1/10

 

Ep.757

 

“ว่าอะไรนะ!”

 

หลีกุยหยางตกใจ

 

ซูเฉินคิดสังหารพวกต่างเผ่าทั้งหมดบนดินแดนที่ถูกทอดทิ้ง ช่างอุกอาจนัก!

 

“เจ้ารู้รึเปล่าว่ามีพวกต่างเผ่ากี่ตนในดินแดนที่ถูกทอดทิ้ง? แล้วเจ้ารู้ไหมว่าพวกมันแข็งแกร่งแค่ไหน?” หลีกุยหยางใจเย็นลง แล้วถามกลับ

 

มีพวกต่างเผ่านับพันมารวมตัวกันอยู่ในดินแดนที่ถูกทอดทิ้ง และส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งขั้น 9 ขึ้นไปทั้งสิ้น แต่ละตนล้วนมีกำลังรบมากพอที่จะทำลายสรวงสวรรค์และปฐพี!

 

ซูเฉินหัวเราะเบาๆ กล่าวอย่างไม่แยแส “คิดจับโจรต้องจับหัวหน้าก่อน ขอแค่พวกเราสังหารหัวหน้าระดับเสมือนเทวะทั้งสองของพวกมัน พวกที่มีระดับฐานฝึกตนต่ำลงมาก็จะระส่ำระส่าย”

 

ได้ยินแบบนั้น หลีกุยหยางเริ่มตื่นตัว เขาอาศัยอยู่ในดินแดนที่ถูกทอดทิ้งมานับพันปี ดังนั้นเข้าใจสถานการณ์ของที่นี่ไม่ต่างจากหลังมือตัวเอง

 

หูจวิ้นแห่งเมืองไป่ตี้ และฮันห่าวหยางแห่งหุบเขากุ้ยหยาง ไม่ว่าใครก็ล้วนมีพวกต่างเผ่าอยู่ใต้อาณัติเป็นจำนวนมาก แต่ยกเว้นพวกคนในเผ่าเดียวกันกับพวกเขาแล้ว ชาวต่างเผ่าอื่นๆล้วนยอมจำนนgriktพลังอำนาจของหูจวิ้นและฮันห่าวหยางทั้งสิ้น

 

อาจกล่าวได้ว่าเมื่อไหร่ที่หูจวิ้นกับฮันห่าวหยางถูกสังหาร พวกต่างเผ่าที่เหลือก็จะถูกคลายโซ่ตรวน หันกลับมาก่อกบฏกันเอง

 

พวกมันจะช่วงชิงความเป็นใหญ่ เพื่อครอบครองดินแดนที่ถูกทอดทิ้ง

 

“ข้าตกลง บอกมาว่าเจ้าต้องการอะไร” หลีกุยหยางแทบไม่เสียเวลาคิด ยอมรับข้อเสนอด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

 

“ที่ผมต้องการ มีแค่หินพลังงานขั้น 8 ขึ้นไปเท่านั้น ส่วนสินสงครามที่เหลือ ขอมอบแก่ผู้อาวุโส ” ซูเฉินกล่าวด้วยความมั่นอกมั่นใจ

 

อันที่จริงหินพลังงานขั้น 8 แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ประเด็นหลักคือการรวบรวมชิ้นส่วน แน่นอน เขาจะไม่บอกเรื่องนี้ออกไป

 

“ข้อเรียกร้องเจ้า มีแค่นี้เองหรือ?” หลีกุยหยางอึ้งไปเล็กน้อย

 

คำขอของซูเฉินน้อยเกินไป มันน้อยซะจนเขายากจะทำใจเชื่อ

 

เพื่อหลีกเลี่ยงความเคลือบแคลงของหลีกุยหยาง ซูเฉินยิ้มและกล่าวว่า “ดินแดนที่ถูกทอดทิ้งช่างรกร้างแร้นแค้น ฉะนั้นยังจะมีอะไรล้ำค่าไปกว่าหินพลังงานอีก?”

