บทที่ 83: อาคุมะ (2)

 

 

 

 

มิยาโมโตะสูดลมหายใจเข้าออกแรงๆ เมื่อได้ยินคำพูดของฮันซู

“… นายนี่พูดง่ายจริงๆ นายรู้ไหมว่าพวกเรากี่คนจะตายในระหว่างที่นายฆ่าอาคุมะ?”

มิยาโมโตะเอ่ยตอบอย่างเย็นชา

พวกเขาได้รวมตัวกันที่นี่ด้วยความต้องการปกป้องความยุติธรรม

เมื่อพวกเขารู้ว่าคนกี่คนที่งานของพวกเขาจะสามารถช่วยเหลือได้

แต่ปัญหานั้นเปลี่ยนไปเมื่อพวกเขาต้องนำชีวิตของพวกเขาเข้าไปเสี่ยง

‘ฉันกลัวจริงๆ’

มิยาโมโตะพึมพำอยู่ในใจ

เขารู้สึกสองสิ่งภายในตัวเขาระหว่างเวลาที่เขาปกครองเทือกเขาต้นไม้โลกพร้อมกับเคลเดียน แอรีส และเหล่าคนที่เป็นเพื่อนและศัตรู

อย่างแรก เขาสูญเสียความกลัว

อย่างที่สอง เขาได้รับความกลัว

ความรู้สึกที่ขัดแย้งกันทั้งสองได้เกิดขึ้น

เขาสูญเสียความกลัว

เขาสามารถที่จะบดขยี้โลกใบนี้ได้เพราะเขามีพรสวรรค์นิดหน่อย และแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเขาได้ปกครองเขตสีแดง

แต่ในเวลาที่เขาค้นพบอาคุมะ เขามีพลังที่ยิ่งใหญ่ตามหลัง และเขายังแข็งแกร่งมาก เขาจึงมีความมั่นใจว่าจะไม่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังผู้ใด

ช่วงเวลาที่เขาต้องดิ้นรนเพื่อที่จะมีชีวิตรอดได้ผ่านไปแล้ว แต่เวลาที่เขาต้องดิ้นรนเพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้นก็ได้ผ่านไปแล้วเช่นกัน

แน่นอนว่าเขาสุญเสียความกลัวไปเมื่อไม่มีมนุษย์คนใดสามารถต่อต้านเขาได้

ในเวลาเดียวกัน เขารู้สึกกลัว

นี่เป็นเพียงโลกใบแรก

แต่บางสิ่งอย่างสี่ภัยพิบัติที่เดินทางวนเวียนอยู่รอบๆ และสิ่งอย่างอาคุมะถูกซ่อนเอาไว้

หากเขาไปยังโลกต่อไป เช่นนั้นเขาก็ต้องดิ้นรนอีกครั้งเพื่อที่จะมีชีวิตรอดและแข็งแกร่งขึ้น

แต่คนอื่นดูจะไม่มีความหวาดกลัวขณะที่พวกเขาเดินตรงไปยังกระจก

<ยังไงเราก็ต้องผ่านมันไปอยู่ดี! มันดีกว่าที่จะผ่านมันไปก่อน!>

<มันเป็นเรื่องธรรมดาที่คนที่ไปก่อนจะได้เปรียบ ในเมื่อฉันได้มายังอีกโลก ฉันก็จะมุ่งหน้าต่อไป>

<ฉันจะไปก่อนและสร้างพื้นฐานสำหรับคนที่มาทีหลัง>

ในขณะที่คนอื่นๆ เตรียมตัวที่จะผ่านกระจกไปด้วยความคิดที่แตกต่างกัน ในทางกลับกัน เขากลับคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไร้ที่สิ้นสุด

เขากลัวความเปลี่ยนแปลงในการข้ามไป แต่จากนั้นความกังวลและศักดิ์ศรีของเขาก็ทำให้เขาต้องจมลงสู่การครุ่นคิด

