Ep.815

 

ซูเฉินไม่มีท่าทีตื่นตระหนกใดๆ ขณะที่มือยักษ์ไททันคว้าใกล้เข้ามา ทันใดนั้นพลังจิตของเขาถูกปลดปล่อยออกไป

 

“อาศัยแค่พลังจิต คิดหรือว่าจะหยุดข้าได้!”

 

ยักษ์ไททันสะบัดมือด้วยความโกรธ ฉีกทำลายพลังจิตที่โถมเข้าคลุมร่างกายภายนอกของเขา

 

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมัวแต่จดจ่อสมาธิอยู่กับสิ่งนี้ ยามพลังจิตพังทลาย เขาก็ไม่พบร่องรอยของซูเฉินแล้ว

 

“มันหายไปไหน?”

 

ยักษ์ไททันหันหัวไปมา มองไปรอบๆ

 

แต่ในเวลานั้นเอง เสียงลมหวีดหวิวชวนให้หนาวสะท้านดังขึ้นเหนือหัวเขา

 

“ไม่ต้องมองหาแล้ว บิดาอยู่นี่!”

 

“ชิบหายแล้ว!”

 

ในจังหวะที่ยักษ์ไททันตระหนักถึงสิ่งผิดปกติ ศีรษะขนาดใหญ่ของมันก็ถูกกระแทกอย่างแรง

 

แรงปะทะในครั้งนี้รุนแรงมาก กระแทกทีเดียวสั่นสะท้านไปทั้งตัว ในสมองส่งเสียงหึ่ง หึ่ง ดังไม่หยุด แต่ยังยืนหยัดได้ไม่ล้มลง

 

“ทนไม้ทนมือใช้ได้เลยนี่”

 

ซูเฉินแค่นเสียงเย็น กุม [ภูเขาหยวนเหออู่จี๋] ไว้ในมือและทุบลงไปอีกครั้ง

 

ได้ยินเสียงปัง! ดังกึกก้อง

 

ยักษ์ไททันถูกทุบอย่างแรงอีกครั้ง คราวนี้หัวครึ่งซีกบุบเป็นหลุม ร่างส่ายโงนเงน สุดท้ายล้มตึงลงกับพื้น

 

เสมือนขุนเขาลูกใหญ่พังทลาย แผ่นดินสั่นสะเทือนไม่หยุด

 

ซูเฉินลอยลงจากอากาศ [ภูเขาหยวนเหออู่จี๋] ในมือเขาดุจดั่งค้อนใหญ่ ทุบลงบนหัวยักษ์ไททันไม่หยุด

 

ปั๊ก ปั๊ก ปั๊ก ..!

 

ตามด้วยเสียงดังกึกก้อง ร่างใหญ่โตของยักษ์ไททันกระตุกวูบ กล้ามเนื้อที่แข็งเกร็งคลายลง สูญสิ้นกลิ่นอายแห่งชีวิตไปอย่างสิ้นเชิง

 

ตอนนี้พอก้มลงมองหัวยักษ์ไททันอีกที ก็พบว่ามันถูกบดกลายเป็นซอสเนื้อไปแล้ว

 

ช่างเป็นวิธีโจมตีศัตรูอันโหดเหี้ยม!

 

พละกำลังของเขาช่างมหาศาลอะไรเยี่ยงนี้!

 

ได้เห็นสักขีพยานของฉากที่เกิดขึ้น ฉีมู่อวี้กลืนน้ำลายลงคออย่างแรง

 

ยักษ์ไททันขั้น 10 กลับถูกซูเฉินสังหารโดยไร้ซึ่งการต่อต้านใดๆ

 

ฉากอันโหดร้ายนี้ สร้างความกระทบกระเทือนจิตใจของเธอเป็นอย่างมาก

 

“เขาคือซูเฉินคนนั้นจริงๆ ไม่น่าจะผิดคนแล้ว!”

