โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.42 – การเล่นละครของเฉินหมิง

 

ความจริงแล้ว วิกกฤติที่เกิดขึ้นกับอุปกรณ์รักษาเสถียรภาพมิติเมื่อประมาณหนึ่งเดือนก่อน มันเกิดจากฝีมือของมนุษย์

 

หรือจะเรียกว่าเป็นการทดลองบางอย่างก็ได้ และในเวลาเดียวกันนั้นเอง พวกเขาก็สังเกตเห็นถึงตัวตนของเฉินหมิง

 

ตัวตนที่มีลักษณะเฉพาะที่องค์กรมืดชื่นชอบเป็นอย่างมาก

 

เห็นแก่ตัว ปลิ้นปล้อน เจ้าเล่ห์หลอกลวง

 

ดังนั้นพวกเขาจึงเชื้อเชิญเฉินหมิงภายใต้ชื่อทีมทหารรับจ้าง และในครึ่งเดือนที่ผ่านมา พวกเขาก็สามารถชักชวนเฉินหมิงให้เข้าสู่ด้านมืดได้สำเร็จ



ทีมทหารรับจ้างที่ดึงเฉินหมิงเข้าสู่ด้านมืด เป็นหนึ่งในทีมที่มีชื่อเสียงมากในสถานที่ชุมชนทางตอนเหนือ แม้จะรู้ตัวว่าตนต้องทำเรื่องเลวร้าย แต่สำหรับเฉินหมิง เขาไม่คิดว่ามันผิดปกติใดๆ ตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกว่านี่คือกฏแห่งการอยู่รอดในป่าใหญ่ต่างหาก

 

ไร้ซึ่งศีลธรรมหรือข้อกฏหมายใดๆ มีเพียงความแข็งแกร่งเท่านั้นที่ใช้พิสูจน์ความจริง

 

ไม่เพียงแค่นั้น แต่เฉินหมิงยังรู้สึกอีกด้วยว่า คนที่ไม่สามารถปลุกพลังขึ้นมาได้ แท้จริงแล้วพวกมันก็เป็นแค่มดปลวกที่อ่อนแอ

 

ยิ่งได้รู้ว่าทีมนี้ใช้คนธรรมดาเพื่อเป็นเหยื่อล่อสัตว์ร้าย ที่เรียกกันโดยทั่วไปว่าการล่อปลามากินเบ็ดแล้ว

 

เฉินหมิงก็ยิ่งไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ  เจ้าตัวทำกระทั่งเข้าไปแนะนำแผนการ ดำเนินการตามแผน และยังเป็นนักวางแผนที่ดี



ยิ่งนานวัน เฉินหมิงก็ยิ่งรู้สึกกลมกลืนไปกับทีมนี้ เมื่อแผนของตนเองได้รับความสนใจ ตัวเขาจึงยิ่งรู้สึกมีค่า

 

ส่วนในเรื่องมือที่ต้องเปื้อนเลือด และหัวใจที่คล้ายถูกความชั่วร้ายครอบงำ เฉินหมิงไม่สนใจ

 

เขาคิดว่าตนทำถูกต้อง และกำลังจะกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ!

 

และในครั้งนี้ คือการทดสอบครั้งสุดท้ายของทีม ก่อนที่เขาจะได้เข้าร่วมกับมันอย่างเต็มรูปแบบ

 

พวกเขาบอกกับเฉินหมิงว่า มีองค์กรหนึ่งยินดีจะจ่ายเงินจำนวนมาก เพื่อซื้อผู้ที่เพิ่งสามารถปลุกพลังพิเศษขึ้นมาใหม่ ในราคา 30 ล้านเหรียญ

 

และหากเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ คนจากทางองค์กร จะแบ่งปันส่วนต่างให้กับเฉินหมิงเป็นเงินกว่า 3 ล้านโดยตรง!

 

สิ่งที่ดีเช่นนี้ มิแตกต่างไปจากของขวัญที่ร่วงหล่นลงมาจากสรวงสวรรค์ เฉินหมิงกระตือรือร้น ทำงานอย่างเต็มที่จริงจัง ทักทั้งแชทกลุ่มแชทเดี่ยวหาทุกคน สุดท้ายก็พบเป้าหมายเป็นจ้าวหยวนหยวน!

