โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.68 – เติ้งเหนียนผู้ใช้อบิลิตี้แสง

 

ที่ฉินเฟิงกล่าวออกมา จริงๆแล้วดูจะเป็นคำเตือนซะมากกว่าการแนะนำตัว

 

เมื่อเสี่ยวไป๋อยู่ในรูปลักษณ์ของจิ้งจอกน้อย มันจะไม่ยินดีถูกสัมผัสจากมนุษย์คนอื่น ส่วนตอนที่อยู่ในรูปลักษณ์มนุษย์ ฉินเฟิงยิ่งแทบจะไม่อยากให้ใครเฉียดเข้ามาใกล้มัน

จึงย่อมเป็นธรรมดา ที่เขาไม่ต้องการให้คนอื่นๆปฏิบัติกับเสี่ยวไป๋เหมือนสุนัข

 

อย่างไรก็ตาม ในสายตาของคนอื่นๆ การแสดงออกของฉินเฟิงกลับกลายเป็นหยิ่งผยองอย่างสิ้นเชิง

 

นักเรียนบางคนที่เริ่มคุ้นเคยกัน เริ่มจับกลุ่มพึมพำขึ้นทันที

 

“นั่นมันการแนะนำตัวบ้าอะไร? มาสายแท้ๆแต่กลับหยิ่งผยองสิ้นดี!”

 

“มันก็แค่สัตว์เลี้ยงไม่ใช่รึไง?”

 

“สถาบันระดับกลางที่สิบ? -นั่นมันโรงเรียนในเขตสลัมไม่ใช่หรอ พวกที่จบมามีแต่เด็กกำพร้าไม่ก็ขอทานทั้งนั้น!”

 

ในพริบตา สายตาของฝูงชนก็เผยถึงความรังเกียจและหยามหยั่น พวกเขาเกลียดชังฉินเฟิงตั้งแต่แรกพบ

 

แต่พวกเขาไม่มีใครรู้เลย ว่านี่คือผลลัพธ์ที่ฉินเฟิงต้องการ มิฉะนั้นแล้วเขาจะเอ่ยปากบอกถึงสถาบันระดับกลางที่สิบของตัวเองทำไม ในความเป็นจริง สำหรับเขตเฉิงเป่ย ไม่ว่าจะสถาบันระดับกลางลำดับไหนก็เหมือนๆกัน แต่เนื่องจากตำแหน่งที่ตั้งของโรงเรียนมันอยู่กันคนละแห่ง ดังนั้นนักเรียนในแต่ละที่ก็ย่อมแตกต่างกันออกไป ในส่วนของสถาบันที่สิบ ที่ตั้งมันอยู่รอบนอกชายแดนทางตอนเหนือ อยู่ในชุมชนแออัด ใกล้ๆกับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า สภาพแวดล้อมของโรงเรียนก็ค่อนข้างเลวร้าย

ฉินเฟิงผู้ซึ่งอยู่ในสถานที่รอบนอก จึงถูกปฏิเสธ แปลกแยกจากนักเรียนคนอื่นๆทันที

 

เฉิงเฉารู้สึกปวดหัวเล็กน้อย เขาค้นพบแล้วว่าฉินเฟิงมีสกิลในการหาเหาใส่หัวที่ไม่เลวเลยจริงๆ

 

“เอาล่ะๆ ฉินเฟิง เธอไปหาที่นั่งเถอะ พวกเราจะได้เริ่มเรียนกันสักที”

 

โชคยังดีที่ที่นั่งส่วนใหญ่ในชั้นเรียนยังคงว่างอยู่ แต่แถวหน้าถูกจับจองหมดแล้ว ดังนั้นฉินเฟิงจึงเลือกไปนั่งริมหน้าต่าง

เมื่อทุกคนพร้อม เฉิงเฉาก็เปิดอุปกรณ์ฉายภาพ และเริ่มทำการสอน

 

“การเข้าร่วมในชั้นเรียนคลาสผู้ใช้อบิลิตี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเธอทุกคนคือนักเรียนที่สามารถปลุกแก่นอบิลิตี้ให้ตื่นขึ้นมาได้ ดังนั้นสิ่งที่พวกเราจะเรียนรู้กันในวันนี้ก็คือ ภาพรวมของอบิลิตี้ ต่อด้วยการบรรยายเกี่ยวกับพื้นฐานของรูน”

