9/10

 

Ep.675

 

“เจ้านาย พืชโลหิตกลายพันธุ์อุดมไปด้วยพลังงานมากมายก็จริง แต่พลังงานเหล่านั้นผสมปนเปกันมั่วไปหมด ไม่เอื้อต่อการดูดซับ” ต้นผลอายุวัฒนะกล่าว

 

“เข้าใจแล้ว”

 

ซูเฉินพยักหน้า กางฝ่ามือและยิงเวทย์ไฟออกไป เผ่าซากพืชโลหิตกลายพันธุ์

 

ต่อมา เขาเรียกโม่หรงมาข้างๆ แล้วเอ่ยถามเสียงแผ่วว่า “เหล่าโม่ ในเผ่าวิญญาณ คุณเคยได้ยินชื่อเจียงหลี่หรานมาบ้างไหม?”

 

“เจียงหลี่หราน … ”

 

โม่พรงพึมพำ ก่อนที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “เจ้านาย เจียงหลี่หรานคือผู้ฝึกตนนอกรีต แม้เขาจะอยู่แค่ในขั้น 8 เท่านั้น แต่เนื่องจากได้ทำการหลอมเอาพลังจากศพนับร้อยมาฝึกฝน ทำให้กำลังรบที่แท้จริงของเขาเหนือกว่าผู้ฝึกตนขั้น 9 ไปแล้ว ”

 

ได้ยินแบบนั้น ดวงตาของซูเฉินเป็นประกาย

 

เจียงหลี่หรานเห็นได้ชัดว่าคือศัตรูที่น่าจะรับมือได้ยากสุดๆ แต่เนื่องอีกฝ่ายครอบครองศิลาทลายมิติ ดังนั้นซูเฉินจะไม่ยอมปล่อยเขาไป

 

“พอจะมีวิธีตามหาเจียงหลี่หรานไหม?”

 

เมื่อขบคิดอย่างรอบคอบ ซูเฉินก็ถามต่อ

 

“ไม่มี” โม่หรงตอบ แล้วอธิบายต่อว่า “เจียงหลี่หรานไม่เพียงแข็งแกร่งเท่านั้น แต่เวลาทำอะไร เขามักระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก มิฉะนั้น ด้วยอาชญากรรมนับไม่ถ้วนที่เขาก่อ คงถูกขุมกำลังอื่นตัดศรีษะไปแล้ว”

 

“ดูเหมือนพวกเราคงทำได้แค่พึ่งโชคที่มี ถึงจะเจอเขา”

 

ซูเฉินถอนหายใจ เดินกลับไปพร้อมโม่หรง

 

“น้องซู!” เมื่อกลับมา กู่เทียนฮวาและคนอื่นๆก้าวออกไปต้อนรับ ท่าทีการแสดงออกของพวกเขาดูเคารพในตัวซูเฉินมาก

 

เพราะด้วยกำลังรบที่ซูเฉินสำแดงออกมา มันเพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกเขาตกตะลึง

 

หากไม่รู้จักกันมาก่อน เกรงว่าทั้งหมดคงเรียกซูเฉินว่าอาวุโสแล้ว

 

ซูเฉินตอบรับทุกคนด้วยรอยยิ้ม จากนั้นถามว่า “ศิษย์พี่ทุกท่าน พอจะมีใครรู้ไหมว่าศิลาทลายมิติหาซื้อได้จากที่ไหน?”

 

เพื่อเปิดฟังก์ชั่นข้ามเขตแดนให้ [รถศึกอัจฉริยะ] ซูเฉินจำเป็นต้องใช้อย่างน้อยห้าก้อน นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าเขาต้องหาเพิ่มอีกหนึ่งก้อน

 

ได้ยินคำถามนี้ ฝูงชนก็เงียบไป

 

ศิลาทลายมิติเป็นอะไรที่หาได้ยากมาก แม้จะมีอยู่ แต่ก็คงถูกยึดครองโดยขุมกำลังใหญ่ ไม่ค่อยหลุดออกมาขายให้คนภายนอก

 

“น้องซู ศิลาทลายมิติเคยถูกส่งเข้างานประมูลในเมืองเทียนเฟิงเมื่อหลายปีก่อน ถ้าไม่รู้ว่าจะหาจากไหน บางทีอาจลองไปที่นั่นดู เผื่อนายจะมีโชคอยู่บ้าง” กงเก๋อครุ่นคิดพักหนึ่ง ทบทวนความจำ

 

“เมืองเทียนเฟิง … ”

 

ซูเฉินจดจำชื่อนี้ไว้ในใจ หากไม่สามารถหาศิลาทลายมิติได้ ก็คงต้องแวะไปดูซักหน่อย

 

“น้องซู นายไม่ใช่คนของทวีปเสวียนเทียนใช่ไหม?”