 

แต่ในความเป็นจริง เฉินหมิงต้องการให้เป้าหมายเป็นฉินเฟิงหรือโจวฮ่าวซะมากกว่า

 

อย่างไรก็ตาม เฉินหมิงไม่คาดคิดเลย ว่าคนทั้งหมดในทีมของเขาจะตายลง

 

นอกจากนี้ คนที่สังหารพวกเขายังเป็นฉินเฟิง!

 

“ฉินเฟิงมันยังปลุกพลังไม่ได้ไม่ใช่รึไง? ทำไมจู่ๆมันถึงกลายเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณไปได้ แล้วทำไมมันถึงได้มีอุปกรณ์รูนสีเงิน!”

 

“แย่แน่ๆ ถ้าสถานะของคนพวกนั้นถูกค้นพบ เรื่องราวอาจสาวมาถึงตัวฉันก็ได้”

 

“ฉินเฟิง ไอ้สารเลว บัดซบ บัดซบ!”

 

เฉินหมิงชิงชังฉินเฟิงอย่างแท้จริง

 

แต่ในเวลานี้ ฉินเฟิงเองก็กำลังมองมาทางเฉินหมิงอยู่เช่นกัน

 

สายตาของเขาช่างเย็นยะเยือก แม้ช่วงนี้จะเป็นฤดูร้อน หากแต่มันกลับทำให้เฉินหมิงสั่นสะท้าน

 

เวลานี้ หัวใจของเฉินหมิงยิ่งนานก็ยิ่งหวาดกลัว เขารู้สึกเสมอมา ว่าฉินเฟิงคล้ายจะล่วงรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง

 

ตอนนี้ หน่วยลาดตระเวนพาตัวนักเรียนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บขึ้นมารวมกันบนรถ เฉินหมิงทนไม่ไหว ต้องหลบเลี่ยงสายตาของฉินเฟิง

 

หน่วยลาดตระเวนพาพวกเขาออกจากที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว เพื่อทำการสอบสวน เมื่อได้นั่งท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ สตินึกคิดของนักเรียนก็เริ่มกลับมา แม้ว่าจะยังสับสนอยู่บ้างก็ตาม

 

ในทางกลับกัน เป็นฉินเฟิงที่สงบจนน่าประหลาดใจ

 

….

 

เหตุการณ์นี้เกือบจะกลายเป็นโศกนาฏกรรม ขึ้นพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งว่า : กลุ่มนักเรียนบริสุทธิ์ที่เพิ่งจบการศึกษาระดับกลางโชคไม่ดี ถูกบุกจู่โจม สังหารลงโดยกลุ่มก่อการร้าย

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเปิดกล้องวงจรปิดดู กลับไม่คาดคิดเลย ว่าจะมีนักเรียนคนหนึ่ง สามารถจัดการกลุ่มก่อการร้ายที่ว่าลงได้เพียงลำพัง


เมื่อได้ดูวิดีโอย้อนหลังจนจบ ความรู้สึกในตอนนี้ มันคล้ายกับว่าในอกเต็มไปด้วยม่านหมอก

 

“เธอรู้มาก่อนใช่ไหม ว่าพวกเขาจะมา?”

 

“ผมไม่รู้”

 

“ถ้าไม่รู้ แล้วทำไมเธอถึงเอาอาวุธมาด้วย นักเรียนที่จบการศึกษาใหม่และเพิ่งได้รับการฉีดยากระตุ้น ทำไมจู่ๆถึงได้มีอาวุธรูน!”

 

ฉินเฟิงเงยหน้าขึ้น มองเข้าไปในแววตากระตือรือร้นของอีกฝ่าย ที่กำลังจ้องอาวุธรูนด้วยความสนใจ

 

ฉินเฟิงย่อมรู้ดีว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้

 

เพราะสำหรับทุกคน มันเป็นไปไม่ได้หรอก ที่เมื่อได้เห็นอาวุธรูนสีเงินแล้วจะไม่เกิดความละโมภ!

