Ep.180

 

ระหว่างที่หยางฮ่าวและคนอื่นๆกำลังค้นตัวศพ หวู่หยางถือโอกาสนี้เดินเข้าไปใกล้ซูเฉิน กระซิบเตือนว่า“คนพวกนี้ล้วนมาจากนิกายขวงฉี หลังจากนี้ไปพวกเราต้องระวังตัวกันให้มาก”

 

นิกายขวงฉีตั้งอยู่ในเขตหยูหลินของเกาะเฉียนหยู ถือเป็นขุมกำลังสูงสุดมีชื่อเสียงเทียบเท่ากับนิกายวูหยินและเมืองทงเทียน

 

ในนิกายไม่เพียงมีผู้ฝึกฝนอยู่มากมายราวกับก้อนเมฆบนท้องฟ้า แต่พวกเขายังมีประมุขหลี่จ้านเทียนซึ่งเป็นผู้วิวัฒนาการเลเวล 4 ที่ทรงพลงอีกด้วย

 

นิกายขวงฉี … ครอบครองความแข็งแกร่งที่หวู่หยางต้องหวาดกลัว

 

ซูเฉินยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “เป็นนิกายขวงฉีต่างหาก ที่ถ้าเป็นไปได้ก็อย่ามาแหยมกับผม –เสนอหน้ามาเท่าไหร่ ผมจะฆ่าเท่านั้น!”

 

ไม่กี่วันก่อน ซูเฉินเพิ่งสังหารผู้วิวัฒนาการเลเวล 3 สองคนจากเมืองทงเทียน

 

ก่อนหน้านี้ยังได้สังหารคนของนิกายวูหยินไปหลายคน

 

สามารถกล่าวได้เลยว่า ซูเฉินได้ล่วงเกินขุมอำนาจสูงสุดทั้งสามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

แต่แล้วไง?

 

โลกใบนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความแข็งแกร่ง ซูเฉินมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างยิ่ง ว่าด้วยกำลังรบของเขา มันมากพอที่จะบดขยี้ศัตรูที่ต่ำกว่าเลเวล 5

 

แล้วบนเกาะเฉียนหยู มีผู้วิวัฒนาการ , ผู้ศึกษาพลังที่เลเวล 5 หรือสูงกว่าบ้างไหม?

 

เอาจริงๆก็อาจจะมีสักหนึ่งหรือสองคน

 

แต่ช่างประไร เพราะซูเฉินสามารถแลกเปลี่ยนชิ้นส่วน [คุณสมบัติเลเวล 4 อย่างเต็มรูปแบบ] ได้ตลอดเวลา สามารถเลื่อนขั้นเป็นเลเวล 4 แล้วบดขยี้ศัตรูได้ทุกเมื่อ!

 

ดังนั้น ซูเฉินจึงไม่หวั่นเกรงการแก้แค้นของนิกายขวงฉีเลย

 

หวู่หยางตระหนักดีว่าซูเฉินมีทุนที่จะเอ่ยเช่นนี้ ดังนั้นเขาไม่คิดเอ่ยเตือนใดๆอีก

 

รอจนหย่างฮ่าวและคนอื่นๆริบสินสงครามที่ได้มา ซูเฉินก็เรียกทุกคนขึ้นรถ มุ่งหน้าต่อไปยังเมืองหวังเยว่

 

ระหว่างทาง มีซอมบี้แวะเวียนเข้ามาประปราย แต่จำนวนไม่มากมายอะไร ซูเฉินเลยคร้านจะลงมือสังหาร

 

ส่วนมนุษย์ ระหว่างทางพวกเขาไม่เจอใครอีกเลย

 

หลังจากเดินทางมานานกว่าสองชั่วโมง [รถศึกอัจฉริยะ] ก็มาถึงเมืองใหญ่

 

มิใช่ใดอื่น เป็นเมืองหวังเยว่นั่นเอง

 

พิจารณาจากขนาดแล้ว เอาจริงๆเมืองหวังเยว่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเมืองจิงกังเลย

 