 

ในเวลานั้นเอง กู่เทียนฮวาลองเลียบเคียงถาม

 

อัจฉริยะรุ่นเยาว์ของทวีปเสวียนเทียน เขาเคยได้ยินได้ฟังข่าวคราวของทั้งหมดมาแล้ว ซึ่งผู้ทรงพลังเช่นซูเฉิน ตามหลักควรมีชื่อเสียงตั้งนานแล้ว แต่เขาไม่เคยได้ยินชื่อและวีรกรรมของซูเฉินมาก่อนเลย จึงคาดเดาว่าซูเฉินน่าจะมาจากเกาะรอบนอก

 

“ผมมาจากเกาะเฉียนหยู เพิ่งเข้าทวีปเสวียนเทียนเมื่อเช้าวันนี้เอง”

 

ซูเฉินไม่ได้ปิดบัง บอกตามตรง

 

“อ้อ”

 

กู่เทียนฮวาตระหนักได้ในทันที หันไปมองเหลิงมู่เย่

 

“แล้วศิษย์น้องเหลิงรู้จักกับน้องซูได้ยังไง?”

 

“ฉันเองก็เพิ่งได้รู้จักอัจฉริยะอย่างน้องซูวันนี้ ยังไงก็ตาม ศิษย์น้องหญิงเซี่ยกับศิษย์น้องเฉิน น่าจะรู้จักน้องซูมานานแล้ว” เหลิงมู่เย่อธิบายด้วยรอยยิ้ม

 

กู่เทียนฮวาหันไปมองเฉินเฟิงอีกครั้ง

 

เขารู้มาว่าเฉินเฟิงและเซี่ยจิงอี้ได้ออกจากทวีปเสวียนเทียนเพื่อหาประสบการณ์ เลยสงสัยว่าอีกฝ่ายน่าจะได้เจอกันบนเกาะรอบนอกใช่หรือไม่

 

เฉินเฟิงกล่าว “ที่ผมกับศิษย์น้องเซี่ยยังรอดชีวิตมาจนพบหน้าศิษย์พี่ทุกท่านได้ ต้องขอบคุณเฮียซู”

 

ได้ยินแบบนั้น เหลิงมู่เย่และคนอื่นๆดูประหลาดใจ จดจ่อรอให้เฉินเฟิงพูดต่อ

 

แม้เฉินเฟิงกับเซี่ยจิงอี้จะเป็นแค่ผู้ฝึกตนขั้น 6 ก็ตาม แต่ความสามารถในการต่อสู้เทียบได้เลยกับขั้น 7 นอกจากนี้ เมื่อรวมกับสถานะศิษย์ของวังสุริยันจันทราแล้ว ผู้ใดเล่าจะกล้าลงมือกับพวกเขา?

 

ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจริงๆ เกรงว่าวังสุริยันจันทราคงออกหน้าแก้แค้น โดยไม่คำนึงว่าอีกฝ่ายจะมีภูมิหลังมาจากที่ใดแน่นอน

 

10/10

 

Ep.676

 

“คือเรื่องมันเป็นแบบนี้”

 

เฉินเฟิงสูดหายใจ แล้วค่อยๆเล่าอย่างช้าๆ ตั้งแต่ที่ทั้งสองเข้าสู่ทวีปเผ่าราชวงศ์อสูร จนมาได้พบกับซูเฉิน และเล่าถึงวิธีออกจากทวีปเผ่าราชวงศ์อสูรทีละขั้น ทีละตอน

 

รอจนเฉินเฟิงพูดจบ

 

กู่เทียนฮวาและคนอื่นๆต่างอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก มองไปยังซูเฉินอย่างตะลึงลาน สีหน้าท่าทีดูเหม่อลอย

 

สังหารหมู่ชาวราชวงศ์อสูรในทวีปของเจ้าถิ่น , สังหารเทพศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองของเผ่าราชวงศ์อสูร , ตบทรัพย์บรรพชนเผ่าราชวงศ์อสูร

 

อาจกล่าวได้ว่าทุกอย่างที่กล่าวมาล้วนสะเทือนโลกหล้า!

 

ชนิดที่ว่าทั้งๆที่ได้ยินด้วยหูตัวเอง พวกเขาก็ยังรู้สึกเกินจะเชื่อ

 

‘ปรากฏว่าเขาแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!’ กู่เทียนฮวาได้สติกลับมา ลอบถอนหายใจด้วยอารมณ์ ดวงตาที่มองซูเฉินเต็มไปด้วยความยำเกรงและเลื่อมใส

 

ก่อนหน้านี้ ที่ซูเฉินได้สังหารพวกต่างเผ่าและพืชโลหิตกลายพันธุ์ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงกำลังรบของเขาจนเกินพอแล้ว

 

แต่ไม่นึกฝันเลย ว่าที่พวกเขาเพิ่งรับชมไป แท้จริงแล้วมันแค่ส่วนปลายยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น

 

แม้แต่ระดับเทวะอย่างบรรพชนเผ่าราชวงศ์อสูรก็ยังไม่สามารถสะกดซูเฉินได้ แต่กลับถูกซูเฉินรีดไถแทน

 

ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ ลมหายใจของกู่เทียนฮวาคล้ายหยุดนิ่ง

 

‘ในโลกนี้มีอัจฉริยะเหนือธรรมดาเช่นนี้อยู่จริงๆ น่าเหลือเชื่อนัก!’ กงเก๋อลอบคิด ทอดถอนหายใจ