 

สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในดินแดนที่ถูกทอดทิ้งคืออาหาร แต่เห็นได้ชัดว่าซูเฉินคือผู้ปกครองที่ไม่ขาดแคลนอาหาร ฉะนั้นการขอหินพลังงานขั้น 8 ก็พอสมเหตุสมผลอยู่

 

“บอกข้าได้ไหมว่าทำไมเจ้าถึงต้องการหินพลังงานขั้น 8?” หลีกุยหยางยังคงไม่เข้าใจ ลองเลียบเคียงถามดู

 

ซูเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ใช้คำถามแทนคำตอบ “ผู้อาวุโสต้องการออกจากดินแดนที่ถูกทอดทิ้งหรือไม่?”

 

ออกจากดินแดนที่ถูกทอดทิ้ง?

 

มุมปากของหลีกุยหยางผุดรอยยิ้มจาง คล้ายจมลงในห้วงความทรงจำ

 

พูดถึงเรื่องนี้ เขาเองก็เป็นหนึ่งในคนที่สมัครใจเข้าสู่ดินแดนที่ถูกทอดทิ้งเช่นกัน เพราะเดิมที เขาคิดว่าการมีชีวิตอยู่ตลอดไป คือความปรารถนาอันสูงสุด

 

แต่พอได้อาศัยอยู่ในดินแดนที่ถูกทอดทิ้งเป็นเวลานับพันๆปี ติดแหง่กอยู่ในพื้นที่ตายตัว เขาก็ค่อยๆเบื่อหน่ายกับชีวิตอันไร้สีสันนี้

 

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ยังถึงขั้นคิดฆ่าตัวตายด้วยซ้ำ

 

หากเขาได้รับโอกาสที่จะเลือกอีกครั้ง ต่อให้ต้องตาย เขาก็จะไม่เข้ามาในดินแดนที่ถูกทอดทิ้งแน่นอน

 

“เจ้ามีวิธีออกจากดินแดนที่ถูกทอดทิ้งงั้นหรือ?”

 

หลีกุยหยางได้สติกลับมา จับจ้องซูเฉินอย่างจริงจัง ในแววตาทอประกายคาดหวัง

 

เขาออกจากทวีปมนุษย์มานับพันปีแล้ว เวลานี้รู้สึกถวิลหามันมาก หากซูเฉินสามารถพาเขาออกไปได้จริงๆ ต่อให้รู้ทั้งรู้ว่าต้องตายเพราะสิ้นอายุขัย เจ้าตัวก็ยังไม่ลังเลแม้แต่น้อย

 

“ตราบใดที่มีหินพลังงานขั้น 8 เพียงพอ ทั้งท่านและผมสามารถออกไปจากที่นี่ได้อย่างแน่นอน” ซูเฉินพยักหน้าหนักหน่วง แสดงให้เห็นว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ

 

ซู๊ดดดดด!

 

หลีกุยหยางสูดหายใจลึก รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที

 

หากเป็นคนอื่นเอ่ยคำนี้ เขาไม่มีวันเชื่อแน่นอน เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะออกจากดินแดนที่ถูกทอดทิ้ง มิฉะนั้นหลายปีมานี้ คงมีหลายคนกลับออกไปนานแล้ว

 

ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนกัน! คนที่เอ่ยมันคือซูเฉิน!

 

ซูเฉินซึ่งเคยบอกว่าสามารถเอาชนะเขา และทำมันได้จริงๆ

 

นี่แสดงให้เห็นว่า คำพูดและการกระทำของซูเฉิน ไม่ใช่แค่อะไรโคมลอยไร้แก่นสาร ตรงกันข้าม–

 

–อีกฝ่ายมั่นใจว่าสามารถทำได้อย่างที่พูดจริงๆ!

