บทที่ 4:

 

 

 

หลังจากที่ได้ยินคำพูดของหลิงเซี่ย อวี้จื้อเจี่ยก็ทำเพียงเค้นเสียงออกมาคำหนึ่ง ทว่าไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ในทางกลับกัน ซ่งเสี่ยวหูรู้สึกมีความสุขและตื่นเต้นอย่างมาก เด็กชายเอ่ยตอบขึ้นอย่างยินดี “ใช่ ข้าได้ยินคนในเมืองพูดเช่นนั้นเหมือนกัน”

หลิงเซี่ยแย้มยิ้มกลับ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วยแล้วกัน”

ตามเส้นเรื่องแต่เดิม เมื่อซ่งเสี่ยวหูและอวี้จื้อเจี่ยไปยังเมืองโหย่วหมิง เจ้าสุนัขซื่อสัตย์หน้าโง่นี่ก็ตามทั้งสองไปอย่างกระวนกระวาย และเพราะตัวเอกเป็นแม่เหล็กดึงดูดปัญหา ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ป้องกันการโจมตีที่มุ่งไปยังตัวเอกและโดนโจมตีที่หน้าอกก่อนที่จะตายไป

ทว่าสำหรับการที่เรื่องราวมันเกิดขึ้นได้ยังไงนั้น หลิงเซี่ยไม่อาจจำได้อย่างชัดเจน จะอย่างไร เขาก็เริ่มอ่านนิยายเรื่องนี้เมื่อนานมาแล้ว ดังนั้นแล้วเขาจึงลืมรายละเอียดหลายๆ อย่างไป

แม้ว่าหลิงเซี่ยจะอยากหลีกเลี่ยงความตายอย่างมาก แต่แม้ว่าเขาจะแยกจากตัวเอกและอาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ นี่ต่อไป ปาฏิหาริย์ในการที่เขาจะถูกส่งกลับบ้านก็มีโอกาสจะไม่เกิดขึ้นสูง ทุกอย่างที่เขาทำได้ในตอนนี้คือการตามสองคนนี้ไปและค่อยๆ ก้าวไปทีล่ะก้าว ไม่ต้องเอ่ยถึงเลยว่าในสมองของเขาได้วางแผนก้าวที่1 2 3 สำหรับแผนการเปลี่ยนแปลงตัวร้ายเอาไว้แล้ว

แม้ว่าตอนที่อ่าน ตอนที่การต่อสู้ด้วยความรู้สึกทั้งรักทั้งเกลียดอย่างรุนแรงระหว่างตัวเอกและตัวร้ายที่สู้กันสุดฝีมือจะเป็นส่วนที่เขาชอบ แต่ตอนนี้เมื่อเขาเข้ามาอยู่ในโลกใบนี้และมองไปยังใบหน้ากลมราวซาลาเปาของไอ้หนูทั้งสองด้านหน้าเขา เขาก็หวังว่าฉากเหล่านั้นจะไม่เกิดขึ้น

เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงเซี่ย อวี้จื้อเจี่ยไม่ได้ส่งเสียงไม่เห็นด้วย ทำเพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะที่ดวงตารูปอัลมอนด์ของเขาส่องประกายวาบ ทว่ามันชัดเจนว่าเขาไม่ได้เห็นด้วยจริงๆ เมื่อคิดดูแล้ว หลิงเซี่ยก็ถือเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขา คนปัญญาอ่อนเป็นใบ้ก่อนหน้านี้คือใครบางคนที่เขาไม่สนใจ

โดยปกติแล้ว ทั้งซ่งเสี่ยวหูและอวี้จื้อเจี่ยจะทำเหมือนทุกที่ที่เขาไปเหมือนเป็นบ้านของพวกเขา และไม่ว่าที่ใดก็ถือเป็นที่นอนของพวกเขา ไม่มีสิ่งของใดๆ ที่ต้องเก็บ ดังนั้นพวกเขาจึงเตรียมตัวออกเดินทางในทันที

หลิงเซี่ยมองไปยังเด็กทั้งสองที่เตรียมตัวเริ่มออกเดินทางในทันที รู้สึกว่ายั้งปากไม่อยู่ เอ่ยขึ้นอย่างไม่สบายใจอย่างมาก “ไม่ใช่ว่าเราควรจะเตรียมเสบียงสักหน่อยหรือ?”

