7/8

 

Ep.1057

 

“ซูเฉิน อีกไม่นานพวกเราก็จะต้องเข้าไปในเขตแดนลับมิติแล้ว อย่าไปยุ่งกับพวกมันเลย ซ่อนตัวซักพักดีกว่า” ฉีมู่เล่ยพยายามเกลี้ยกล่อม

 

เขารู้จักกับซูเฉินมาระยะหนึ่งแล้ว ดังนั้นพอเข้าใจอุปนิสัยของซูเฉินไม่มากก็น้อย

 

เกรงว่าหากพาไปพบหน้ากับตระกูลเฟิงจริงๆ มีโอกาสสูงที่จะเกิดพายุนองเลือดขึ้นอีกครั้ง

 

หากเป็นขุมกำลังทั่วไปมันก็ไม่มีปัญหาหรอก ประเด็นคือตระกูลเฟิงไม่ใช่ขุมกำลังธรรมดาเนี่ยสิ อ๊าาาา!

 

อีกฝ่ายมีทั้งเฟิงเล่ยเหอเป็นถึงผู้แข็งแกร่ง ระดับเทวะขั้น 7 ไหนจะเซียวซานแห่งป้อมปารการเฮยอวิ๋น

 

แบบนี้ไม่ไม่ว่าซูเฉินจะแข็งแกร่งซักแค่ไหน คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาหรอก ถูกไหม?

 

“ไม่เป็นไร ขอแค่พี่ฉีพาฉันไปที่นั่นก็พอ” ซูเฉินกล่าวอย่างไม่แยแส

 

ฉีมู่เล่ยในใจยังคงไม่เห็นด้วย ขณะที่กำลังจะโน้มน้าวต่อ ฉีมู่เฟิงก็เอ่ยปากขึ้น “พี่ใหญ่ เชื่อใจซูเฉินเถอะ ”

 

เมื่อซูเฉินตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครสามารถหยุดได้อีก ยังไม่พูดถึงเรื่องที่ว่า ด้วยกำลังรบในปัจจุบันของซูเฉิน ตระกูลเฟิงไม่นับว่าอยู่ในสายตา ดังนั้นไม่จำเป็นต้องห่วงซูเฉินเลย

 

ฉีมู่เล่ยเหม่อมองฉีมู่เฟิงอย่างว่างเปล่า ผ่านไปพักหนึ่งก็ยังไม่รู้จะพูดอะไรดี

 

“คนจากตระกูลเฟิงมาแล้ว!”

 

แต่ในเวลานั้นเอง ฉีมู่อวี้ชี้ไปข้างหน้า เรียกสติทุกคน

 

ซูเฉินหรี่ตาและกวาดมอง พบว่ามีคนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้า ฉีชิงเฉวียนและซางฉุยซานก็อยู่ในกลุ่มนั้นเช่นกัน แล้วยังมีชายแปลกหน้าอีกสองคน

 

หนึ่งในนั้นอายุประมาณ 50 ปี มีรูปร่างหลังเสือเอวหมี ก้าวเดินอย่างแข็งขัน ประกอบไปด้วยบารมีของเจ้าคนนายคน

 

อีกหนึ่งเป็นชายอายุประมาณ 27-28 ปี หน้าตาธรรมดา แต่ข้างในแววตาสะท้อนประกายคมกริบ

 

สองคนนี้มิใช่ใครอื่น เป็นเฟิงเล่ยเหอกับเฟิงจ้านจากตระกูลเฟิง

 

“เจ้าคือซูเฉิน?”

 

เมื่อเดินเข้ามาใกล้ เฟิงเล่ยเหอหรี่ตามองซูเฉิน เอ่ยถามเสียงเย็น

 

“เป็นฉันเอง” ซูเฉินตอบอย่างสงบเยือกเย็น

 

เฟิงเล่ยเหอกระชากเสียงฮึเบาๆ เอ่ยถาม “เจ้าเพิ่งเข้าสู่มิติภายนอกได้ไม่นาน ก็เข่นฆ่าสังหารขุมกำลังของหมื่นเผ่าพันธุ์ไปนับไม่ถ้วน ช่างกล้านัก!”

