โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.65 – ทักษะเปลี่ยนรูปที่ทรงพลัง

 

ฉินเฟิงจัดแจงแปลงโฉมเสี่ยวไป๋อย่างมิดชิด เขาม้วนผมสีขาวของมันไปไว้ในหมวก ส่วนใบหน้าก็ให้สวมแว่นกันแดด

 

แต่แว่นกันแดดที่ให้สวม ดูจะใหญ่เกินกว่าใบหน้าของเสี่ยวไป๋ไปเล็กน้อย เพราะแว่นนี้ เดิมฉินเฟิงซื้อมาคราวก่อนเพื่อใช้กับตัวเอง เผื่อเอาไว้ในกรณีที่จำเป็นต้องอำพรางใบหน้า

 

หลังจากเสี่ยวไป๋สามารถยกระดับขึ้นเป็นราชันย์สัตว์ร้าย เวลาก็ปาเข้าไป 7 โมงเช้าแล้ว มีผู้คนมากมายเริ่มทยอยกันลงมาชั้นล่าง ระหว่างทางที่ฉินเฟิงพาเสี่ยวไป๋ลงไปยังลานจอดรถชั้นใต้ดิน เขาก็ได้ยินเสียงคนมากมายสนทนากัน

 

“คุณรู้สึกถึงมันรึเปล่า? กลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวเมื่อกลางดึกน่ะ?”

 

“รู้สึกสิ มันสมควรที่จะเป็นกลิ่นอายของราชันย์สัตว์ร้าย”

 

“แต่ไม่มีสัญญาณเตือนภัยดังนะ ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ก่อความเสียหายอะไร”

 

“ไอ้ตัวนั้น มันน่าจะว่องไวมากแน่ๆเลย ระบบจึงไม่ทันได้ล็อคเป้ามันแล้วแจ้งเตือน ไม่อย่างนั้นก็สมควรที่จะเป็นราชันย์สัตว์ร้ายที่มีปีก แล้วบินผ่านน่านฟ้าไป”

 

“โชคดีจริงๆที่มันบินผ่านไปเฉยๆ!”

 

ผู้คนต่างผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก ส่วนฉินเฟิงกับเสี่ยวไป๋ตัวก่อเหตุ มิได้ร่วมวงสนทนา ทำราวกับไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ เร่งตรงไปยังรถศึก และขับออกจากชั้นใต้ดิน

 

เนื่องจากทั้งเสี่ยวไป๋และฉินเฟิงมีความประทับใจที่ดีต่อร้านขายเสื้อผ้าก่อนหน้านี้ ดังนั้นคราวนี้ พวกเขาจึงตัดสินใจไปเลือกซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เดิม

 

“ยินดีต้อ- อ้าว มิสเตอร์ฉิน!”

 

เสียงอุทานประหลาดใจ ทำให้ฉินเฟิงต้องเงยหน้าขึ้นมอง แล้วเขาก็เห็นว่าเจ้าของเสียงไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเสี่ยวเหลียน สาวต้อนรับของคลับอินทรีเมื่อคืนนั่นเอง

 

ฉินเฟิงเองก็ประหลาดใจเช่นกัน

 

“ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่?”

 

เสี่ยวเหลียนยิ้มด้วยความตื่นเต้น กระพริบตาปริบๆ “ปกติแล้วฉันทำงานอยู่ที่นี่ ส่วนงานในคลับอินทรีเป็นแค่งานพิเศษ แต่ฉันไม่ได้ทำมันอีกต่อไปแล้วนะ!”

 

ประโยคนี้ ฉินเฟิงรู้ได้ทันทีว่าเสี่ยวเหลียนโกหก เพราะคราวก่อนที่มา เขาไม่ได้เจอเธอ

 

และเสี่ยวเหลียนก็ไม่ได้บอกความจริง ว่าจริงๆแล้วเธอได้เข้าไปทำงานกับคลับอินทรีตั้งแต่อายุ 16 ปี แถมยังมีตาแก่ในคลับหลายคนคอยชุบเลี้ยง อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้มองคนหนุ่มสาวเป็นแค่เพียงอาหารไว้ลิ้มชิมรสเท่านั้น พอเบื่อเมื่อไหร่ บางทีในวันถัดไปอาจจะวางยา หรือฆ่าทิ้งกลายเป็นศพก็ได้

 

