โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.31 – ควบรวมกำลังภายใน

 

วิกฤติถูกทำลายลงอย่างกระทันหัน กระทั่งหลินเต๋อหรงก็ยังตะลึงลาน ยืนนิ่งอยู่ในสถานที่เดิม

 

เวลาผ่านพ้นไปเพียงครึ่งเดือน แต่หลินเต๋อหรงราวกับว่าเพิ่งจะได้รู้จักกับฉินเฟิงใหม่อีกครั้ง


ปัจจุบัน ฉินเฟิงกลายเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งเกินกว่าจินตนาการไปซะแล้ว!

 

แม้ก่อนหน้านี้ ตอนที่ฉินเฟิงจะบริจาคเนื้อนายพลสัตว์ร้าย หลินเต๋อหรงจะพอคาดเดาไว้ก่อนก็ตาม แต่เมื่อได้มาเห็นกับตาตัวเอง เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

 

ดั่งสำนวนที่ว่าคลื่นลูกหลังย่อมซัดพาแม่น้ำแยงซีเกียงไปเบื้องหน้า

 

ฉินเฟิงลงมือเพียงพริบตา ก็สามารถสังหารไปได้ 2 คน ส่วนอีก 3 ที่เหลือนอนหมอบบาดเจ็บสาหัส คร่ำครวญอยู่กับพื้น

 

ฉินเฟิงหันไปสำรวจหลินเต๋อหรงอย่างระมัดระวัง เมื่อค้นพบว่าอีกฝ่ายก็กำลังมองตนอยู่เช่นกัน ในหัวใจก็เริ่มตระตุกวูบ

 

ฉินเฟิงไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกว่าตนหนักมือ … โหดร้ายเกินไปหรือไม่

 

แต่เขาก็ไม่เสียใจที่จะทำมัน!

 

เพราะไม่สำคัญเลยว่าเหตุการณ์นี้จะทำให้ผู้อำนวยการเกลียดตนหรือไม่ ตราบใดที่ภัยคุกคามอย่างหลุยเหมิงถูกกำจัด เขาไม่สนทั้งนั้น

 

“ฉินเฟิง ไม่ต้องกังวลไป มันไม่เป็นอะไรหรอก เพราะพวกเขาสมควรตายแล้ว!” หลินเต๋อหรงเมื่อเห็นว่าฉินเฟิงมองมาที่ตนเองแล้วมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไป เลยพาลคิดว่าฉินเฟิงเริ่มเกิดกลัวขึ้นมา

 

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ในสายตาของหลินเต๋อหรง ไม่ว่าฉินเฟิงจะยอดเยี่ยมเพียงใด แต่เขาก็ยังเป็นแค่เด็กอยู่ดี!

 

“ฉันจะจัดการเรื่องนี้เอง เธอวางใจเถอะ ไม่ต้องกังวลไป!” หลินเต๋อหรงตบลงบนบ่าฉินเฟิง

 

ฉินเฟิงจึงค่อยผ่อนคลายลง

 

“ผม .. ผมไม่เป็นอะไร!”

ฉินเฟิงก้มหน้างุด

 

เขาไม่ต้องการให้หลินเต๋อหรงเห็นสีหน้าแปลกๆของตน ในใจยังคงรู้สึกอึดอัดอยู่เล็กน้อย

 

แต่สำหรับหลินเต๋อหรง แม้ฉินเฟิงจะเพิ่งสังหารคนไป ในสายตาเขาฉินเฟิงก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี!

 

อย่างไรก็ตาม ด้วยทัศนคติเช่นนี้ของอีกฝ่าย มันเลยช่วยทำให้ฉินเฟิงผ่อนคลายลง

 

หลังจากนั้น หลินเต๋อหรงก็ทำการเรียกหน่วยลาดตระเวน และในไม่ช้าก็มีคนมา

 

“ผู้อำนวยการอาวุโส นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” คนจากหน่วยลาดตระเวนที่มาในคราวนี้ เป็นหัวหน้าจริงๆ บนอกเขามีโลโก้เลเวล F เมื่อมองเห็นฉากตรงหน้า เจ้าตัวก็ค่อนข้างตกใจ

 

ฉินเฟิงเดินติดตามหลินเต๋อหรง แสดงท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน มิดูโดดเด่นแต่อย่างใด ในขณะที่หลินเต๋อหรงยังคงมีท่าทีสงบเยือกเย็น

 

“คนพวกนี้มาดักปล้นฉันในตรอก และพยายามที่จะฆ่าฉัน เดชะบุญที่เด็กตัวน้อยของฉันอยู่ที่นี่ ไม่อย่างงั้นชีวิตชราภาพของฉันคงจบลงไปแล้ว!”