ในตอนที่เขากำลังคิดอยู่นั้น อาคุมะก็ได้ปรากฏตัวขึ้น

และต้องมีคนหนึ่งที่เสียสละ

มิยาโมโตะเอ่ยอย่างไหลลื่นว่าเขาจะรับหน้าที่นั้น

<ฉันจะรับหน้าที่ผนึกสิ่งนี้สำหรับคนที่มาทีหลัง>

แม้ว่ามันจะดูเหมือนว่าเขาได้ยอมแพ้โอกาสที่ยิ่งใหญ่กว่า และคนอื่นๆ เห็นแบบนั้น แต่อย่างน้อยในสถานการณ์ของมิยาโมโตะ มันคือตัวเลือกที่น่าพึงพอใจอย่างมาก เมื่ออาคุมะได้มอบทางเลือกที่ดีมากๆ แก่เขา

ไม่มีใครสามารถทำอันตรายเขาได้ในเขตสีแดงเมื่อเขาจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ตลอด 20 ปีระหว่างที่เขาผนึกอาคุมะ

ตัวเลือกในวินาทีนั้นได้ทำให้มิยาโมโตะได้สบายเป็นเวลาราวๆ 20 ปี

และขั้วอำนาจ ฮีคาริม ที่เขาได้สร้างขึ้นได้ชื่นชมเขาราวกับเทพเจ้าทุกครั้งที่เขาไปเยี่ยม

แต่ไอ้คนตรงหน้านี่พยายามที่จะทำลายความสงบสุขนั้น

มิยาโมโตะเริ่มคิดขณะที่มองไปยังฮันซู

‘เวรเอ้ย ฉันได้ยินมาว่าเขาเป็นไอ้โง่ แต่การที่มันโง่ขนาดนี้’

หากหมอนี่ปลดผนึกอาคุมะและล้มเหลวในการฆ่ามัน งั้นมันก็จะไม่ตบลงแค่

<โอ้ ตายแล้ว ฉันฆ่ามันไม่ได้ เดี๋ยวลองใหม่คราวหน้านะ>

ทำไมไอ้ตัวนั้นจะปล่อยให้พวกเขามัดมันง่ายๆ

หากฮันซูไม่สามารถฆ่ามันได้ สิ่งนั้นก็จะสร้างหายนะขึ้น

ชีวิตของเขาก็จะตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน

‘เป็นแบบนี้ไม่ได้’

มิยาโมโตะส่ายศีรษะพร้อมเอ่ยขึ้น

“ฉันเห็นด้วยกับนายไม่ได้ เราจะปลดผนึกไม่ได้ นายรู้ไหมว่าคนกี่คนจะตายถ้านายล้มเหลว?”

ฮันซูไม่ได้เอ่ยตอบคำพูดของอีกฝ่ายขณะที่เขาเริ่มปลดปล่อยพลังงานของเขา

กิ้งงง

ไม่ช้า ร่างของชายหนุ่มก็ถูกล้อมไปด้วยแสงสว่างจ้า

รีลิคทั้งสามเริ่มที่จะดังพลังของสะเก็ดออกมาจนถึงขีดสุดในทิศทางที่แตกต่างออกไปจากก่อนหน้า เหนือขีดจำกัดที่คนคนหนึ่งจะสามารถควบคุมมันได้ด้วยรีลิค

ครืนนน ครืนนนน

พายุมานาเริ่มที่จะพัดไปในทุกทิศทาง

มันเริ่มที่จะโอเวอร์โหลดเมื่อมันอยู่เหนือขีดกำจัดที่ฮันซูจะสามารถควบคุมได้

มิยาโมโตะแสดงสีหน้าเย็นชาขณะที่มองไปยังฮันซูคนนั้น

‘งั้นนายก็จะแก้ด้วยกำลังงั้นสิ งั้นฉันก็ปล่อยนายไปไม่ได้แน่นอน’

มิยาโมโตะและอีกหกคนเพิ่มพลังในร่างกายของพวกเขาขึ้นขณะที่เริ่มจะปิดกั้นทางที่มุ่งตรงไปยังอาคุมะ

ในตอนนั้นเองที่บางอย่างที่คาดไม่ถึงได้เกิดขึ้น

ครึ่ก

“หือ?”

