Ep.1004 – ความแข็งแกร่งและความกลัว

ทุกสิ่งที่ฉินเฟิงทำ ตงหยางและเจียวหลินฮานที่อยู่ในระยะไกล สามารถเห็นมันได้ทุกฉากทุกตอน

ไป๋หลีสลายพื้นที่มิติ ทว่าตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ตงหยางยังคงรู้สึกราวกับฝัน

“ฉินเฟิง ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน .. คุณมาถึงเลเวล S ตั้งแต่เมื่อไหร่ … ” ตงหยางกล่าวตะกุกตะกัก ก่อนรีบส่ายหัวอย่างรวดเร็ว “ไม่ ไม่ใช่สิ เพราะตัวคุณในตอนนี้ ได้ยกระดับไปขั้น S1 แล้ว”

ก่อนหน้านี้ฉินเฟิงไม่ได้เปิดเผยความแข็งแกร่งของเขาอย่างเต็มรูปแบบ เจ้าตัวใช้ให้ไป๋หลีทำหน้าที่แทนตลอด

ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากฉินเฟิงยกระดับได้รวดเร็วเกินไป ดังนั้นเมื่อมาถึงขอบเขตใหม่ เขาเลยยังไม่ได้ไปทดสอบการรับรองเลเวล S เพื่อรับตราของโลกมนุษย์

ประกอบกับในพันธมิตรมนุษย์ที่แท้จริง ฉินเฟิงได้ทำการทดสอบและผ่านเกณฑ์แล้ว ดังนั้นเขาเลยไม่อยากจะเข้าทดสอบซ้ำสองอีก

ตงหยางเฝ้ามองฉินเฟิงค่อยๆก้าวเข้ามา เขาไม่นึกไม่ฝันเลย ว่าฉินเฟิงจะมาถึงเลเวล S แล้ว!

อย่างไรก็ตามตอนนี้เมื่อพบเจอ ก็พบว่าฉินเฟิงไม่ใช่แค่เลเวล S อีกต่อไป แต่ได้มาถึงขั้น S1 แล้ว

ไม่เพียงแต่เขาสามารถไปถึงเลเวล S1 เท่านั้น แต่ยามลงมือ กลับสามารถสังหารอันโดรได้

อันโดรมิใช่บุคคลไร้ชื่อเสียงเรียงนาม แต่เจ้าตัวคือขุมกำลังในเลเวล SS นับเป็นการดำรงอยู่ระดับสูงสุด แต่กลับถูกฉินเฟิงสังหารด้วยวิธีเช่นนี้

ข่าวดังกล่าว ถ้าถูกส่งออกไป จะทำให้เกิดความโกลาหลเพียงใดกัน?

“ใช่แล้วครับ แต่ตอนนี้ผมต้องขอแสดงความยินดีกับจ้าวพรมแดนตง ที่สามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตของเลเวล S ได้” ฉินเฟิงกล่าว

“ยินดี! และฉันขอแสดงความยินดีกับคุณด้วยเช่นกัน!” ตงหยาง กล่าวด้วยความสุข แต่สิ่งที่ปรากฏบนใบหน้าเขา กลับเป็นรอยยิ้มขมขื่น เดิมการยกระดับสู่เลเวล S เป็นเรื่องน่ายินดี แต่พอมาเทียบกับฉินเฟิงแล้ว ทั้งหมดที่เขาได้รับมามันเหมือนจะไม่มีค่าเลย

“จ้าวพรมแดนตง เมื่อครู่ผมถูกบังคับให้ต้องลงมือ แต่การสังหารอันโดร จะนำมาซึ่งผลกระทบอันยิ่งใหญ่เช่นกัน ฉะนั้นจะดีกว่าไหมถ้าพวกเราเก็บเป็นความลับ เรื่องในครั้งนี้ ขอให้แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นมาก่อน ฟังดูเป็นอย่างไร?”

หากไม่สังหารอันโดร ก็จะเป็นฉินเฟิงที่ถูกฆ่า ประเด็นก็คือยังมีกองกำลังอีกมากมายภายใต้สังกัดของอันโดร ในนั้นมีอย่างน้อย 9 ผู้ใช้พลังเลเวล S สถานการณ์เช่นนี้ หากฉินเฟิงถูกเปิดโปงว่าสังหารอันโดร คงจะสร้างปัญหาให้เขาไม่น้อย

ถึงแม้ว่าปัญหานั้นจะสามารถปัดรังควานได้ด้วยมือเดียว แต่ฉินเฟิงไม่มั่นใจคนเหล่านั้นอาจมุ่งไปแก้แค้นกับกลุ่มเฟิงหลีแทน

อย่าลืมสิว่าฉินเฟิงไม่สามารถอยู่ในมิติโลกมนุษย์ได้ตลอดเวลา อย่างน้อยก็ในเวลานี้ เพราะฉินเฟิงตั้งใจจะเข้าไปในมิติอักษรรูนเบื้องหน้านี้