 

“ว่าไงนะ! สารเลวจริงๆ พวกมันกล้าที่จะดักปล้นที่นี่ ไม่ไว้หน้าผมชัดๆ! -ทุกคน ลากตัวมันออกไป แล้วเชือดมันให้ฉันเดี๋ยวนี้!”

 

“ครับหัวหน้า!”

 

แล้วฝูงชนก็พากันลากทั้ง 5 โจรออกไป แน่นอน ว่าหลังจากนี้ พวกมันก็จะกลายเป็น 5 ศพ

 

ทุกอย่างได้รับการจัดการอย่างรวดเร็ว หน่วยลาดตระเวนมีสิทธิและอำนาจค่อนข้างสูงอยู่แล้ว อันที่จริง ในสถานที่ชุมชน พวกเขามักจะจัดการกับทุกชนิดของปัญหาแบบนี้เสมอๆ เพราะมันเกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน

 

ดังนั้น การที่คนร้ายแค่ 5 คนถูกฆ่าตายไป ไม่นับว่าเป็นเรื่องที่พวกเขาต้องใส่ใจอะไร


“พวกที่มาดักปล้น เคยเป็นเด็กกำพร้าที่ออกจากสถานเลี้ยงเด็กไปเมื่อห้าปีก่อน ฉันเป็นเพียงผู้อำนวยการแก่ๆ และถึงแม้จะอ่อนแอและใกล้ตาย แต่ฉันก็ยังมีคนรู้จักอยู่มากมาย ฉินเฟิง หลังจากนี้ไป ถ้าเธอพบเจอปัญหาอะไร ก็บอกฉันได้เลยนะ” หลินเต๋อหรงกล่าว

 

หากเป็นฉินเฟิงในอดีต หลินเต๋อหรงแน่นอนว่าจะไม่พูดคำเหล่านี้

 

เพราะเด็กกำพร้าจะต้องมีชีวิตเป็นของตัวเอง หลังจากที่พวกเขาก้าวไปตามทางที่ตนเลือกเดิน หลินเต๋อหรงจะไม่ใส่ใจดูแลพวกเขาเป็นพิเศษอีก

 

แต่สำหรับฉินเฟิงน่ะแตกต่างออกไป

 

เด็กคนนี้จะต้องประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่เป็นแน่แท้ในอนาคต!

 

“ขอบคุณผู้อำนวยการ ผมจะจดจำมันเอาไว้!”

 

ฉินเฟิงพยักหน้ารับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ยิ่งทำให้ทั้งฉินเฟิง และผู้อำนวยการ ต่างก็ได้เห็นถึงความประสงค์ดีที่อีกฝ่ายมีต่อกัน

 

….

 

ต่อมา หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนก็อาสาพาผู้อำนวยการไปส่งในพื้นที่เพาะปลูก ส่วนทางด้านฉินเฟิง เขาตัดสินใจบอกลา เลือกกลับไปที่โรงแรม

 

หลังจากการต่อสู้ทั้งเมื่อวานและวันนี้ กำลังภายในของฉินเฟิงเลยเพิ่มขึ้นมหาศาล มันพลุ่งพล่าน เป็นอย่างมาก

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่เคยมีประสบการณ์ฝึกฝนกำลังภายในมาก่อนอย่างฉินเฟิง เขารู้ดี ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ดี

 

เพราะกำลังภายในแท้จริงต้องสงบ มันจะพลุ่งพล่านหรือปะทุขึ้นได้ จากการกระตุ้นเตรียมจู่โจมเท่านั้น

 

ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อกลับมาถึงโรงแรม ฉินเฟิงจึงวางข้าวของลง เสี่ยวไป๋กลิ้งไหลออกจากกระเป๋าสะพายโดยไม่รู้ตัว นั่งขวาทับซ้าย ส่งพลังสมาธิเข้าไปในตันเถียน

 

ด้วยการรับรู้เช่นเดียวกันกับแก่นอบิลิตี้ ฉินเฟิงจึงสามารถ ‘มองเห็น’ ถึงรูปลักษณ์ตันเถียนของตน

