี่วินาที

 

ฉินเฟิงกระโดดขึ้นควบม้าศึกทันใด มือฉกคว้าด้ามจับที่แขวนไว้ตรงเอว –มีดกษัตริย์ครามเผยโฉมออกจากฝักในทันใด

 

แสงสีทองพร่างพราวทำให้ผู้คนรู้สึกดวงตาพร่ามัว ตามต่อด้วยเปลวเพลิงที่พวยพุ่ง

 

ม้าศึกดีดตัวขึ้น ควบทะยานไปในอากาศ ต้อนรับการมาเยือนของด้วงกระหายเลือด

 

“จงสะบั้น!”

 

ยามเมื่อมีดกษัตริย์ครามที่มิอาจทำลายได้ ผสานรวมกับท่ามีดเปลวเพลิงและสับลง นายพลสัตว์ร้ายยังไม่ทันตอบสนอง ก็ถูกผ่าเป็นสองซีกไปแล้วโดยฉินเฟิง

 

มีดกษัตริย์ครามวาดออกไปในแนวนอนอีกครั้ง

 

“ระบำดอกไม้ไฟ!”

 

เปลวเพลิงรูปพัดปะทุโหม กวาดผ่านด้วงกระหายเลือดในอากาศ

 

กลุ่มด้วงกระหายเลือดพลันถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิง ส่งเสียงกรีดร้องลั่นน่าหวาดกลัว แต่ในพริบตามันก็กลายเป็นสีโค้ก ร่วงตกลงกับพื้น

 

ฉินเฟิงโจมตีอีกครั้ง และอีกครั้ง ไม่นาน ด้วงกระหายเลือดส่วนใหญ่ที่บุกเข้ามาก็ถูกเก็บจนแทบเกลี้ยง!

 

เหลือเพียงด้วงกระหายเลือดอีก 2 – 3 ตัวที่สามารถหลบเลี่ยงการโจมตีของฉินเฟิงได้ มันพุ่งเข้าไปในฝูงชนทันที ทันใดนั้นก็เกิดความวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง แต่โชคยังดี ที่มันถูกสังหารลงอย่างรวดเร็วโดยผู้ใช้พลังเลเวล F

 

นี่เองคือข้อดีของการซอยทีมย่อย แล้วกระจายกำลังกัน —การฝ่าวงล้อมยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

 

ทว่าพวกแมลงมีจำนวนมากเกินไป ในเวลาหนึ่งชั่วโมง พวกเขาสามารถเดินไปได้แค่ 3 ช่วงตึกเท่านั้น ซึ่งหากเป็นในเวลาปกติ มันอาจจะใช้เวลาเดินแค่ไม่ถึง 10 นาที …