 

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายพยายามที่จะหาเบาะแสบางอย่าง และมันคงจะเป็นการดีกว่าหากตนเองให้ความร่วมมือ

 

เมื่อถึงเวลานี้ มันคงจะปิดบังต่อไปไม่ได้แล้ว ว่าใครเป็นเจ้าของอาวุธ

 

ฉินเฟิงมองอีกฝ่ายด้วยความเย็นชา

 

“ทั้งๆที่ผมเป็นเหยื่อแท้ๆ แต่เป็นเพราะผมดันใช้มีดนี้ไปฆ่าคนร้าย ตอนนี้คุณเลยมาสอบสวนผมซะงั้น?”

 

ในแววตาของฉินเฟิงสาดประกายสังหาร

 

ไม่ว่าจะก่อนเกิดใหม่หรือหลังเกิดใหม่ ฉินเฟิงก็ฆ่าคนไปแล้วมากมาย อีกอย่าง สภาพเสื้อผ้าในปัจจุบันของเขา มันถูกย้อมไปด้วยสีแดงเลือด ส่งผลให้ภาพลักษณ์ยิ่งดูเย็นชา ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว

 

คนจากหน่วยลาดตระเวนผวาไปพักหนึ่ง

 

“อย่าเข้าใจผิดไป พวกเราก็แค่ถามเพื่อต้องการหาเบาะแสบางอย่างก็เท่านั้นเอง!” คนจากหน่วยลาดตระเวนกระแอมไอ และรีบเปลี่ยนเรื่อง

 

“เธอเคยไปทำผิดต่อใคร หรือทำให้พวกเขาขุ่นเคืองบ้างรึเปล่าเมื่อเร็วๆนี้”

 

“เอ เรื่องนั้นไม่แน่ใจแฮะ”

 

“แล้วพวกองค์กรมืดมันพูดอะไรออกมาบ้างรึเปล่าก่อนหน้าที่จะถูกเธอฆ่า?”

 

“มันบอกให้เอาตัวผู้หญิงมา ส่วนผู้ชายฆ่าทิ้งให้หมด”

 

คนจากหน่วยลาดตระเวนขมวดคิ้วทันที และบันทึกคำพูดของฉินเฟิง จากนั้นก็เริ่มสรุป ตั้งสมมติฐานในหัวใจ

 

ในเวลานั้นเอง ฉินเฟิงก็กล่าวเสริมว่า “แต่หลังจากนั้น พวกเขาก็เผลอหลุดปากออกมา ว่าผู้หญิงที่ต้องการจะจับ คือเพื่อนของพวกเราที่เป็นผู้ใช้อบิลิตี้คนเดียวเท่านั้น ผมสงสัยว่าพวกเขาต้องการจะทำร้ายเธอ!”

 

เมื่อได้ยินว่าเป้าหมายคือผู้ใช้อบิลิตี้ หัวใจของคนจากหน่วยลาดตระเวนก็กระตุกไหว ฉินเฟิงถือว่าตนบอกทุกสิ่งที่รู้ออกไปหมดแล้ว ก็ไม่ชี้แจงอะไรมากไปกว่านี้ พอถามอย่างอื่น ฉินเฟิงก็เลือกที่จะตอบปฏิเสธ

 

แม้จะตอบคำถามไม่มาก แต่ก็ทำให้หน่วยลาดตระเวนได้เงื่อนงำใหม่ เขาเลยเอ่ยเสริมให้อีกนิดว่า

 

“สถานะของคนพวกนี้ไม่จำเป็นจะต้องเป็นกลุ่มแมงมุมดำเสมอไป แต่คิดว่าน่าจะมีนักโทษหลบหนีปะปนอยู่ในกลุ่มพวกมันเช่นกัน และบางคนก็จัดตั้งทีมทหารรับจ้างขึ้นในชุมชนทางตอนเหนือ”

 

“อืม ดีล่ะ ฉันเข้าใจแล้ว ขอบคุณสำหรับข้อมูล!”