 

“ฉันกล้าแล้วมันเกี่ยวอะไรกับแก? มันใช่ธุระของแกหรอ?” ซูเฉินตอบด้วยความรังเกียจ

 

ได้ยินแบบนั้น ฉีชิงเฉวียนและคนอื่นๆต่างมีสีหน้านิ่งอึ้งไป

 

เพราะเฟิงเล่ยเหออย่างน้อยคือยอดฝีมือในระดับเทวะขั้น 7 แต่ซูเฉินกลับไม่ไว้หน้าเขาเลยสักนิด

 

นี่มันจะบ้าบิ่นเกินไปหน่อยกระมัง?

 

“เหอ เหอ … ได้ยินมานานแล้วว่าเจ้ามักทำตัวหยาบคาย ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา วันนี้เห็นกับตา นับว่าสมคำร่ำลือ ”

 

มุมปากของเฟิงเล่ยเหอกระตุกเล็กน้อย ไม่โกรธแต่หัวเราะออกมา

 

เฟิงจ้านที่อยู่ข้างๆสีหน้าอึมครึม ตวาดเสียงเย็นว่า “ซูเฉิน! ข้าขอแนะนำว่าเจ้าอย่าได้เหิมเกริมให้มันมากนัก! รู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังเผชิญหน้ากับผู้ใด? ”

 

“พี่เฟิง ซูเฉินอาจยังไม่รู้ถึงสถานะของท่าน อย่าได้ถือสาเลย”

 

เห็นสถานการณ์ตึงเครียด ฉีชิงเฉวียนรีบออกมาห้ามปราม

 

เฟิงเล่ยเหอแค่นเสียงฮึเย็นชา ส่วนเฟิงจ้านกล่าวอย่างหยิ่งผยองว่า “ซูเฉิน! เจ้าจงฟังให้ดี พวกเรามาจากตระกูลเฟิง ตระกูลอันดับหนึ่งจากสิบตระกูลซ่อนเร้น! แต่เจ้ากลับด่าทอพวกเรา ดังนั้นจงคุกเข่าขอขมาเสีย!”

 

“จบสิ้นแล้ว”

 

ฉีมู่เล่ยและคนอื่นๆหัวใจเต้นแรง เฟิงจ้านคิดทำให้ซูเฉินต้องอับอาย ช่างไม่รู้จักที่ตายเสียจริง

 

ด้วยอุปนิสัยของซูเฉิน เกรงว่าเรื่องนี้คงจบไม่สวย

 

ซูเฉินหรี่ตาลง กวาดมองข้ามหัวไหล่เฟิงจ้าน หันไปพูดกับเฟิงเล่ยเหอว่า “ทำไมตระกูลเฟิงถึงมาหาฉัน?”

 

เฟิงเล่ยเหอกล่าว “ตระกูลหานกับตระกูลกู่เป็นพันธมิตรกับตระกูลเฟิงของพวกเรา แต่เจ้ากลับสังหารพวกเขา นั่นเท่ากับว่าเจ้ากำลังหาเรื่องตระกูลเฟิง!”

 

“แล้วไงต่อ?” ซูเฉินกล่าวอย่างเฉยเมย

 

เฟิงเล่ยเหอหัวเราะ เหอะ เหอะ “ตระกูลเฟิงของพวกเรามีมารยาทกฏเกณฑ์ ดังนั้นไม่ทำร้ายเจ้าในทันที แต่ตัดสินใจส่งคนมาท้าประลองกับเจ้า!”

 

“แกคงไม่คิดจะให้ไอ้ขยะนี่มาท้าประลองกับฉันหรอกนะใช่ไหม?”