 

2/10

 

Ep.758

 

ได้ข้อสรุปแบบนี้ หลีกุยหยางหยิบหินพลังงานขั้น 8 สามก้อนออกมาอย่างไม่ลังเล แล้วโยนมันให้กับซูเฉิน พร้อมกล่าวว่า “ตราบใดที่ข้าสามารถออกไปจากที่นี่ได้ เรื่องที่เหลือ ยกให้เจ้าจัดการได้ตามใจชอบ”

 

“เช่นนั้นขอบพระคุณผู้อาวุโส”

 

ซูเฉินรับหินพลังงานมาด้วยความสุข แล้วกล่าวว่า “ผู้อาวุโส ถ้าพวกเราลงมือ ควรฆ่าหูจวิ้นหรือฮันห่าวหยางก่อนดี?”

 

เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหา เขาตั้งใจจะบรรลุแผนการนี้โดยเร็วที่สุด

 

เนื่องจากยังไม่รู้ข้อมูลของหูจวิ้นและฮันห่าวหยาง ดังนั้นเขาเลยต้องการฟังความคิดเห็นของหลีกุยหยาง

 

หลีกุยหยางครุ่นคิดพักหนึ่ง ตอบกลับว่า “ควรฆ่าฮันห่าวหยางก่อน เพราะในด้านกำลังรบเขาแข็งแกร่งกว่ามาก ขอแค่ฆ่าเขาได้ เรื่องหูจวิ้นก็ไม่ต้องเก็บมาเป็นกังวล”

 

“เอ๋?”

 

คำตอบนี้ทำให้ซูเฉินประหลาดใจเล็กน้อย

 

ตามความเข้าใจของเขา ฮันฮ่าวหยางเป็นชาวเผ่ามายา ซึ่งส่วนใหญ่มีอาชีพเป็นปรมาจารย์มนตรา จริงอยู่ว่าพลังโจมตีของปรมาจารย์มนตราแข็งแกร่งมาก แต่ในด้านการปกป้องค่อนข้างอ่อนแอ ต่อให้อยู่ในระดับเสมือนเทวะ แต่หากไม่มีการป้องกันที่แข็งแกร่งเป็นหลักประกัน ขอแค่ประชิดตัวได้ ก็สามารถสังหารในไม่กี่วินาที

 

“ผู้อาวุโสหลี ฮันห่าวหยางน่าจะเป็นปรมาจารย์มนตราถูกไหม? แล้วเขาแข็งแกร่งกว่าท่านมากเลยหรือ?” ซูเฉินเอ่ยถามด้วยความสงสัย

 

“แกร่งกว่าข้ามาก ชนิดที่ว่าต่อให้ข้าร่วมมือกับหูจวิ้น ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา” หลีกุยหยางพยักหน้าอย่างแรง จากนั้นอธิบายเพิ่มว่า “เขามีเกราะป้องกันระดับเทวะอยู่ สามารถเพิกเฉยต่อการโจมตีทั้งปวง ต่อให้ถูกอาวุธเทวะโจมตี เขาก็ยังสามารถต้านทานได้หลายครั้ง”

 

“แล้วอีกอย่าง เขายังมีหนึ่งในสิบมหาเพลิงเอกลักษณ์ ‘อัคคีผลาญแปดทิศ’ ที่สามารถหลอมรวมเข้ากับเวทย์ธาตุไฟได้ดั่งปรารถนา เมื่อร่วมมือกับมัน นับเป็นพลังอำนาจที่ไม่อาจหาผู้ใดเทียบ”

 

กล่าวถึงจุดนี้ จู่ๆเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเวทย์น้ำแข็งที่ซูเฉินเพิ่งปลดปล่อยออกมา ก็เป็นเปลวไฟที่ให้ความเย็นเยียบชนิดหนึ่งเช่นกัน และอำนาจของมันน่าหวาดกลัวมาก

 

“อย่าบอกนะ … ว่าเขาเองก็ครอบครองมหาเพลิงเหมือนกัน?” หลีกุยหยางพึมพำ

 