ทันทีที่เขาพูดจบ ซงเสี่ยวหูก็กระพริบตาแล้วเอ่ยตอบว่า “พี่ใหญ่หลิง เราไม่มีเงิน ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังสามารถล่าอาหารให้พวกเรากินในระหว่างทางได้”

อวี้จื้อเจี่ยเหลือบมองเขาอย่างเหยียดหยามทว่าไม่ได้เอ่ยสิ่งใด และหลิงเซี่ยพลันตระหนักขึ้นได้ว่าคำพูดที่เขาพูดออกไปนั้นโง่แค่ไหน

เด็กสองคนเบื้องหน้าเขานี้สามารถมีชีวิตอยู่ได้จนถึงตอนนี้โดยเรียกได้ว่าพึ่งพาเพียงแค่ตัวเอง และชัดเจนว่าทักษะการเอาตัวรอดของพวกเขาก็แข็งแกร่งกว่าผู้ใหญ่บางคนจากยุคใหม่ที่ไม่อาจกระทั่งแยกแยะความแตกต่างของพืชได้แบบเขามาก โดยไม่ตั้งใจ เขามองเด็กทั้งสองคนเบื้องหน้าเขาด้วยความสงสารและอ่อนโยน เมื่ออ่านคำอธิบายเหล่านี้ในนิยาย เขาไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ และจุดสนใจทั้งหมดของเขาล้วนไปเพ่งอยู่ที่ฉากเท่ๆ น่าตื่นเต้น มีเพียงแค่ตอนนี้ที่เขาได้สัมผัสมันตรงๆ ที่ทำให้เขาเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้น

โลกจำลองนี่ถูกแบ่งออกเป็นสี่ดินแดนใหญ่ๆ และในขณะที่เมืองโหย่วหมิงและหลงเฟ่ยต่างอยู่ในดินแดนใต้ พวกมันก็อยู่ห่างกันห้าสิบกิโลเมตร การพึ่งพาแค่เท้าของตนเองในการเดิน ระยะทางเช่นนั้นย่อมไม่อาจข้ามไปได้ในระยะเวลาสั้นๆ อย่างแน่นอน

โชคดีที่ร่างกายและพลังกายของคนในโลกนี้แข็งแกร่งเป็นพิเศษ และแม้ว่าจะเดินมาตลอดทั้งวันในเส้นทางภูเขาที่เต็มไปด้วยหิน ในขณะที่หลิงเซี่ยรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย แต่ไม่ว่าจะเป็นเท้าหรือขาของเขาก็ไม่รู้สึกเจ็บปวด ระหว่างทาง ซ่งเสี่ยวหูพูดคุยและหัวเราะมาตลอดทาง ไร้ซึ่งการควบคุมตนเองอย่างสมบูรณ์ อวี้จื้อเจี่ยนานๆ ทีจะเอ่ยตอบออกมาสักคำสองคำ นอกจากนั้น เด็กสองคนนี้ยังน่าตลกอย่างมากที่ไม่ยอมเป็นฝ่ายพักก่อน แทบจะเรียกได้ว่าพวกเขากำลังแข่งกัน

หลิงเซี่ยมองทั้งสอง แทบจะถึงจุดที่หลั่งน้ำตา ถ้าตัวร้ายเป็นเด็กผู้หญิงและคู่กับตัวเอกแบบนี้ นี่ต้องเป็นอะไรที่น่ารักจนจั๊กจี้หัวใจแน่ๆ!

ตอนนี้ เด็กทั้งสองยังถือว่าเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีพลังฝึกตน ดังนั้นหลังจากที่เร่งรีบเดินทางมาตลอดทั้งวัน พวกเขาต่างก็เหนื่อยล้า เมื่อยามเย็นเข้าใกล้เข้ามา พวกเขาทั้งสามก็เจอถ้ำถ้ำหนึ่งและวางใบไม้ลงบนพื้นจนเป็นชั้นหนา ซ่งเสี่ยวหูจับสัตว์อสูรกระต่ายระดับต่ำได้ตัวหนึ่ง และพวกเขาก็เก็บเห็ดป่าจำนวนหนึ่งมาเป็นอาหารเย็น

หลิงเซี่ยและซ่งเสี่ยวหูต่างสวาปามอาหารของตนเองหลังจากที่หิวมานานเพราะใช้พลังงานมากเกินไป ตอนแรกอวี้จื้อเจี่ยกินด้วยท่าทีสง่างาม แต่หลังจากที่เห็นอาหารหายไปอย่างรวดเร็วก็เร่งความเร็วของตนเองขึ้น เมื่อเห็นเช่นนั้น หลิงเซี่ยก็อดที่จะลอบหัวเราะไม่ได้