 

ซูเฉินยกแขน ชี้ไปทางเฟิงจ้าน กล่าวด้วยความดูแคลน

 

8/8

 

Ep.1058

 

สีหน้าของเฟิงจ้านแปรเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียม กัดฟันคำรามเสียงต่ำว่า “ซูเฉิน! เจ้าอยากตายหรือ?”

 

ในฐานะปรมาจารย์มนตราที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของตระกูลเฟิง แต่กลับถูกซูเฉินใช้วาจาทำให้อับอายต่อหน้าผู้คน ความโกรธของเขาทะยานขึ้นถึงขีดสุด

 

“ซูเฉิน! ข้ารู้ว่าเจ้าคือผู้ฝึกตนทุกอาชีพ แต่เจ้ากล้าประลองเวทมนต์กับข้าหรือไม่เล่า?”

 

เฟิงจ้านสงบสติอารมณ์ลง เอ่ยท้าประลองอีกครั้ง

 

ถึงแม้เขาจะหยิ่งผยองเพียงใด แต่ก็กระจ่างแก่ใจ ว่าหากซูเฉินใช้พลังทั้งหมดที่มี เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้อย่างแน่นอน

 

แต่หากเป็นการประลองกันด้วยเวทมนต์ล่ะก็ เขามั่นใจ 100% ว่าจะสามารถเอาชนะซูเฉินได้

 

“ได้สิ” ซูเฉินไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว

 

ฉีชิงเฉวียนและคนอื่นๆต่างเกิดความกังวลขึ้นมา พวกเขารู้สึกว่าซูเฉินดูมั่นใจเกินไปหน่อย

 

พวกเขาได้เห็นความแข็งแกร่งในด้านผู้วิวัฒนาการของซูเฉินแล้ว แต่ยังไม่ค่อยได้เห็นซูเฉินสำแดงลูกเล่นของอาชีพปรมาจารย์มนตราเลย

 

ในทางกลับกัน เฟิงจ้านคือปรมาจารย์มนตราที่ทรงพลังเป็นพิเศษ ระดับฐานฝึกตนก็มาถึง ระดับเทวะขั้น 6 แล้ว

 

ซูเฉินจะสามารถเป็นคู่ต่อสู้ได้หรือไม่?

 

รอยยิ้มที่สื่อความหมายประมาณว่า ‘ติดกับแล้ว’ ผุดขึ้นตรงมุมปากของเฟิงเล่ยเหอ กล่าวย้ำเตือน “จดจำสิ่งที่เจ้าพูดไว้ให้ดี สามารถใช้แค่เวทมนต์ตอนประลองกันเท่านั้น หากเจ้าละเมิดกฏ ก็อย่าหาว่าข้าไร้ปราณี!”

 

ซูเฉินเบ้ปาก “นี่ไม่ใช่เรื่องที่แกต้องกังวล ที่ต้องกังวล คือเรื่องเตรียมโลงเก็บศพตระกูลเฟิงของพวกแกกลับไปมากกว่า ”

 

ได้ยินแบบนั้น ฉีชิงเฉวียนและคนอื่นๆต่างหนาวสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ

 

ซูเฉินกล้าประกาศถึงขนาดนี้ เป็นไปได้ไหมว่าเขาสามารถฆ่าเฟิงจ้านได้จริงๆ?

 

แต่ถึงจะได้จริงๆ เมื่อเฟิงจ้านกำลังจะถูกฆ่า เฟิงเล่ยเหอมีหรือจะยอมอยู่เฉย?

 

ห้ามลืมนะว่า เฟิงเล่ยเหอคือ ระดับเทวะขั้น 7!

 

ซูเฉินไม่หวาดกลัวเพลิงแค้นของเฟิงเล่ยเหอเลยหรือ?

 

“ซูเฉิน เจ้าช่วยใจเย็นก่อน”

 

ซางฉุยซานกล่าวเตือนด้วยความไม่สบายใจ

 

“สิ่งที่ผมซูเฉินตัดสินใจแล้วว่าจะทำ ไม่มีใครสามารถหยุดได้!” ซูเฉินสีหน้าเคร่งขรึม กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จากนั้นมองไปยังเฟิงจ้าน ขึ้นเสียงว่า “เฟิงจ้าน ออกมารับความตายซะ!”