 

ฉีมู่เสวี่ยที่อยู่ข้างๆเธอ ฟันกระทบดังกึกๆ

 

จริงดังข่าวลือ ซูเฉินแข็งแกร่งยิ่งกว่าใคร อีกทั้งยังเป็นคนเลือดเย็นและไร้ปราณี พฤติกรรมที่ชายหนุ่มเบื้องหน้าแสดงออกมา บ่งบอกว่าคือซูเฉินตัวจริงไม่มีปลอมแปลง!

 

หลังจากยืนยันสถานะของซูเฉินได้แล้ว ฉีมู่เสวี่ยจู่ๆก็เริ่มประหม่าขึ้นมา เหงื่อเย็นหยดย้อยลงจากหน้าผากเธอ

 

อีกด้านหนึ่ง ซูเฉินรวบรวมชิ้นส่วนที่ดรอป เบนสายตามองชาวก็อบลิน ดวงตาทอประกายเย็นเยียบ

 

“ผู้อาวุโสโปรดไว้ชีวิต!”

 

ชาวก็อบลินคุกเข่าแทบเท้า ตัวสั่นงันงก หลังจากได้เห็นพลังอันยิ่งใหญ่และการโจมตีศัตรูอันโหดร้ายของซูเฉิน มันก็หวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ

 

แม้แต่ความคิดที่จะหลบหนีก็สลายหายไป

 

ซูเฉินไม่สนไม่แคร์คำขอ ปลดปล่อยพลังจิต บดขยี้มันเป็นผุยผง

 

หลังจากรวบรวมชิ้นส่วน เขาก็กลับไปยัง [รถศึกอัจฉริยะ]

 

“เสี่ยวจือ เดินทางต่อได้”

 

ซูเฉินออกคำสั่ง หันไปพูดกับฉีมู่อวี้ว่า “ฉันจัดการปัญหาให้พวกแกแล้ว อย่าลืมคำสัญญาล่ะ”

 

“เจ้าวางใจได้ พวกเราจะมอบหินพลังงานขั้น 10 จำนวนหกสิบก้อนแก่เจ้าอย่างแน่นอน ไม่เบี้ยวหนี้เด็ดขาด” ฉีมู่เสวี่ยกล่าว

 

“เอ๋?”

 

ซูเฉินรู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ฉีมู่เสวี่ยเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายแบบนี้?

 

แต่เขาก็ไม่คิดอะไรมาก เอนตัวลงบนเบาะที่นั่งคนขับ เริ่มพักผ่อนต่อ

 

ฉีมู่เสวี่ยถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ผ่อนคลายลงคล้ายได้ยกตะกั่วหนักออกจากใจ

 

หลังจากนั้น [รถศึกอัจฉริยะ] วิ่งไปตลอดทาง ใช้เวลาสองสามวันในที่สุดก็มาถึงเมืองเยว่กวง

 

ซูเฉินทำตามข้อตกลงก่อนหน้านี้ นำสิ่งประดิษฐ์เทวะคืนแก่ทั้งสอง และปล่อยตัวพี่น้องตระกูลฉีไป

 

จากนั้น เขาใส่ [รถศึกอัจฉริยะ] ลงในถุงเก็บของ และก้าวเข้าสู่เมืองเยว่กวงพร้อมอู๋หยาจื่อและคนอื่นๆ

 

เนื่องจากงานประมูลกำลังจะเริ่มขึ้น ในเวลานี้เมืองเยว่กวงเลยครึกครื้นเป็นพิเศษ

 

ไม่เพียงแต่มีชาวเอลฟ์มากมายมารวมตัวกัน แต่ยังมีพวกต่างเผ่าอื่นๆอีกไม่น้อย

 

และระดับฐานฝึกตนของพวกต่างเผ่าเหล่านี้ ล้วนไม่ได้อ่อนแอ ส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกตนขั้น 9 ขึ้นไปทั้งสิ้น

 

Ep.816

 

“ชาวเผ่าเอลฟ์กล้าปล่อยให้ผู้แข็งแกร่งมากมายเข้ามาในเมืองเย่วกวงได้ยังไง ไม่กลัวว่าจะมีปัญหาหรือ?”