แม้ว่าเสี่ยวเหลียนจะทำงานมาสามปีแล้ว แต่ก็มีหลายครั้งที่ชีวิตเธอเฉียดเข้าไปใกล้กับความตาย เธอเคยถึงขั้นใช้เงินออมเพื่อซื้อยารักษาโรค จนสุดท้ายก็รอดชีวิตมาได้ แต่รอดมาแล้วยังไง? ในเมื่อเธอไม่มีทักษะใดๆที่จะใช้หาเงินในทางสุจริตเลย ที่สำคัญเสี่ยวเหลียนไม่ยินดีที่จะทำงานที่นั่นอีกต่อไป

 

และเมื่อวานนี้ คือวันที่เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของเสี่ยวเหลียน

 

เมื่อรวมกับเงินที่ฉินเฟิงมอบให้ เสี่ยวเหลียนเลยมีเงินเก็บอยู่ในมือเธอถึง 1.4 ล้านเหรียญ ซึ่งเพียงพอที่จะซื้อห้องเล็กๆในสถานชุมชน

 

ซึ่งอันที่จริงแล้ว ที่เธอดิ้นรนมาตลอดทั้งสามปี มันก็เพื่อมีเตียงอุ่นๆให้หนุนนอนเป็นของตัวเองไม่ใช่หรือ?

โชคดีที่ตามปกติ เธอทำงานอย่างมีเหตุผลและซื่อสัตย์ ไหนจะเรื่องที่มักจะมีสาวต้อนรับมากมายในคลับอินทรี ลาออกไปอยู่กับเศรษฐีประจำถิ่น ทางคลับเลยไม่คิดมากอะไร ยอมปล่อยให้เสี่ยวเหลียนลาออกไปแต่โดยดี

 

หลังจากซื้อที่ซุกหัวนอน เสี่ยวเหลียนก็ยังเหลือเงินอีกจำนวนหนึ่งไว้ใช้จ่าย และนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืน ฉินเฟิงเหมือนจะสวมใส่เสื้อผ้าแบรนด์นี้ เธอจึงตัดสินใจมาลองเลือกซื้อดูบ้าง

ผลลัพธ์คือเธอได้พบว่า ร้านสินค้าแบรนด์นี้กำลังรับสมัครพนักงานอยู่พอดี เสี่ยวเหลียนจึงตัดสินใจที่จะทำงานที่นี่ทันที โดยหวังว่าเธออาจจะมีโอกาสได้พบเจอกับฉินเฟิง

 

และเธอก็ได้รับโชคที่ว่านั่นจริงๆ ไม่คาดคิดเลย ว่าเธอจะมาเร็วกว่าฉินเฟิงเพียง 10 นาทีเท่านั้น

 

“อ้อ อย่างงั้นหรอ” ฉินเฟิงพยักหน้า แต่ไม่ได้เปิดเผยว่าเสี่ยวเหลียนโกหก

 

เพราะยังไงซะ การที่ไม่ต้องไปทำงานในคลับอินทรีที่มีแต่พวกงูพิษ เป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้ว

 

“เอาล่ะ ในเมื่อเธออยู่ที่นี่ งั้นรบกวนเธอช่วยเลือกชุดที่เหมาะกับเด็กคนนี้ให้หน่อยสิ พวกชุดชั้นในด้วยนะ!” ฉินเฟิงกล่าวด้วยความลำบากใจ พลางชี้ไปทางเสี่ยวไป๋ที่กำลังดึงชายเสื้อเขาอยู่

 

เสี่ยวไป๋หันไปมองรอบๆ

 

ครั้งก่อนที่มันมาที่นี่ เสี่ยวไป๋ยังเป็นแค่จิ้งจอกตัวน้อย ดังนั้น ในสายตาของมันเลยมองเห็นแค่เพียงชุดแต่งงานสัตว์เลี้ยง แต่คราวนี้ มันรู้แล้วว่าเสื้อผ้าของสัตว์สองขาสวยงามเพียงใด

 

อย่างไรก็ตาม แว่นกันแดดสีดำที่มันใส่ ใหญ่และเกะกะลูกตาเกินไป เสี่ยวไป๋จึงถอดแว่นออก เผยให้เห็นถึงใบหน้าที่งามล่มเมือง

 

“หนูต้องการตัวนั้น และตัวนั้น!”