 

“โอหัง!”

 

เฟิงจ้านทนไม่ไหวอีกต่อไป ก้าวเท้าออกมา เผชิญหน้ากับซูเฉิน

 

การต่อสู้ใกล้จะปะทุแล้ว คนอื่นๆค่อยๆถอยหลังไปอย่างเงียบๆ เปิดเวทีให้พวกซูเฉิน

 

“ซูเฉิน ตอนนี้ยังไม่สายที่จะคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตา! เมื่อไหร่ที่ข้าลงมือ เจ้าจะไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว”

 

เฟิงจ้านกวาดสายตามองซูเฉิน สีหน้าท่าทีดูจองหองเป็นอย่างยิ่ง

 

“ก็แค่มดปลวก อย่ามัวแต่พล่ามไร้สาระอยู่เลย รีบๆลงมือซักที” ซูเฉินแค่นเสียงดูถูก

 

“แส่หาที่ตาย!” เฟิงจ้านคำราม ยกสองมือขึ้นอย่างช้าๆ

 

วินาทีถัดมา เห็นแค่เพียงแสงเรืองรองสว่างวาบจากมือทั้งสองข้างของเขา

 

ในมือซ้ายเป็นสายลมกำลังร่ายระบำ ในมือขวาเป็นบอลสายฟ้าที่สาดประกายระยับ

 

เวทมนต์สองธาตุ วายุสายฟ้า!

 

ที่แท้เฟิงจ้านเป็นปรมาจารย์มนตราสองธาตุ!

 

ฉีชิงเฉวียน และคนอื่นๆใบหน้าสั่นสะท้าน หากให้กล่าวโดยทั่วไปแล้ว ปรมาจารย์มนตราสองธาตุจะแข็งแกร่งกว่าผู้ใช้ธาตุเดียวมาก นั่นหมายความว่ากำลังรบของเฟิงจ้านย่อมเหนือกว่า ระดับเทวะขั้น 6 ทั่วๆไป

 

อย่างไรก็ตาม ฉีมู่เฟิงพอเห็นกลับแสดงท่าทีดูแคลนเล็กน้อย ซูเฉินคือปรมาจารย์มนตราที่เชี่ยวชาญทุกธาตุ ขณะที่เฟิงจ้านเชี่ยวชาญแค่สองธาตุ นี่ไม่ต่างอะไรจากการเล่นตลกต่อหน้าซูเฉิน

 

หลังจากที่เฟิงจ้านปลดปล่อยเวทมนต์สองธาตุออกมา ทันใดนั้นเอง สองมือของเขาประกบเข้าหากัน ในฉับพลันเวทมนต์สองธาตุผสานเป็นหนึ่ง

 

ในเวลาเดียวกัน บังเกิดคลื่นความผันผวนระหว่างเวทมนต์และสายฟ้า ทั้งสองรวมเข้าด้วยกันแล้วจริงๆ!

 

ฉีชิงเฉวียนและคนอื่นๆ ดวงตาตั้งตรง นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นเวทย์สองธาตุหลอมรวมเข้าด้วยกัน

 

แล้วอีกอย่าง หลังจากเวทมน์สองธาตุรวมเข้าด้วยกัน มันได้เปล่งอานุภาพอันน่าสะพรึงออกมา แรงกดดันทำให้พวกเขาลมหายใจติดขัด

 

ในเวลาเดียวกัน พวกเขาทั้งหมดเริ่มเกิดความกังวลแทนซูเฉิน

 

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ! ซูเฉิน! ตอนนี้เจ้ารู้ซึ้งถึงความเก่งกาจของข้ารึยัง!”เฟิงจ้านหัวเราะกำเริบเสิบสาน น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจอย่างสุดโต่ง