 

ซูเฉินหรี่ตา กวาดมองไปรอบๆ พึมพำออกมาเบาๆ

 

กำลังรบโดยรวมของเผ่าเอลฟ์ด้อยกว่ามนุษย์ด้วยซ้ำ แต่พวกเขากลับยังกล้าปล่อยให้ผู้แข็งแกร่งเข้ามาเยอะถึงขนาดนี้ ขนาดทวีปเสวียนเทียนยังไม่กล้าทำเลย

 

อู๋หยาจื่อที่อยู่ข้างๆเขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ซูเฉิน อันที่จริงเจ้าอาจยังไม่รู้ ว่าในเมืองเยว่กวง แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้น 10 ก็ยังไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม”

 

“ทำไมกัน?”

 

ซูเฉินถามด้วยความสงสัย หรือว่าเมืองเยว่กวงมีนักรบเผ่าเอลฟ์ที่แข็งแกร่งอยู่? และความแข็งแกร่งของคนผู้นั้น มากพอที่จะสะกดให้ชาวต่างเผ่าทั้งหมดหวาดกลัวได้?

 

อู๋หยาจื่ออธิบาย “เพราะเมืองเยว่กวง แท้จริงแล้วคือสิ่งประดิษฐ์เทวะระดับสูง พลังของมัน หากสำแดงออกมา จะเทียบเปรียบได้เลยกับอาวุธเทวะ ผู้ใดกล้าอาละวาดที่นี่ จักต้องประสบกับความทุกข์ทรมาน อาจตายลงทั้งๆที่ยังไม่รู้ตัว”

 

ที่เขาเอ่ยเช่นนี้ อันที่จริงแล้วก็เพื่อเป็นการเตือนซูเฉิน

 

เพราะท้ายที่สุดแล้วด้วยอุปนิสัยของซูเฉิน เกรงว่าจะมีโอกาสสูงที่จะสร้างปัญหาใหญ่ขึ้นที่นี่

 

“เทียบได้เลยกับอาวุธเทวะ!”

 

ซูเฉินเผยอปากเล็กน้อย ในตอนนี้ เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเผ่าเอลฟ์ถึงได้มั่นใจนัก กล้าปล่อยให้ผู้แข็งแกร่งเข้ามามากมาย ที่แท้ก็มีไพ่ตายอยู่ในมือนี่เอง

 

“ผู้อาวุโส ถ้าท่านพูดแบบนั้น ไม่ใช่ว่าพวกเราจะกลายเป็นเต่าในไหของพวกเขาหรอกหรือ?”

 

ซูเฉินถอนหายใจอย่างเชื่องช้า เอ่ยถามด้วยความกังวล เพราะหากตนและพรรคพวกอยู่ท่ามกลางพื้นที่ที่พร้อมระเบิดการโจมตีเทียบเท่าระดับเทวะได้ตลอดเวลา แล้วจู่ๆพวกเอลฟ์เกิดคิดอะไรแผลงๆขึ้นมา ไม่เท่าท่ากับว่าพวกเขาตกอยู่ในความเสี่ยงตลอดเวลา ต้องคอยตื่นตัวทุกวินาทีหรอกหรือ?

 

“สิ่งประดิษฐ์เทวะชิ้นใหญ่ขนาดนี้ หากเริ่มเปิดใช้งานแล้ว ทรัพยากรที่ต้องสูญเสียย่อมมหาศาล เว้นเสียแต่เป็นทางเลือกสุดท้าย เผ่าเอลฟ์จะไม่ใช้งานมันอย่างแน่นอน”

 

ซูเฉินพยักหน้าเล็กน้อย เห็นด้วยกับความคิดของอู๋หยาจื่อ

 