 

“หลังจากเกิดภัยพิบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ผู้ใช้อบิลิตี้ก็ถือกำเนิดขึ้นในหมู่มวลมนุษย์ โดยอบิลิตี้เหล่านั้นจะแยกออกเป็นสิบประเภท ได้แก่ทอง , น้ำ , ไม้ , ดิน , ไฟ , ลม , สายฟ้า , น้ำแข็ง ,แสง และความมืด ซึ่งแต่ละอันจะเป็นตัวแทนของความแข็งแกร่งตามลำดับ”

 

“ในอบิลิตี้จะประกอบไปด้วยรูน ซึ่งธาตุของรูนทั้งสิบจะก่อกำเนิดขึ้นจากฟ้าดิน และมีอยู่ทั่วทุกมุมโลก … ”

 

“ถ้าพวกเธอต้องการจะใช้งานอบิลิตี้ พวกเธอก็จำเป็นต้องดูดซับรูน โดยกระบวนการดังกล่าวมีอยู่สองวิธี”

 

“หนึ่งคือการดูดซับรูนจากฟ้าดิน ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ความยากลำบากในการดูดซับก็จะแตกต่างเช่นกัน”

 

“สองคือการออกล่าสัตว์ร้ายที่มีธาตุเดียวกันกับตนเอง และนำเอาแก่นพลังงานของพวกมันออกมา ไปวางไว้ในมิเตอร์เครื่องมือ!”

 

“การจัดเรียงรูนจะแตกต่างกันไปในแต่ละอบิลิตี้ ในห้องสมุดของสถาบันจะมีหนังสือรูนอยู่ ทุกคนสามารถไปอ่านมันดูได้ เพราะอบิลิตี้ของทุกคนในคลาสที่ตื่นขึ้นมานั้นแตกต่างกัน ดังนั้นพลังงานที่ควรจะได้รับก็ย่อมแตกต่างกัน เอาล่ะ ต่อไปก็มาเรียนเกี่ยวกับการฝึกฝนและยกระดับพลังสมาธิที่ง่ายที่สุด … ”

 

ฉินเฟิงรับฟังบทเรียนแรกอย่างตั้งใจ แม้จะมีบางส่วนที่เขาล่วงรู้อยู่ก่อนแล้วในชีวิตก่อนหน้า แต่มันไม่ได้รู้ละเอียดถึงขนาดนี้ ปัจจุบันเขาเลยอดทนตั้งใจฟัง เพื่อเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับอบิลิตี้ให้มากขึ้น

 

‘มีหนังสือเกี่ยวกับอบิลิตี้อยู่ด้วยอย่างงั้นหรอ? สงสัยจริงๆว่ามันจะมีหนังสือของธาตุมืดบ้างรึเปล่า!’

 

ฉินเฟิงครุ่นคิด ส่วนเฉิงเฉาก็ยังคงกล่าวอธิบายถึงพลังสมาธิ ซึ่งความรู้เหล่านี้ เป็นสิ่งใหม่ที่ฉินเฟิงเพิ่งจะเคยได้ยิน เรียกได้ว่าเปิดโลกทัศน์ใหม่ไปเลย

 

ดังนั้น ในบทเรียนแรกตลอดทั้งชั่วโมง ฉินเฟิงจึงได้รับความรู้ไปเต็มๆไม่มีตกหล่น

 

เฉิงเฉาสอนอยู่เบื้องหน้านักเรียนทุกคน ดังนั้นเขาย่อมรับรู้ได้เป็นอย่างดี ว่ามีใครบ้างที่กำลังตั้งใจฟัง

 

‘ต้องอย่างนั้นสิ ถึงจะควรค่าแก่การครอบครองความเข้มข้นของพลังสมาธิระดับ S ตราบใดที่เธอตั้งใจเรียนอย่างหนัก เธอจะไม่ด้อยไปกว่าคนอื่นๆแน่นอน’

 

การบรรยายดำเนินไปเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมง เนื่องจากความรู้บางอย่างสามารถหาเองได้จากเครือข่ายนักสู้ นักเรียนหลายคนเลยไม่ค่อยตั้งใจฟังเท่าไหร่นัก แตกต่างจากฉินเฟิงที่ใจจดใจจ่ออยู่กับมัน

 

“เอาล่ะ คราสแรกจบลงเพียงเท่านี้ พวกเธอตามฉันมา เราจะไปที่หอประชุมด้วยกัน การประชุมกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า!”