อย่างไรก็ตาม อาจเป็นเพราะผลจากสงคราม ทำให้เมืองหวังเยว่ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง กำแพงเมืองทรุดตัวลงทับพื้นที่ขนาดใหญ่ มันเลยกลายเป็นเมืองร้าง

 

ซูเฉินเหลือบมองออกไปนอกรถ จากนั้นสลับมามองแผงหน้าจอควบคุมส่วนกลาง

 

บนหน้าจอแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ว่าเมืองหวังเยว่ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนจากใจกลาง

 

ครึ่งหนึ่งเป็นของมนุษย์ อีกครึ่งหนึ่งเป็นอาณาเขตของซอมบี้

 

ซูเฉินเอื้อมมือไปชี้ตรงจุดที่ซอมบี้รวมตัวกัน กล่าวกับ [รถศึกอัจฉริยะ] “เสี่ยวจื่อ ไปทางนี้”

 

“รับทราบ”

 

[รถศึกอัจฉริยะ] ค่อยๆขับเข้าสู่เมืองหวังเยว่อย่างช้าๆ

 

ภายในเมืองหวังเยว่ มีถนนเส้นตรงเป็นพื้นที่โล่งกว้าง

 

ไม่เพียงใช้สัญจรเท่านั้น แต่ถนนสายนี้ ยังถูกใช้เป็นเส้นแบ่งกองกำลังระหว่างมนุษย์กับซอมบี้อย่างชัดเจน

 

น่าแปลกตรงที่ว่าถนนสายนี้ไม่มีสิ่งกีดขวางเลย มันเป็นทางเรียบยาวๆ

 

ตรงกันข้าม กลับเป็นอาคารส่วนใหญ่สองข้างทางที่พังทลายลง บางแห่งก็เต็มไปด้วยวัชพืช ดูรกร้างเปล่าเปลี่ยว

 

ซูเฉินนั่งอยู่บนเก้าอี้คนขับ มองออกไปด้านนอกรถ

 

ในขณะที่[รถศึกอัจฉริยะ] เคลื่อนไปข้างหน้าได้ประมาณ 100 เมตร ทันใดนั้นเอง ทางซากปรักหักพังฝั่งด้านซ้าย ชายฉกรรจ์อาวุธครบมือกว่าสิบคนก็ปรากฏตัวขึ้น

 

ทันทีที่พวกเขาปรากฏตัว ก็วิ่งมาหยุดตรงกลางถนน เห็นได้ชัดว่าพยายามขวางทาง [รถศึกอัจฉริยะ]

 

“นี่พวกมันคงไม่ได้คิดจะปล้นพวกเราหรอกนะ?” หวู่หยางเดินมาข้างซูเฉิน บ่นพึมพำ และลอบเอ่ยในใจว่า ‘ถ้าเป็นแบบนั้นคงหาที่ตายแท้ๆ’

 

“รอดูเดี๋ยวก็รู้เอง” ซูเฉินยิ้ม ผุดลุกขึ้น

 

เมื่อ [รถศึกอัจฉริยะ] เข้ามาใกล้ ชายฉกรรจ์หลายสิบคนก็แยกย้าย อ้อมไปล้อมรอบรถศึก

 

ชายคนหนึ่งที่มีรอยแผลเป็นยาวบนใบหน้า ถือมีดมาเชเต้ (มีดใบตาย) ในมือ ชี้ไปทาง [รถศึกอัจฉริยะ] ตะโกนว่า “ทั้งหมดลงมาจากรถ ถ้ายังไม่อยากตาย!”

 

“เสี่ยวจือ หยุด”

 

ซูเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย เปิดประตูรถ เดินลงไปคนเดียว

 

ชายหน้าบากมองสำรวจซูเฉิน เมื่อเห็นว่าซูเฉินยังเด็ก ท่าทีเขาก็ยิ่งหยิ่งผยองมากกว่าเดิม “บิดาบอกให้ทุกคนลงมา แล้วทำไมถึงมีแค่แกคนเดียว? ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเหรอ!?”