 

ซึ่งรูปลักษณ์ของตันเถียนจะแตกต่างไปจากแก่นอบิลิตี้ ที่อยู่ท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมิด และเต็มไปด้วยดวงดาว

 

ในตันเถียน ดูเหมือว่าพื้นที่ภายในมันจะเป็นสีแดงของเลือดและเนื้อ ช่วงใจกลางปรากฏถึงเส้นลมปราณ ชักนำทางไปสู่อีกสถานที่หนึ่ง

 

ผู้ใช้วรยุทธโบราณได้ถือกำเนิดและวิวัฒนาการต่อเนื่องมายาวนานกว่า 100 ปีมาแล้ว ดังนั้น สิ่งที่เขากำลังจะกระทำต่อไปนี้ ย่อมเป็นที่รู้จักกันดี


สำหรับมือใหม่ พวกเขาจะต้องรับรู้ให้ได้ถึงการไหลเวียนของกำลังภายใน และฝึกฝนมัน กำลังภายในก็เปรียบดั่งเส้นไหม มันปราณีตอ่อนโยน สามารถเคลื่อนผ่านเส้นลมปราณ ไปช่วยเสริมพละกำลังและความว่องไวได้

 

หลังจากที่เส้นไหมกำลังภายในมีมากขึ้น มันก็จะสามารถเปลี่ยนเป็นมวลอากาศ เมื่อถึงเวลานั้น เขาก็จะสามารถยกระดับตนให้กลายเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล F ได้

 

หากจะกล่าวโดยทั่วไปแล้ว เมื่อภายในร่างกายสะสมเส้นไหมได้ครบ 9 เส้น ก็จะเป็นจำนวนมากพอที่จะสามารถยกระดับไปยังเลเวล F ได้

 

แน่นอน ว่ายิ่งสะสมเส้นไหมมากเท่าใด ความสามารถก็จะยิ่งแกร่งขึ้นเท่านั้น -กล่าวได้ว่าผู้ที่สะสมเส้นไหมได้มากกว่า หลังจากยกระดับเป็นเลเวล F แล้ว เมื่อเทียบกับเลเวล F ธรรมดา คนแรกจะแข็งแกร่งกว่าในระดับเดียวกัน


นี่คือความแตกต่างระหว่างผู้ใช้วรยุทธโบราณที่แข็งแกร่งและผู้ใช้วรยุทธโบราณธรรมดา!

 

“และปัจจุบัน ฉันมีเส้นไหมกำลังภายใน มากกว่า 15 เส้น!”

 

แต่15 เส้นไหมเหล่านี้ ส่วนใหญ่มีขนาดเล็กมาก ในการรับรู้ตามจิตสำนึกของฉินเฟิง เขาค้นพบว่า แม้พวกมันจะยังพอสามารถใช้งานได้ แต่ก็มีขนาดไม่สม่ำเสมอ และยังพลุ่งพล่านยุ่งเหยิง

 

นี่หมายความว่า หากไม่จัดระเบียบมันอย่างระมัดระวัง สิ่งอันตรายจะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว

 

อย่างไรก็ตาม การจัดระเบียบกำลังภายใน เป็นเรื่องที่ยากลำบากที่สุด และใช้เวลาค่อนข้างมากในการดำเนินการ

 

เห็นได้ชัดว่าในชีวิตก่อนหน้าของฉินเฟิง หลุยเหมิงเองก็ไม่เคยจะทำมัน -ผลลัพธ์เลยกลายเป็นว่าหลุยเหมิงมิอาจควบคุมกำลังภายในของตนเองได้

 

จึงเป็นธรรมดาที่ฉินเฟิงไม่คิดจะดำเนินตามรอยเดียวกันกับหลุยเหมิง

ฉินเฟิงตั้งสมมติฐานล่วงหน้า ก่อนจะเริ่มปลดปล่อยพลังพิเศษอย่างไม่ลังเล

 

“จงดูดกลืน!”