มันมีแม่น้ำเล็กๆ อยู่ใกล้ๆ ถ้ำ และเมื่อหลิงเซี่ยเดินไปอาบน้ำก็เห็นร่างร่างหนึ่งที่กำลังว่ายน้ำอยู่ในน้ำอย่างไม่ตั้งใจ ความเข้าใจผิดว่าอวี้จื้อเจี่ยเป็นผู้หญิงพลันแตกสลายลง

อวี้จื้อเจี่ยเหลือบมองมายังเขาหลังจากที่เห็นสายตาที่ยากจะเข้าใจของเขา และราวกับลูกเสือที่ขุ่นเคือง เด็กชายคำรามขึ้นมา “เจ้ามองอะไร?!”

หลิงเซี่ยมองไปยังน้องชายตัวน้อยที่ส่วนล่างของอวี้จื้อเจี่ยและเดินหนีไปอย่างไม่ยอมรับความจริง

กลับมายังถ้ำ ด้วยพื้นที่ภายในถ้ำมีจำกัด ดังนั้นพวกเขาสามคนจึงต้องเบียดกันเพื่อที่จะนอนกันได้หมด

ซ่งเสี่ยวหูเตะรองเท้าแตะของเขาทิ้งและกระโดดเข้าไปก่อนจะแย้มรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น “อาเจี่ย พี่ใหญ่หลิง ข้าอยากนอนตรงกลาง”

“…” จริงๆ เลย อย่างที่คิดสำหรับตัวเอกว่าที่คาสโนว่าในอนาคตที่ดำเนินการด้วยมาตรฐานว่าต้องมีคนมานอนข้างๆ ทั้งด้านซ้ายและขวา!

หลิงเซี่ยนอนลงและปิดเปลือกตา เตรียมตัวนอนหลับ ทว่าอวี้จื้อเจี่ยยังยืนอยู่ด้านนอกด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความดูแคลน หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็เดินเข้ามาในที่สุดก่อนจะเตะซ่งเสี่ยวหูแล้วเอ่ยว่า “ไปอาบน้ำ”

งุนงง ซ่งเสี่ยวหูเอ่ยขึ้น “แต่ข้าไม่สกปรก”

อวี้จื้อเจี่ยมุ่นคิ้ว เขาไม่เคยมีสัมผัสทางกายใกล้ชิดกับผู้ใดมาก่อน ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าซ่งเสี่ยวหูทั้งกรน ละเมอ ชอบขยับไปมา และอื่นๆ อีกมากมาย ตอนที่พวกเขานอนอยู่ใต้หลังคาเดียวกันเมื่อก่อน แม้ว่าจะนอนห่างจากกัน ซ่งเสี่ยวหูก็ยังคงปลุกเขาขึ้นมาด้วยเสียง แม้ว่าจะถูกเตะหลังจากนั้น ซ่งเสี่ยวหูก็ยังคงนอนต่อไปได้ราวกับหมูตาย ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ แม้แต่น้อย!

เขาพยายามจะข้ามผ่านค่ำคืนไปด้วยการนอนติดกำแพง แต่อวี้จื้อเจี่ยก็กลัวว่ามันจะส่งผลต่อสภาพร่างกายของเขาในการเดินทางวันต่อไป เขาไม่มีทางยอมถูกซ่งเสี่ยวหูนำหน้าแน่นอน

ผลสุดท้าย เด็กชายจึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่เต็มใจกับหลิงเซี่ยว่า “เจ้านอนตรงกลาง” หลิงเซี่ยอาบน้ำแล้ว ดังนั้นอย่างน้อยอีกฝ่ายก็ไม่น่าจะมีกลิ่นไม่น่าดมน่ารังเกียจใดๆ

น้ำเสียงของเด็กชายค่อนข้างจะสุขุมและดุดัน ทว่าแม้จะไม่มีเหตุผลใดๆ เป็นพิเศษ หลิงเซี่ยก็ยังรับรู้ได้ถึงร่องรอยของความอึดอัดไม่พอใจ ตอนนี้เขากำลังพยายามจะทำให้ท่านตัวร้ายผู้ยิ่งใหญ่มองเขาดีๆ ดังนั้นเขาจึงพลันอุ้มซ่งเสี่ยวหูขึ้นอย่างไม่ยั้งคิด ขยับเด็กชายออกไป ก่อนจะตบที่ว่างข้างตัวแล้วเอ่ยเชิญด้วยรอยยิ้ม “มาสิ”