 

เฉิงเฉาสั่งนักเรียนในชั้น

 

การประชุมที่ว่า แน่นอนย่อมไม่ใช่การประชุมธรรมดา โดยปกติแล้วการชุมในที่กำลังจะเกิดขึ้น มักจะจัดปีละครั้ง และคนจากในสถาบันระดับสูงทั้งหมดจะต้องเข้าร่วม แม้กระทั่งคนที่แข็งแกร่งที่สุดในสถานชุมชนทางตอนเหนือ ผู้ใช้อบิลิตี้เลเวล E ผู้อำนวยการเติ้งเหนียนเองก็มาเข้าร่วมเช่นกัน

 

เติ้งเหนียนคนนี้ คือคนๆเดียวกับที่นายพลหวังเฉิงผู้เคยชักชวนฉินเฟิงเข้าร่วมกับกองทหารเสือไฟ เรียกว่าตาแก่เติ้ง!

 

นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉินเฟิงได้เห็นเติ้งเหนียนหลังจากที่เกิดใหม่ แต่เจ้าตัวก็รู้สึกเฉยๆ เพราะในชีวิตก่อน เขากับเติ้งเหนียนมิได้มีปฏิสัมพันธ์ใดๆต่อกัน และอีกหลายปีต่อมา ฉินเฟิงได้กลายเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณในเลเวล A เป็นตัวตนที่กระทั่งเติ้งเหนียนเองก็ต้องแหงนหน้ามอง

 

ตรงกันข้ามกับนักเรียนคนอื่นๆ พวกเขาตื่นเต้นกันมาก ที่ได้พบกับเติ้งเหนียนตัวเป็นๆ ทั้งหมดมองผู้อำนวยการคนนี้ราวกับว่าเป็นวีรบุรุษ

 

ฉินเฟิงขมวดคิ้ว เพราะบรรยากาศที่เติ้งเหนียนแผ่ออกมา มันชวนให้ฉินเฟิงรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง

 

“ฉันลืมไปเลย ว่าเติ้งเหนียนน่ะเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ธาตุแสง!”

 

แสงสว่างกับความมืด ชัดเจนว่าเป็นปรปักษ์ต่อกัน ณ ขณะนี้ในห้องประชุม เติ้งเหนียนคล้ายกับว่ามีรัศมีแสงที่หาได้ยากยิ่งเปล่งประกายอยู่รอบตัวเขา นี่ดูคล้ายกับตะวันดวงน้อยๆ ดึงดูดทุกสายตาของผู้คน

 

“นั่นผู้อำนวยการเติ้ง แค่มองก็รู้สึกได้เลยถึงความแข็งแกร่ง นายก็เห็นใช่ไหม? แสงที่เปล่งออกมาจากรอบตัวของเขาน่ะ!”

 

“ผู้อำนวยการเติ้งคือผู้ใช้อบิลิตี้ที่ทรงพลัง!”

 

“อบิลิตี้ของเขาร้ายกาจเกินไป ฉันเคยได้ยินข่าวลือมา ว่าต่อให้ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงขนาดไหน ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ผู้อำนวยการเติ้งจะสามารถช่วยชีวิตอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน!”

 

นักเรียนทุกคนเงยหน้าขึ้นมองด้วยความเคารพนับถือ และไม่นานนัก เสียงของเติ้งเหนียนก็กระจายไปทั่วทั้งห้องประชุม

 

สำหรับพวกรุ่นพี่ พวกเขาร่วมประชุมโดยการรับฟังการออกอากาศจากในห้องเรียน ไม่จำเป็นต้องมาที่หอประชุม อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็รู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้กัน

 

เพราะผู้อำนวยการเติ้งคือตัวแทนแห่งศรัทธาของสถาบันระดับสูงในชุมชนทางตอนเหนือ!

 

“ยินดีต้อนรับนักเรียนใหม่เข้าสู่รั้วสถาบันระดับสูงของสถานชุมชนทางตอนเหนือ .. ” ผู้อำนวยการเติ้งกล่าว ทุกคำพูดของเขาคล้ายกับบทสวดอันศักดิ์สิทธิ์ ให้ความรู้สึกราวกับว่าผู้ฟังกำลังอาบน้ำแร่อยู่ท่ามกลางสายลมในฤดูใบไม้ผลิ

 

ซึ่งน่ากลัวว่าคงจะมีฉินเฟิงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้สึกว่ามันไม่ใช่!