การดำรงอยู่ของเมืองเยว่กวง บทบาทหลักๆของมันน่าจะมีไว้เพื่อข่มขู่มากกว่า หากกล้าสังหารผู้แข็งแกร่งโดยไม่แบ่งแยกถูกผิดขาวดำ เกรงว่าคงถูกหลายขุมกำลังรวมตัวกันถล่มไปตั้งนานแล้ว

 

ช่วงเวลาหลังจากนั้น ซูเฉินและคนอื่นๆเดินเตร่ไปทั่ว ระหว่างเดินเที่ยวสอบถามเวลาเปิดงานประมูล ในที่สุดก็ได้ความว่า งานประมูลจะจัดขึ้นในอีกสามวัน

 

เมื่อเห็นว่าเวลายังเหลือ ซูเฉินเรียกคนอื่นๆออกจาก [มิติสันโดษ] ปล่อยให้พวกเขาเปิดหูเปิดตาในเมืองใหญ่ของชาวต่างเผ่า

 

ตอนเที่ยงของวันถัดมา ซูเฉินและคนอื่นๆกำลังเดินเล่นในเมืองเย่วกวง แต่จู่ๆก็เห็นว่ามีชายคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกสองคนกำลังตรงเข้ามาทางพวกเขาอย่างรวดเร็ว

 

ซูเฉินตอนแรกไม่สนใจ แต่อู๋หยาจื่อที่หันไปมอง ได้ร้องเตือนเขาว่า “ซูเฉิน ผู้ที่กำลังตรงเข้ามาคือสองสาวจากตระกูลฉี”

 

ฉีมู่เสวี่ยกับฉีมู่อวี้?

 

ซูเฉินขมวดคิ้วและกวาดสายตาออกไป จริงดังคาด เป็นทั้งสองคนจริงๆ

 

แล้วอีกอย่าง ข้างกายพวกเธอยังมีชายหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่ง

 

คนผู้นี้ก้าวเดินอย่างแข็งขัน สองคิ้วบนใบหน้าขมวดมุ่น ให้ความรู้สึกดุร้าย แม้เขาจะพยายามสะกดกลั้นกลิ่นอายเอาไว้ แต่ซูเฉินสามารถมองออกได้อย่างรวดเร็ว ว่าบุคคลผู้นี้คือยอดฝีมืออย่างแน่นอน

 

หรือว่าอีกฝ่ายจะมาที่นี่เพื่อแก้แค้นเขา?

 

เมื่อเห็นว่าคนผู้นี้เดินมาพร้อมกับฉีมู่อวี้และฉีมู่เสวี่ย ทั้งยังตรงมาทางตนเอง ซูเฉินก็เริ่มคาดเดา

 

อย่างไรก็ตาม ฉีมู่อวี้และพี่สาวเธอได้ลั่นคำสาบานแล้ว ไม่เกรงกลัวการลงทัณฑ์จากสวรรค์หรือ?

 

เมื่อนึกยังไงก็คาดเดาจุดประสงค์ของอีกฝ่ายไม่ออก ซูเฉินไม่คิดมากความ ยืนรออีกฝ่ายอย่างเงียๆ

 

“เจ้าคือซูเฉิน? ”

 

เมื่อทั้งสามคนมาถึงเบื้องหน้า ชายคนนั้นกวาดมองสำรวจซูเฉิน ขึ้นเสียงเอ่ยถาม

 

“บิดานี่แหละซูเฉิน แกต้องการอะไร?”

 

ซูเฉินตอบกลับอย่างเฉยเมย

 

“ข้าชื่อฉีมู่เฟิง เป็นพี่ชายคนรองของพวกเธอ”

 

ชายหนุ่มหล่อเหลาแนะนำตัวเองก่อน จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าชิงของเหลวแก่นชีวิตและหุ่นเชิดระดับเทวะไป ใช่หรือไม่?”

 

สีหน้าการแสดงออกของซูเฉินกลายเป็นเย็นชา กล่าวด้วยน้ำเสียงหยามเหยียดว่า “แล้วถ้าฉันชิงมันไป แกจะทำไม?”