การที่ ‘เอ้อตัน’ นี่ถูกสร้างมาให้มีแรงเยอะนั้นไม่ใช่แค่เอาไว้โชว์จริงๆ การย้ายร่างของซ่งเสี่ยวหูไปอีกด้านนั้นง่ายดายราวกับอุ้มลูกเจี๊ยบตัวเล็กๆ

อวี้จื้อเจี่ยชะงักไปชั่วขณะ ทว่าก่อนที่ซ่งเสี่ยวหูจะตั้งตัวได้และตอบสนอง เขาก็รีบนอนลง เบียดร่างของเขาเข้าใกล้กำแพงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้และหลีกเลี่ยงการสัมผัสหลิงเซี่ย เขาจ้องมองไปยังหลิงเซี่ยอย่างเย็นชาก่อนจะเอ่ยเตือน “ถ้าเจ้าพลิกตัวแล้วเตะข้า ข้าจะโยนเจ้าออกไปข้างนอก”

“…” มองไปยังตัวร้ายที่ถูกปกคลุมไปด้วยออร่าเอาแต่ใจ หน้าใหญ่ และรู้ทุกอย่าง หลิงเซี่ยก็อดจะคิดว่ามันตลกไม่ได้ อวี้จื้อเจี่ยที่หดตัวที่เล็กอยู่แล้วของเขาเข้าไปอีกไม่ได้ให้ความรู้สึกสูงส่งสง่างามใดๆ เลยแม้แต่น้อย เขาดูเหมือนลูกแมวหรือลูกหมาที่เต็มไปด้วยความกล้าหาญแบบผิดๆ ไร้อันตรายและดูน่ารักอยู่บ้าง

หลิงเซี่ยฝืนริมฝีปากที่อยากจะยกยิ้ม ปิดเปลือกตาและเอ่ยพึมพำขึ้น “เข้าใจแล้ว”

ซ่งเสี่ยวหูประท้วงเล็กน้อย ทว่าจากนั้นเขาก็ดึงหลิงเซี่ยเข้าสู่บทสนทนาอันไร้เป้าหมายเกี่ยวกับหัวข้อมากมายที่เขารู้สึกว่ามันน่าสนใจ อวี้จื้อเจี่ยรู้สึกยินดีอยู่เงียบๆ ในอดีต เมื่อใดก็ตามที่ซ่งเสี่ยวหูพูดมากเกินไป มันจะจบลงที่เขาตวาดกลับไปด้วยความรำคาญ ทว่าหลิงเซี่ยกลับตอบและดำเนินบทสนทนาไปอย่างเหมาะสม

เพื่อที่จะไม่ไปรบกวนอวี้จื้อเจี่ย หลิงเซี่ยจึงนอนหงายและใช้หางตาของเขาลอบมองร่างเล็กที่ขดตัวนอนนิ่งอยู่ที่มุม ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่

หลิงเซี่ยกระแอมไอก่อนจะคิดถึงคำถามหนึ่งขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงถามขึ้น “เสี่ยวหู เจ้ามีความฝันอะไรหรือ? อืม แบบว่า เจ้าอยากเป็นคนแบบไหนในอนาคต? ทำไมเจ้าถึงอยากเข้าร่วมสำนักเฉาหยวน?”

ด้วยดวงตาที่เปล่งประกายระยิบระยับ ซ่งสี่ยวหูเอ่ยตอบอย่างตื่นเต้น “ ข้าอยากเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่เก่งที่สุดในโลก! ข้าอยากให้คนจำนวนมากรู้จักนามของข้า!”

อย่างที่คาดไว้สำหรับตัวเอกที่เลือดร้อน! หลิงเซี่ยลูบศีรษะราวกับเม่นของเด็กชายแล้วเอ่ยให้อีกฝ่ายมั่นใจ “เจ้าต้องทำสำเร็จแน่”

ควรจะรู้ว่าในอนาคต นอกจากวิชามารแล้ว ตัวเอกได้เชี่ยวชาญในศาสตร์ทุกแขนง! รัศมีความ OP ของเขานับว่าน่านับถือ น่าริษยา และน่าเกลียดชังเป็นที่สุด!