 

‘อย่างน้อยนี่ก็ช่วยให้พวกเขารู้สถานะของฝ่ายตรงข้าม’ แม้ตนจะตกอยู่ในตำแหน่งผู้ต้องสงสัย แต่ฉินเฟิงก็สามารถพลิกสถานการณ์ฝั่งตน ให้กลับมาได้เปรียบในตอนท้าย


“โอเค ขอบคุณสำหรับความร่วมมือของเธอ ถ้าทุกอย่างคืบหน้าแล้ว ฉันจะติดต่อเธอไปอีกครั้ง”

 

“ครับ”

 

ฉินเฟิงออกไปรวมตัวกันกับคนอื่นๆ โจวฮ่าวกับเสี่ยวจิงกำลังรอเขาอยู่ก่อนแล้ว

 

“ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกันได้นะ หยางเคียนน่าสงสารเกินไปแล้ว!” เสี่ยวจิงกัดฟัน ผลการผ่าตัดเสร็จสิ้นลงแล้ว หยางเคียนร้องไห้ไม่หยุดเลยที่ต้องตัดขาของตัวเองไป

สีหน้าของฉินเฟิงตึงเครียดอย่างถึงที่สุด


“พอดีว่าฉันมีธุระบางอย่างที่จะต้องทำ ขอตัวก่อนนะ!” ฉินเฟิงอ้าปาก แยกตัวออกไปทันที

 

“อา! ก็ได้ๆ แล้วเจอกัน!” เสี่ยวจิงพยักหน้าอย่างเงียบๆ ไม่เหนี่ยวรั้งใดๆ

 

โจวฮ่าว “เฮ้เจ้าบ้า อย่าลืมล่ะ ว่าต้องไปรายงานตัวกับสถาบันระดับสูงในอีกสามวันนะ!”

 

ฉินเฟิงโบกมือโดยไม่เหลียวหลัง แสดงท่าทีว่าตนรับรู้แล้ว

 

ทั้งร่างของเขาถูกปกคลุมไปด้วยเลือด เมื่อพบมุมเหมาะๆ เจ้าตัวก็ถอดเสื้อนอกออก โยนมันทิ้งลงในถังขยะ ปล่อยเสี่ยวไป๋ออกจากในกระเป๋า และหยิบชุดต่อสู้ออกมา

 

หลังจากสวมใส่เสื้อผ้าใหม่ทั้งหมด ฉินเฟิงก็กลับไปยังสำนักงานของหน่วยลาดตระเวน เสาะหาสถานที่เหมาะๆอย่างเงียบๆ ซุ่มหมอบต่ำคล้ายกับนักล่าที่เตรียมพร้อมจะตะครุบเหยื่อของตน

 

ไม่ต้องให้เขารอนานจนเกินไป เจ้าตัวก็เห็นชายคนหนึ่งเดินออกมาจากภายใน

 

-เป็นเฉินหมิง!

 

หน่วยลาดตระเวนก็ไม่ได้ไร้สติปัญญาซะทีเดียว หลังจากที่รู้สถานะของผู้ก่อการร้ายแล้ว พวกเขาก็ตรวจสอบได้ทันทีว่าเฉินหมิงมีความสัมพันธ์บางอย่างกับกลุ่มของพวกมัน


หากแต่ด้วยทักษะการแสดงชั้นเลิศของเฉินหมิง และสมองที่คิดล่วงหน้าถึงผลลัพธ์เลวร้ายที่สุดที่จะตามมา

 

ดังนั้นเจ้าตัวจึงแสร้งทำเป็นตกใจ และโศกเศร้าในเวลาเดียวกัน ตอนที่ถูกจี้ถาม ก็เริ่มพร่ำเพ้อ

 

“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเมื่อไม่นานมานี้พวกเขาถึงเอาแต่เค้นถามผม ว่ามีเพื่อนๆที่สามารถปลุกพลังพิเศษขึ้นมาได้รึยัง ตอนนั้นผมก็เข้าใจว่าหัวหน้าต้องการจะหาสมาชิกใหม่ที่เป็นผู้ใช้อบิลิตี้ซะอีก ผมก็เลยบอกไป ถือซะว่าช่วยให้เพื่อนได้งาน แต่ถ้าผมรู้ล่วงหน้าว่ามันจะเป็นแบบนี้ ผมคงไม่บอกอะไรพวกเขาแม้ซักครึ่งคำ ผมเสียใจ เสียใจจริงๆ!”