 

พวกเขาล้วนเป็นศิษย์ที่โดดเด่นของนิกาย ไม่ว่าจะไปอยู่มุมไหน ก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะ

 

กระนั้น เมื่อเทียบกับซูเฉินแล้ว พวกเขาราวกับเป็นแค่หิ่งห้อยที่เปล่งแสงสู้พระจันทร์ ห่างชั้นกันชนิดสวรรค์และปฐพี นำมาเทียบกันไม่ได้เลย

 

และยิ่งคิด พวกเขายิ่งจินตนาการไปไกล ว่าด้วยพรสวรรค์ของซูเฉิน บางทีเขาอาจกลายเป็นบุคคลแรกของเผ่ามนุษย์ในรอบหมื่นปีที่สามารถเลื่อนขั้นเป็นระดับเทวะได้สำเร็จ

 

ระหว่างที่กำลังตกใจ หลินฮั่วอินลองถามหยั่งเชิงดูว่า “น้องซู ปีนี้นายอายุเท่าไหร่?”

 

กู่เทียนฮวาและคนอื่นๆก็สนใจเช่นกัน เพราะซูเฉินยังดูอ่อนเยาว์มาก แล้วปีนี้เขาจะอายุเท่าไหร่กันหนอ?

 

ซูเฉินปาดจมูกเขา เอ่ยเบาๆว่า “ 17 ปี”

 

17 ปี?

 

อายุแค่ 17 ปีแต่มีกำลังรบมากพอที่จะสังหารผู้แข็งแกร่งขั้น 9 ได้แล้ว?

 

กู่เทียนฮวาและคนอื่นๆแข็งเป็นหิน แม้แต่ลมหายใจก็ขาดห้วง

 

เฉินเฟิงกับเซี่ยจิงอี้มองหน้ากัน อดหัวเราะออกมาไม่ได้

 

ในตอนที่เขาและเธอรู้ว่าซูเฉินอายุ 17 ปี ไหนเลยจะไม่แสดงสีหน้าตกใจเช่นนี้มาก่อน

 

เฉินเฟิงกระแอมในลำคอ เผยรอยยิ้มแย้มที่แฝงไปด้วยความหมายแล้วกล่าวว่า “ศิษย์พี่กู่ ศิษย์พี่หญิงหลิน ผมยังมีข่าวดีอีกอย่างต้องบอกพวกพี่”

 

ข่าวดีงั้นหรอ?

 

กู่เทียนฮวาและคนอื่นๆมองเฉินเฟิงด้วยความสงสัย

 

เฉินเฟิงไม่ปล่อยให้พวกเขารอนาน เฉลยออกไป “ที่เฮียซูมายังทวีปเสวียนเทียนในครั้งนี้ นอกจากจัดการเรื่องเล็กๆน้อยๆแล้ว เขายังจะเข้าร่วมกับทางวังสุริยันจันทราของพวกเราด้วย!”

 

“ว่าอะไรนะ!!”

 

กู่เทียนฮวา และหลินฮั่วอินทั้งแตกตื่นและสับสน หันขวับไปมองซูเฉิน

 

ด้วยพรสวรรค์และความแข็งแกร่งของซูเฉิน หากเขาเข้าร่วมกับทางวังสุริยันจันทรา กำลังรบโดยรวมของวังจะต้องพุ่งทะยานอย่างแน่นอน

 

เรื่องนี้ค่อนข้างมีความหมายมาก

 

กงเก๋อที่อยู่ข้างๆตะลึงงัน สุดท้ายทอดถอนหายใจด้วยความเสียดาย

 

เพราะแม้นิกายคลื่นธาราจะเป็นหนึ่งในขุมกำลังใหญ่ของขุนเขาหวังเฉียว แต่กำลังรบไม่อาจเทียบกับทางวังสุริยันจันทราได้

 

หากให้เขาจัดอันดับ วังสุริยันจันทราคืออันดับหนึ่งจากบน ส่วนนิกายคลื่นธาราของพวกเขาคืออันดับหนึ่งจากล่าง

 

เดิมช่องว่างความห่างชั้นก็มากพออยู่แล้ว ยิ่งมีซูเฉินเพิ่มเข้าไป วังสุริยันจันทราคงยิ่งรุ่งเรือง

 

เรื่องนี้ทำให้กงเก๋อรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง

 

ภายใต้สายตาของของเหล่าศิษย์พี่ในอนาคต ซูเฉินปาดจมูกเขา กล่าวอย่างเคร่งขรึมจริงจังว่า “ผมตั้งใจจะเข้าร่วมกับทางวังสุริยันจันทราจริงๆ”

 

ได้รับคำยืนยันจากซูเฉิน กู่เทียนฮวากำหมัดแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

 

หลินฮั่วอินก็ยิ้มแย้มด้วยความปิติยินดีเช่นกัน

 

ซูเฉินหัวเราะ เริ่มเบี่ยงประเด็น

 

“พี่กู่ พวกคุณกำลังจะไปที่ไหน?”

 

“พวกเราตั้งใจจะไปหุบเขาซีหยา” กู่เทียนฮวาตอบ