“แน่นอน ไม่มีปัญหา เพราะเรื่องแบบนี้ เกรงว่าพูดไปคงไม่มีใครเชื่อ!”ตงหยางกล่าว

“แล้วท่านผู้ใหญ่เจียวคิดเห็นว่าอย่างไร?” ฉินเฟิงสอบถามเจียวหลินฮานซึ่งเวลานี้อยู่ห่างออกไปเป็นพันเมตรด้วยพลังสมาธิ

เจียวหลินฮานสะดุ้ง ใช้วิชาตัวเบาวิ่งเข้ามาดั่งสายฟ้าฟาด ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มประจบสอพลอ

“จอมพลฉินอย่าเรียกฉันว่าท่านผู้ใหญ่เจียวเลย ฉันรับไว้ไม่ได้จริงๆ ส่วนเรื่องที่คุณขอ บอกเลยว่าไม่มีปัญหา ฉันไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”

เจียวหลินฮานไม่ใช่คนโง่ เอาจริงๆตอนนี้ในหัวใจยังรู้สึกหวาดกลัวมาก

ก่อนหน้านี้เขาต้องการดึงตัวฉินเฟิง แถมสุดท้ายยังข้ามหน้าข้ามตาอีกฝ่าย คิดแทงข้างหลังล่อลวงไป๋หลี

พอมาลองย้อนคิดดูตอนนี้ เจียวหลินฮานอยากจะตบหน้าตัวเองจริงๆ

โชคดีมากๆที่ฉินเฟิงไม่ตำหนิเขา

“มันก็แค่การเรียกขาน คุณไม่จำเป็นต้องใส่ใจมากนัก ถ้ามีใครตามมาสมทบอีก ขอให้บอกไปว่าอันโดรได้เข้าไปสำรวจข้างในรอยแยกมิตินี้แล้ว!”

อบิลิตี้ที่ฉินเฟิงปลดปล่อยออกมามันรุนแรงเกินไป แต่อำนาจทำลายล้างของมันยังมาพร้อมกับความสามารถในการบดบังการรับรู้ ดังนั้นพลังสมาธิของเหล่านตัวตนทรงอำนาจที่อยู่ในระยะไกลจึงถูกบดบังชั่วคราว ไม่สามารถตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมด

ไม่นานเกินไป ผู้ใช้พลังคนใหม่ก็ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ อีกทั้งผู้มาเยือนนี้ยังเป็นหุ้นส่วนของฉินเฟิง –หนานกงซีหมิง

หนานกงซีหมิงพอเห็นตงหยางและคนอื่นๆ ก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย

“เจียวหลินฮาน , ตงหยาง , ฉินเฟิง , มิสไป๋ ไม่นึกเลยว่าพวกคุณก็มาที่นี่!”

ฉินเฟิงกับคนอื่นๆกล่าวทักทายตอบ ไม่นึกเหมือนกันว่าผู้มาเยือนจะเป็นหนานกงซีหมิง

หนานกงซีหมิงกวาดสำรวจทุกคน เพราะท้ายที่สุดแล้วกลิ่นอายเมื่อครู่รุนแรงเกินไป พอเห็นคนในที่นี้ ในที่สุดเขาก็พบสาเหตุ

“จ้าวพรมแดนตง ขอแสดงความยินดีที่สามารถก้าวสู่ขอบเขตเลเวล S ” หนานกงซีหมิงกล่าว

“ฉันไม่ใช่คนเดียวที่ยกระดับหรอกนะ แต่ฉินเฟิงในตอนนี้ก็เป็นเลเวล S แล้วเหมือนกัน!” เมื่อได้รับคำยินดีจากซีหมิง และมีฉินเฟิงคอยเปรียบเทียบ ตงหยางไม่อยากรับหน้าเลยจริงๆ

หนานกงซีหมิงหัวเราะ “ก่อนหน้านี้ฉันกับฉินเฟิงทำสัญญาพัฒนามิติร่วมกัน ฉันรู้อยู่แล้วว่าเขามีความแข็งแกร่งในเลเวล S จะยกระดับได้เป็นเรื่องปกติ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังก้าวนำหน้าคุณไปแล้ว เขาได้เข้าร่วมกับพันธมิตรมนุษย์ที่แท้จริง ที่มีไว้สำหรับเลเวล S ขึ้นไปเท่านั้น เอาไว้ฉันจะพาคุณไปลงทะเบียนในภายหลัง”

“ขอบพระคุณจริงๆ ฉันพร้อมเสมอ!”

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ท่านผู้ใหญ่หนานกง อย่าได้คิดเข้ามาก้าวก่ายงานของฉัน เรื่องลงทะเบียน ฉันจะจัดการให้ตงหยางเอง!” เจียวหลินฮานกล่าว

“เช่นนั้นก็ช่วยประหยัดเวลาฉันได้มาก แต่ว่านะจ้าวพรมแดนตง หลังจากนี้ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นอย่าหาว่าฉันไม่ช่วยเหลือล่ะ!”

“ผู้น้อยมิกล้า มิกล้า!”