เมื่อซูเฉินได้ยินความอัศจรรย์ของอัคคีผลาญแปดทิศ นัยน์ตาพลันสว่างวาบขึ้นมาทันที

 

พลังของเหล่ามหาเพลิง เขารู้ซึ้งแก่ใจดี ตอนนี้เกิดเลยเกิดความคิดที่จะแย่งชิงอัคคีผลาญแปดทิศมาเป็นของตน

 

สำหรับความแข็งแกร่งของฮันห่าวหยาง เขาไม่กังวลมากนัก

 

เพราะหากอู๋หยาจื่อ , หลีกุยหยาง และเขา ทั้งสามคนร่วมมือกัน แล้วยังสังหารเสมือนเทวะคนเดียวไม่ได้ ก็คงไม่มีหน้ามีชีวิตอยู่ต่อไป

 

“ผู้อาวุโส ผมมั่นใจว่าสามารถสังหารฮันห่าวหยางได้ พวกเราจะเริ่มกันเมื่อไหร่” ซูเฉินถอนหายใจ แล้วเอ่ยถาม

 

ได้ยินแบบนั้น สีหน้าการแสดงออกของหลีกุยหยางแปรเปลี่ยนไป

 

“ไม่ช้าก็เร็ว แต่ควรจะดีกว่าหากเราลงมือโดยเร็วที่สุด”

 

ซูเฉินเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ต่อมาเขาเรียกอู๋หยาจื่อมาข้างๆ ทั้งสามเริ่มปรึกษากัน

 

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ซูเฉินออกจาก [มิติสันโดษ] เพียงลำพัง จากนั้นออกจากเมืองเทียนตู้อย่างเงียบๆ มุ่งหน้าตรงไปยังเทือกเขากุ้ยหยาง

 

เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นจุดสังเกต และไปถึงหุบเขากุ้ยหยางโดยสวัสดิภาพ ซูเฉินเลยไม่ได้นำ [รถศึกอัจฉริยะ] ออกมา

 

อย่างไรก็ตาม ด้วยความว่องไวในปัจจุบันของเขา หากรีดเร้นเต็มกำลัง อันที่จริงมันเร็วกว่า [รถศึกอัจฉริยะ] ซะอีก ถ้าถามว่ามันมีข้อเสียตรงไหน ก็เรื่องเปลืองแรงที่แหละ

 

แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับซูเฉิน เพราะเขามี [โพชั่นฟื้นฟูสมรรภาพทางกายภาพ] เมื่อใดก็ตามที่เหนื่อยล้า ก็ยกขึ้นดื่มซักขวด แล้วสถานะของเขาจะถูกฟื้นฟู กลับมาสดชื่นดังเดิม

 

หลังจากนั้น ซูเฉินวิ่งไปตลอดเส้นทาง หนึ่งวันต่อมา ในที่สุดเขาก็มาถึงในอาณาเขตรอบนอกของหุบเขากุ้ยหยาง

 

หุบเขากุ้ยหยางตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาสูงตระหง่าน ภูมิประเทศเช่นนี้นับว่าอันตรายต่อผู้บุกรุกเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีทหารยามเฝ้าอยู่ไม่น้อย หากต้องการลอบเร้นเข้าไปแบบเงียบๆ เกรงว่าคงไม่มีทางเป็นไปได้

 

ซูเฉินหรี่ตาลง หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง เขาก็เปิด [มิติสันโดษ] ติดต่อกับหลีกุยหยาง

 

“ผู้อาวุโส ที่นี่ใช่หุบเขากุ้ยหยางหรือไม่?”

 

“ใช่” หลี่กุยอย่างตอบอย่างมั่นใจ

 

ซูเฉินพยักหน้า ก่อนหันไปติดต่อกับ [รถศึกอัจฉริยะ] อีกครั้ง

 

“เสี่ยวจือ ค้นหาตำแหน่งที่แน่นอนของผู้แข็งแกร่งที่สุดในหุบเขากุ้ยหยาง