หลิงเซี่ยไหลต่อไปด้วยการเอ่ยถามอวี้จื้อเจี่ยว่า “อาเจี่ย แล้วเจ้าล่ะ?”

อวี้จื้อเจี่ยเหลือบมองเขา และหลังจากที่เงียบไปพักหนึ่งจึงให้คำตอบที่หนาวเหน็บออกมา “ข้าจะทำให้เจ้าพวกที่ดูแคลนข้าและทำให้ข้าอับอายทุกคนรับรู้ถึงคำว่าเสียใจที่แท้จริง!”

น้ำเสียงใสกระจ่างของเขาไพเราะน่าฟัง เว้นเสียแต่ว่า มันให้ความรู้สึกแข็งกระด้างเป็นผู้ใหญ่ไม่เหมือนกับเด็กทั่วไปอยู่จางๆ

“…”

หลิงเซี่ยรู้สึกมึนตึบ นึกถึงคำพูดสุดท้ายที่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งอย่างผิดปกติของตัวร้ายโดยไม่ตั้งใจ:

ไอ้โลกน่ารังเกียจแบบนี้… ควรจะถูกทำลาย…

และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้การศึกษาสำหรับเด็กเป็นสิ่งที่จำเป็นและไม่อาจรั้งรอได้! ถ้าคุณไม่อาจทำให้พวกเขาเข้าสู่ลู่ทางที่ถูกต้องตั้งแต่ยังเด็ก โลกก็จะแตกแล้วอ๊า!

หลังจากที่มันดูจะผ่านไปนานและหลิงเซี่ยยังคงไม่ตอบกลับ อวี้จื้อเจี่ยก็อดที่จะเยาะเย้ยไม่ได้ “แล้วไง?”

หลิงเซี่ยกลืนน้ำลายและเอ่ยตอบขึ้นอย่างระมัดระวังด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “อืมมม นั่นก็เป็นความฝันที่ไม่เลวเหมือนกัน ฮ่าฮ่า อาเจี่ย เจ้าจะต้องเป็นที่จดจำในอนาคตเป็นแน่!”

เขาอยากจะนำทางอวี้จื้อเจี่ยไปสู่ชีวิตที่ซื่อตรงจริงๆ ทว่าตอนนี้อวี้จื้อเจี่ยยังคงมองเขาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรำคาญและรังเกียจทุกรูปแบบ ดังนั้นเขาจึงยังไม่อาจพูดอะไรได้มากจนกว่าพวกเขาจะสนิทกันมากกว่านี้ก่อน…

ทว่าซ่งเสี่ยวหูรู้สึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย ในเมื่ออวี้จื้อเจี่ยไม่เคยพูดเกี่ยวกับตนเองมาก่อน ผู้ใดกันที่ทำให้เขาอับอาย? มันเหมือนกับพวกคนที่ตวาดใส่เขาและเรียกเขาว่าขอทานหรือไม่? ในเวลาเดียวกัน เขาก็เป็นเด็กฉลาดที่รู้ว่าเขาไม่ควรจะสอดรู้สอดเห็น ดังนั้นเขาจึงยับยั้งตัวเองและไม่เอ่ยถามออกไป

หลังจากที่เสียแรงไปมากในระหว่างวัน ซ่งเสี่ยวหูจึงหลับไปอย่างรวดเร็ว น้ำลายไหลออกมาจากปากที่อ้ากว้างของเขา หลังจากที่ผ่านไปอีกพักหนึ่ง เสียงลมหายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอก็ดังขึ้นจากด้านของอวี้จื้อเจี่ย ทว่าดวงตาของหลิงเซี่ยยังคงเบิกกว้าง ตื่นเต็มตา

พูดตามความเป็นจริงแล้ว เขายังคงรู้สึกเหมือนฝันไปอยู่ ทว่าเมื่อยามค่ำคืนมาถึง ความรู้สึกทำอะไรไม่ถูกอันเข้มข้นก็ได้บดขยี้เขาราวกับสายน้ำเชี่ยวกราก

แม้ว่าเขาจะนอนอยู่เหนือชั้นใบไม้หนา เขาก็ยังคงรับรู้ได้ถึงพื้นแข็งกระด้างเย็นเยียบ และความมืดมิดของถ้ำทำให้หัวใจของเขาสั่นสะท้านเล็กๆ ด้วยความหวาดหวั่น นอกไปจากการมาอยู่ในโลกจำลองแปลกประหลาดนี่แล้ว มันยังมีเสียงคำรามอันไร้ที่มาของสัตว์อสูรป่าภายนอกดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า