เส้นไหมที่อยู่ภายในจู่ๆก็คล้ายถูกดูดกลืนออกไปโดยบางสิ่งบางอย่าง มันเริ่มแห้งและหายไปทีละเส้น ทีละเส้น

 

เส้นไหมกำลังภายในเหล่านี้สามารถหามาได้อย่างง่ายดาย เพียงสังหารคนไม่กี่คนเท่านั้น เรื่องการสังหารน่ะฉินเฟิงไม่กังวลใจใดๆ หากแต่เป็นผลที่ตามมา อย่างการดูดกลืนเส้นไหมกำลังภายในที่ผันผวนของศัตรูมาต่างหาก ดังนั้น ถึงเส้นกำลังภายในที่ไม่สมบูรณ์พวกนี้จะสลายไป เขาก็ไม่ใส่ใจ

 

กำลังภายในถูกดูดกลืนอย่างต่อเนื่อง สักพักหนึ่ง ฉินเฟิงก็รู้สึกว่าตามเส้นลมปราณของเขา ทั้งแขนขา และโครงกระดูกหลายร้อยท่อน กำลังค่อยๆถูกเติมเต็ม ไหลบ่าไปด้วยกำลังภายใน จนพวกมันขยายใหญ่ยิ่งกว่าเดิม

 

-เพราะเส้นลมปราณคือรากฐานในการใช้งานกำลังภายใน

 

เมื่อขยายใหญ่ขึ้น จากนี้ไป มันก็จะสามารถดูดกลืนกำลังภายในจากโดยรอบได้รวดเร็วและง่ายดายยิ่งกว่าเดิม

 

ซึ่งกำลังภายในเหล่านี้ หลังจากช่วยขยายเส้นลมปราณแล้ว มันก็กระจายไปโดยรอบ แล้วไหลขึ้นมาจากตันเถียน ไปรวมกันตรงหน้าผาก

 

แม้จริงๆแล้วแก่นอบิลิตี้จะอยู่ในจิตสำนึก หากแต่ผู้คนจำนวนมาก กลับรู้สึกว่าแก่นอบิลิตี้นั้นอยู่ตรงหน้าผาก

 

ช่วงเวลานี้ กำลังภายในได้ผสานรวมเข้าไปยังใจกลางหน้าผาก เส้นไหมลอยล่องเข้าสู่ดาวเคราะห์เพชร แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่สามารถถูกดูดกลืนได้ สุดท้ายจึงค่อยๆถูกคายออกมา ไหลออกจากหน้าผาก กลับไปยังตันเถียนอีกครั้ง

 

แน่นอน ว่าการไหลเวียนไปกลับเช่นนี้ ส่งผลให้เส้นไหมกำลังภายในจาก 15 เส้น กลับกลายเป็นหลงเหลือเพียง 5 เส้นเท่านั้น!

 

แต่ 5 เส้นเหล่านี้ ล้วนมีความเสถียรมั่นคง แข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้า!

 

“สำเร็จสักที!”

 

ในตันเถียน เห็นแค่เพียงเส้นไหมที่ลอยอยู่อย่างสงบ ไม่อาจรับรู้ถึงอาการพลุ่งพล่านหรือว้าวุ่นใดๆ

 

“เท่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับอันตรายจากทักษะลับกลืนดาราอีกต่อไปแล้ว ในอนาคต มันจะกลายเป็นทักษะที่แข็งแกร่งที่สุด!”

 

เมื่อคิดได้ดังนี้ ในหัวใจของฉินเฟิงก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

 

อย่างไรก็ตาม ช่วงจังหวะนั้นเอง ฉินเฟิงก็สัมผัสได้ถึงอีกความวุ่นวายหนึ่งจากในพลังสมาธิของเขา

 

เมื่อเจ้าตัวตรวจสอบดู เขาก็พบว่ามันไม่ได้มากจากตัวเอง หากแต่มาจากเสี่ยวไป๋!

 

“เสี่ยวไป๋!”

 

ฉินเฟิงหันขวับไปมองบนเตียง และพบว่านอกเหนือไปจากเสี่ยวไป๋แล้ว ยังมีรังไหมอะไรบางอย่างปกคลุมตัวมันเอาไว้อยู่

 

หากนับตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงเช้านี้ เสี่ยวไป๋ก็นอนหลับไปเป็นเวลานานกว่า 16 ชั่วโมงแล้ว

 

แต่ในปัจจุบัน จู่ๆกลิ่นอายของเสี่ยวไป๋ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างกระทันหัน แม้มันจะยังคงเป็นสัตว์ขนาดเล็ก แต่หากดูจากปรากฏการเบื้องหน้า เหมือนกับว่ามันจะ ‘วิวัฒนาการ’ แล้ว!