 

แต่โชคยังดี ที่ไม่นานนัก ฉินเฟิงก็ได้รับฟังถึงสิ่งที่เขาต้องการ

 

“พวกเธอเพิ่งจะเข้าเรียนในสถาบันทางตอนเหนือ ดังนั้นภายในเดือนนี้ขอจงตั้งใจฝึกฝนอย่างหนัก เพราะหนึ่งเดือนต่อมา พวกเราจะทำการประเมินทางกองทัพ ทุกคนจะต้องเข้าร่วมการล่าสัตว์ร้ายใน ‘สวนล่าฤดูใบไม้ผลิ’ ซึ่งเป็นจุดรวมพลของเมืองเฉิงหยาง การเข้าร่วมในครั้งนี้ จะมีสถาบันระดับสูงเข้าร่วมด้วยกันทั้งสิ้น 5 แห่ง สำหรับคนที่สามารถคว้าตำแหน่งสิบอันดับแรก จะได้รับรางวัลเป็นตราสัญลักษณ์ โลโก้ผู้ใช้พลังเลเวล G ในทันที ส่วนนักเรียนที่ได้ร้อยอันดับแรก จะได้รับรางวัลระดับสูง ฉะนั้น ขอให้ทุกคนตั้งใจฝึกฝนให้ดี!”

 

ทันทีที่ประโยคนี้ของเขาหลุดออกมา เสียงฮือฮาก็อื้ออึงไปทั่วทั้งหอประชุม

 

ในความเป็นจริง การที่หลายคนเข้าร่วมกับสถาบันระดับสูง ก็เพราะพวกเขาไม่อยากจะเผชิญกับความโหดร้ายในทุ่งล่าเร็วจนเกินไป -ก็แล้วใครบ้างเล่าในโลกนี้ที่ต้องการจะรับความเสี่ยงถึงตายตั้งแต่ยังเด็ก?

 

แต่พวกเขาไม่คิดคิดเลย ว่าเพียงหนึ่งเดือนต่อมา ก็จะต้องเผชิญกับอันตรายของจริงซะแล้ว!

 

ทว่าในเวลานี้ ดวงตาของฉินเฟิงกลับสว่างวาบ

 

“สวนล่าฤดูใบไม้ผลิ!”

 

มันคือสถานที่ซึ่งรอยแยกมิติมีเสถียรภาพมากที่สุด และยังอยู่ในมือของสถาบันระดับสูงทั้งห้าแห่ง เป็นสถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมดีเยี่ยม เปี่ยมไปด้วยสมบัติทางธรรมชาติ สัตว์ร้ายในพื้นที่เองก็ไม่แข็งแกร่งเท่าใดนัก

 

อย่างไรก็ตาม ที่อธิบายมาข้างต้นน่ะไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะฉินเฟิงล่วงรู้ความลับหนึ่ง นั่นก็คือใจกลางของสวนล่าฤดูใบไม้ผลิ มันมีต้นผลไม้ที่ช่วยเพิ่มพลังสมาธิให้แข็งแกร่งขึ้นอยู่ เรียกกันว่า ‘ต้นไม้แห่งสมาธิ’

 

ซึ่งในข้อนี้เอง คือหนึ่งในปัจจัยที่ฉินเฟิงตัดสินใจเข้าร่วมกับสถาบันระดับสูง!

 

แต่ในเวลานี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นเพราะเกิดความวุ่นวายในฝูงชนมากจนเกินไป เติ้งเหนียนจึงกล่าวเสริมอีกครั้ง “สถานชุมชนทางตอนเหนือจำเป็นต้องมีวีรบุรุษ และฉันคาดหวังให้นักเรียนของสถาบันเรากลายเป็นวีรบุรษ ในเมื่อพวกเธอยังไม่ทราบว่าในทุ่งล่าน่ากลัวเพียงใด ดังนั้นเราจำเป็นต้องแสดงมันให้พวกเธอได้รับชม ว่าในเวลานี้ สถานที่ชุมชนทางตอนเหนือกำลังพบเจอกับปัญหาร้ายแรงบางอย่างอยู่”

 

ระหว่างกล่าว เติ้งเหนียนก็เปิดเล่นภาพวิดีโอ