เขาเอื้อมมืดสะเปะสะปะไปรอบๆ จนกระทั่งจับมือของผู้ที่อยู่สองฝั่งของเขาได้ มือของซ่งเสี่ยวหูหยาบกระด้างอุ่นร้อน ในขณะที่อุณหภูมิของร่างอวี้จื้อเจี่ยต่ำกว่า แม้ว่ามือทั้งสองจะเล็ก แต่หลิงเซี่ยก็ยังคงรับรู้ได้ถึงความสบายใจเล็กๆ

ในเมื่อเขาข้ามมายังโลกแปลกประหลาดนี่แล้วและยังเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เขาคงไม่อาจพึ่งพาไม่ได้ไปกว่าเด็กพวกนี้ใช่ไหม?

แม้ว่าอวี้จื้อเจี่ยจะตั้งป้อมกับทุกอย่างที่ไม่คุ้นเคยในระหว่างวันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขากลับเงียบสงบเป็นพิเศษเมื่อนอนหลับ เบียดตัวเข้าใกล้แหล่งกำเนิดความอบอุ่นข้างกายอย่างไม่รู้ตัว และกระทั่งถูศีรษะของเขากับคางของหลิงเซี่ยเบาๆ สองสามครั้ง

หลิงเซี่ยแย้มยิ้มออกมาอย่างไม่ตั้งใจกับความรู้สึกจั๊กจี้เล็กๆ ในยามนี้กลางราตรี บรรยากาศอ่อนโยนแบบนี้ค่อนข้างสร้างขึ้นได้อย่างง่ายดาย สุดท้ายแล้วเขาจึงปิดเปลือกตาของเขาลงบ้าง

เมื่อตื่นขึ้นมาในยามเช้า สีหน้าของอวี้จื้อเจี่ยก็มืดทะมึนขึ้นในทันทีเมื่อเขากำลังซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของหลิงเซี่ยและแผ่นหลังของเขาแนบสนิทกับร่างของอีกฝ่าย เขารีบลุกขึ้นพุ่งออกไปอย่างไม่มีเหตุผล

หลิงเซี่ยสังเกตเห็นสายตารังเกียจของอีกฝ่ายก่อนจะโบกมือของเขาอย่างใสซื่อและเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”

ตอนแรก หลิงเซี่ยไม่ได้กำลังจะหลับ แต่เมื่อเขากำลังจะหลับ สิ่งที่รอเขาอยู่คือความทรมานทั้งค่ำคืน ซ่งเสี่ยวหูไม่ได้แค่พลิกตัวดิ้นไปมา ทว่ายังละเมอออกมาอย่างไร้ที่สิ้นสุด และในขณะที่อวี้จื้อเจี่ยนอนหลับโดยไม่ส่งเสียงใดๆ เขาก็ถูกอีกฝ่ายทำเป็นเหมือนหมอนข้างและถูกเกาะหนึบ! นอกจากนั้น อุณหภูมิของร่างอวี้จื้อเจี่ยยังต่ำกว่าเขาหลายองศา และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนมันก็ไม่อุ่นขึ้น

ผิวเนียนละเอียดที่ข้างใบหูของอวี้จื้อเจี่ยแดงก่ำขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทว่าเด็กชายแสร้งทำเป็นเยือกเย็นและเดินจากไปด้วยคำพูดเรียบๆ “ข้าจะไปอาบน้ำ”

โดยปกติแล้วตอนที่เขานอนคนเดียว เขาจะตื่นตัวมาก และแม้จะเป็นการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ก็จะทำให้เขาตื่น ทว่าเมื่อคืนนี้เขากลับหลับสนิทโดยไม่ฝันแม้แต่น้อย มีเพียงแค่ความรู้สึกสบายและร่างกายที่อบอุ่น ราวกับว่าใครบางคนได้คอยลูบหัวเขาอย่างรักใคร่

ความรู้สึกเช่นนั้นทำให้เขารู้สึกสบายอย่างมาก มากเสียจนกระทั่งเขาไม่อยากจะลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ

 

 


TL: ฮือออ ทำไมเด็กๆ น่ารักจริงงง