 

เสี่ยวไป๋เริ่มชี้ไม้ชี้มืออย่างไม่มีมารยาท

 

“เอาล่ะๆ อยากจะได้อะไรก็ไปบอกพี่สาวพนักงานเถอะ … ” ฉินเฟิงส่งเสี่ยวไป๋ให้กับเสี่ยวเหลียน เดินไปหย่อนก้นลงบนโซฟาเพื่อพักผ่อน

 

เขาเหนื่อยล้านิดหน่อย และอดไม่ได้ที่จะหลับตาลงเพื่อสงบสติอารมณ์

 

เสี่ยวไป๋ไม่ได้วุ่นวายกับฉินเฟิงอีก มันเริ่มเลือกเสื้อผ้าด้วยตัวเอง ก่อนจะเข้าไปในห้องลองชุด

 

ณ จุดนี้ พอเสี่ยวเหลียนได้เห็นเสี่ยวไป๋ชัดๆ จู่ๆเธอก็บังเกิดความรู้สึกอิจฉาขึ้นมา

 

เพราะวัยรุ่นตรงหน้าเธอ เป็นคนที่สวยมากๆ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายยังเด็ก แต่ก็งดงาม อีกอย่างเสียงก็ไพเราะน่าฟัง

 

และจากมุมมองที่ฉินเฟิงยอมตามใจเด็กน้อยคนนี้ ก็ยิ่งทำให้เสี่ยวเหลียนรู้สึกอึดอัดในจิตใจ ทว่าปัจจุบันเธอเป็นพนักงานของร้าน ดังนั้นย่อมไม่แสดงนิสัยเสียในส่วนลึกออกมา

 

“คุณหนูน้อย เชิญทางนี้ ไม่ทราบว่าคุณต้องการชุดชั้นในไซต์อะไร ที่นี่ทางเรามีให้เลือกทุกขนาดเลย!”

 

“ไซต์คืออะไรหนูไม่รู้จัก? อื๋อ? แต่ไม่ใช่ว่านายท่านบอกให้พี่สาวพนักงานเป็นคนช่วยเลือกหรอกหรอ?” เสี่ยวไป๋พูดออกมาตรงๆ

 

พอได้ฟัง หน้าอกของเสี่ยวเหลียนก็รู้สึกจุกอย่างบอกไม่ถูก

 

‘นายท่าน?’ คำเรียกนี้มันอะไรกัน? อย่าบอกนะว่ามิสเตอร์ฉินชอบอะไรทำนองนี้?

 

เสี่ยวเหลียนพยายามยิ้มด้วยใบหน้าแข็งทื่อ “เอ่อ .. ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปลองสวมมันกันก่อนเถอะค่ะ!”

 

ทั้งสองคนเดินกันไปยังห้องลองชุด เสี่ยวเหลียนพับแขนเสื้อขึ้น จัดแจงปลดเสื้อผ้าอย่างช่ำชอง เหมือนคนที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้เป็นอย่างดี

แต่หลังจากที่เข้าไปในห้องลองชุด แล้วปลดเสื้อผ้าของเสี่ยวไป๋ เธอกลับพบว่าในปัจจุบัน อีกฝ่ายไม่ได้สวมใส่ชั้นในเลยทั้งบนล่าง ทั้งตัวนอกจากเสื้อนอกแล้ว เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นกระดาษขาวที่ว่างเปล่า

 

‘สภาพแบบนี้ คงไม่พ้นเป็นสินค้าที่พวกคนร่ำรวยซื้อมาเก็บไว้ดูเล่น แต่นี่มันจะมากเกินไปรึเปล่า? ถึงขั้นย้อมขนทั้งตัวให้กลายเป็นสีขาวเนี่ยนะ?

แต่เนื่องจากที่อีกฝ่ายคือฉินเฟิง เสี่ยวเหลียนเลยรู้สึกอิจฉาในหัวใจ เธออดไม่ได้ที่จะแสดงออกทางสีหน้า และหลุดถามคำที่ไม่สมควรจะกล่าวออกมา

 

“เสี่ยวไป๋ คุณเรียกมิสเตอร์ฉินว่านายท่านใช่ไหม แล้วคุณปรนนิบัติอะไรให้แก่เขาบ้าง?”