ทั้งสามสนทนากันไม่กี่คำ หนานกงซีหมิงก็ฉุกคิดถึงจุดประสงค์ของการมาที่นี่ เขามองไปยังรอยแยกขนาดใหญ่ บรรยากาศที่เคยชื่นชมยินดีกับตงหยางก่อนหน้านี้ มลายหายไป

“เจ้ารอยแยกนี้ เกรงว่าอาจเกิดขึ้นโดยฝีมือของสัตว์ยักษ์มิติ  –อ้อจริงสิ ก่อนหน้านี้มีอำนาจบางอย่างปรากฏขึ้นใช่หรือไม่? ไม่น่าจะผิดพลาด เพราะฉันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบางอย่าง!”

ตงหยางกับเจียวหลินฮานพยายามระงับอาการและสีหน้าของพวกเขา ทั้งสองพยายามปิดซ่อนความลับนี้ แต่ตอนนี้พวกเขายังอยู่ในระหว่างช็อก ดังนั้นคิดไม่ทันว่าจะยกข้ออ้างอะไรขึ้นมาบอกกับหนานกงซีหมิงดี

ยังไงก็ตาม ฉินเฟิงเยือกเย็นกว่าพวกเขามาก นี่ไม่ใช่เลเวล SS คนแรกที่ฉินเฟิงฆ่า และย่อมไม่ใช่คนสุดท้ายเช่นกัน

ดังนั้น ใจเขาเลยสงบ สามารถเอ่ยคำพูดที่เตรียมเอาไว้ออกไป

“แม้ว่ารอยแยกมิติจะปรากฏขึ้น แต่ไม่ได้มีสัตว์ร้ายรุกรานเข้ามา ไม่เพียงแค่นั้น แต่ที่นี่ยังมีรูนอยู่เป็นจำนวนมหาศาล ซึ่งสำหรับผู้ใช้อบิลิตี้แล้วน่าจะเข้าใจดีว่ามันหมายความว่ายังไง สำหรับกลิ่นอายรุนแรงเมื่อครู่นี้ ที่จริงแล้วเป็นของอันโดรจากกองกำลังมืดแห่งรัสเซีย!”

“จอมเชือดคนนั้นน่ะหรอ? แล้วคุณเป็นอย่างไรบ้าง เขาได้ทำอะไรคุณรึเปล่า?”

ฉินเฟิงโกหกโดยไม่กระพริบตา กล่าวเสียงหนักแน่น “ผมไม่เป็นไร ตอนแรกผมเกือบโดนเขาฆ่า แต่โชคดีที่ผมพกสมบัติล้ำค่าติดตัวเลยรอดมาได้ แต่เพื่อแลกกับชีวิต สมบัติชิ้นนั้นได้สลายไปแล้ว อันโดรไม่ได้สนใจกับเรื่องนี้ มุ่งหน้าเข้าสู่รอยแยกมิติทันที แต่ก่อนไปเหมือนเขาจะพูดอะไรบางอย่าง ประมาณว่ามิติอักษรรูน … ผมคิดว่าเขาคงรู้จักมิติแห่งนี้! ”

“มิติอักษรรูน ..?” หนานกงซีหมิงนิ่งไปพักหนึ่ง “หรือว่าจะเป็น … ”

“ท่านผู้ใหญ่หนานกงทราบด้วยหรือว่ารอยแยกมิตินี้จะนำไปสู่ที่ใด?” ตงหยางเห็นฉินเฟิงพ่นคำโกหกในลมหายใจเดียวก็เข้าเสริมทันที เขาไม่อยากพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของอันโดรอีกต่อไป ดังนั้นช่วยฉินเฟิงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

แต่อันที่จริงเขาก็อยากรู้เหมือนกัน ว่ามิติอักษรรูนคืออะไร เจ้าสิ่งที่แม้แต่อันโดรยังเห็นว่าดี มันจะมีอะไรอยู่ข้างในกันแน่นะ?

ฉินเฟิงก็แสร้งแสดงท่าทีอยากรู้อยากเห็น โน้มตัวลงมานิดหน่อย เหมือนกำลังให้ความสนใจในเวลานี้ ในความเป็นจริงแล้ว ในชีวิตก่อน ฉินเฟิงเองก็ไม่ค่อยรู้หรอกว่าด้านในรอยแยกมิติมีสภาพเช่นใด เขารู้แค่ว่าในมหาสมุทรเขตนี้ มีเพียงผู้ใช้พลังเลเวล S เท่านั้นที่เหยียบย่างเข้ามาได้

“มิติอักษรรูน กับมิติที่พวกเราอาศัยอยู่ในตอนนี้ มันต่างกันอย่างสิ้นเชิง ฉันเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณ จึงไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวนัก แต่ไม่ต้องสงสัยเลย ว่ามิติอักษรรูน สำหรับผู้ใช้อบิลิตี้แล้ว มันคือโอกาสที่สวรรค์ประทานให้!”

ประโยคนี้ เหมือนกับที่อันโดรเคยกล่าวทุกประการ