 

เสี่ยวไป๋เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยแววตาแปลกใจ และเริ่มย้อนนึกไปถึงตอนที่ฉินเฟิงกับมันอยู่ด้วยกัน แล้วเอ่ยปากออกมา “ไม่ใช่หรอก เขาต่างหากที่ปรนนิบัติหนู! เขาทั้งช่วยหนูอาบน้ำ เตรียมอาหารให้หนู และซื้อของขวัญให้หนูเมื่อหนูโกรธ!”

 

เอ้า!? สรุปฉินเฟิงกลายเป็นคนรับใช้ไปซะงั้น?

 

สีหน้าของเสี่ยวเหลียนบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย

 

‘นังเด็กนี่ .. กำลังจงใจโอ้อวดฉันอยู่ใช่ไหม?’

 

เสี่ยวเหลียนอดไม่ได้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “นั่นไม่ถูกต้อง คุณต่างหากที่สมควรปรนนิบัติเจ้านาย แต่น่าเสียดายที่คุณยังเด็กเกินไป ตอนนี้ฉันเกรงว่าคุณคงไม่สามารถทำให้เขาพึงพอใจได้!”

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ เสี่ยวเหลียนก็มองสายตาเหยียดๆลงบนหน้าอกที่แบนราบราวกับพื้นสนามบินของเสี่ยวไป๋

 

เสี่ยวไป๋เดิมเป็นสัตว์ร้าย ดังนั้นการรับรู้ของมันจึงเฉียบแหลมเป็นอย่างมาก ในขณะนี้ หากมันยังไม่รู้ตัวว่าเสี่ยวเหลียนกำลังแสดงท่าทีเป็นปรปักษ์ มันคงเป็นแค่ตัวโง่งม

 

น้ำเสียงของมันกลายเป็นเย็นชา แม้จะไม่ได้แฝงความรู้สึกโกรธใดๆ หากแต่ก็ยังปลดปล่อยแรงกดดันที่คล้ายกับของฉินเฟิงออกมา

 

“พี่สาวหมายความว่ายังไง?”

 

เสี่ยวเหลียนไม่ได้รู้สึกถึงอันตรายใดๆ กล่าวแดกดันสวนกลับไป “เด็กน้อย ร่างกายที่ผอมแห้งและแบนราบของเธอ มันไม่สามารถทำให้มิสเตอร์ฉินพอใจได้หรอก เสื้อผ้าที่ใส่ได้ก็มีจำกัด ที่เลือกมามันไม่เหมาะกับตัวเธอเลยไม่เหมือนกับพี่สาว จงเบิ่งตาดูให้ดี!”

 

เต่งตึง!

 

เสี่ยวเหลียนปลดกระดุม จงใจยื่นหน้าอกของตัวเองลงจี้หน้าเสี่ยวไป๋ เปิดเผยถึงความอวบอิ่มของหญิงสาว

 

เสี่ยวไป๋เผยสีหน้าเย้ยหยัน

 

“มันก็แค่ก้อนเนื้อสองก้อนบนหน้าอกไม่ใช่หรอ? แต่ดูพี่สาวจะภูมิใจกับมันมากเลยนะ … ก็เอาสิ! ของแค่นี้คิดว่าหนูจะทำไม่ได้หรอ?”

 

ขณะกล่าว เสี่ยวไป๋ก็เริ่มกระตุ้นใช้ทักษะเปลี่ยนรูป พริบตานั้นหน้าอกของมันพลันพองโตขึ้น เปลี่ยนจากลานสนามบินกลายเป็นลูกแตงโมอย่างกระทันหัน!

 

เสี่ยวเหลียนตะลึงงัน สตั้นไปครู่หนึ่ง พอได้สติก็เริ่มกรีดร้อง “ส .. ส ..สัตว์ประหลาด!!”

 

ฉินเฟิงที่กำลังเอนกายหลับตา ทำสมาธิอยู่ ลืมตาขึ้นตื่นขึ้นทันที ผุดลุกพุ่งตรงไปทางห้องลองชุดด้วยความเร็วที่มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นก็พบกับเสี่ยวเหลียนที่กำลังเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะสลับไปมองเสี่ยวไป๋ที่เชิดอก โชว์มันด้วยสีหน้าบริสุทธิ์ไร้เดียงสา

 

ภาพตรงหน้า ทำเอาฉินเฟิงแทบจะทนแรงกระตุ้นนี้ไม่ไหว เกือบจะต้องเอาหัวตัวเองไปโขกกับกำแพงเพื่อระงับสติอารมณ์!