มิยาโมโตะแสดงสีหน้าตะลึงกับสิ่งที่ลอยผ่านเขาไปยังฮันซู

บางสิ่งที่ดูคุ้นเคยอย่างมาก

สิ่งที่เขาเห็นมาเป็นเวลากว่า 20 ปี

เคียวโซ่และหอก

สองรีลิคที่ได้ล้อมรอบอาคุมะอยู่ลอยตรงไปยังฮันซูเมื่อชายหนุ่มส่งพลังงานจำนวนมหาศาลไปยังรีลิคอีกสามชิ้นราวกับว่าถูกดูดด้วยแม่เหล็ก

ราวกับว่าพวกมันถูกสร้างขึ้นเป็นเซ็ทตั้งแต่เริ่ม

“ไอ้ฉิบหายเอ้ย!”

มิยาโมโตะมองไปยังเบื้องหลังของเขาอย่างเร่งรีบ

คลื่นมานาที่หมุนวนอยู่รอบกายพวกเขาได้สงบลงจากรีลิคอีกสองชิ้น แต่กลิ่นอายอำมหิตเบื้องหลังมิยาโมโตะได้ระเบิดออก

สัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ ไม่เหมือนกับภัยพิบัติอื่นๆ

มิยาโมโตะมองไปยังอาคุมะ จากนั้นจึงตวาดใส่ฮันซู

“ไว้เวรเสียสติ! นี่มึงทำอะไร! มึงคิดเหรอว่าพวกกูจะทำงานกับมึงถ้าทำแบบนี้?”

ฮันซูมองไปยังมิยาโมโตะด้วยสีหน้า befuddled จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น

“นายกำลังพูดอะไร พวกนายดูเฉยๆ อย่ามายุ่ง”

“…อะไรนะ?”

“ฉันจะฆ่าอาคุมะคนเดียว”

‘ฉันฆ่ามันได้’

มิยาโมโตะตัดสินใจว่ามันเป็นไปไม่ได้หลังจากที่เห็นอีกฝ่ายใช้สามรีลิค

แต่ในเมื่ออีกฝ่ายรวบรวมรีลิคทั้งห้า ชายหนุ่มก็สามารถรับมือกับอาคุมะได้โดยที่ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเจ็ดเสี้ยววิญญาณ

ในเมื่อเขาไม่ต้องการคนพวกนี้ในการต่อสู้กับอาคุมะตั้งแต่แรกแล้ว

ปัญหาคืออูโรโบรอสหลังจากนั้น

‘มันไม่มีเวลาเพราะไอ้ร่างโคลนบัดซบนั่น’

เขาไม่มีความคิดที่จะโน้มน้าวคนพวกนี้ตามแผนเดิม

เมื่อเขาจะรอจนกว่าสกิลกลายพันธุ์ของเขาคูลดาวน์หลังจากฆ่าราก

แต่ตราบเท่าที่ร่างโคลนเชื่อมต่อกับอูโรโบรอส เขาต้องฆ่ามัน

‘อูโรโบรอสแข็งแกร่งกว่าอาคุมะ’

แม้ว่าอูโรโบรอสจะอ่อนแอลงจากพิษ มันก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์ ไม่เหมือนกับอาคุมะ

มันมีสะเก็ดศิลาศักดิ์สิทธิ์ภายในตัวที่ค่อยถ่ายเทพลังงานให้

หากเขาต้องการเอาชนะอูโรโบรอสโดยที่ไม่ใช่การกลายพันธุ์และด้วยรีลิคเพียงห้าชิ้น งั้นเขาก็ต้องการความช่วยเหลือจากคนพวกนี้

ในทางกลับกัน ถ้าเขาผ่านอุปสรรคครั้งนี้ไปได้ ทุกสิ่งก็จะง่ายขึ้นมาก

‘คิดบวกเข้าไว้’

เขาได้รับทหารพันเกราะ และยังไงมันก็ต้องกลายเป็นแบบนี้อยู่แล้ว

ในเมื่อภัยพิบัติทุกตัวถูกจัดการลงทีล่ะตัว การที่เขาตัดสินใจในการฆ่าสักตัวก็เป็นเรื่องปกติ

พวกมันไม่ได้ข้ามไปยังอาณาเขตของตัวอื่นๆ เพราะพวกมันหวาดระแวงกัน

แม้ว่าร่างโคลนจะไม่ได้ปรากฏตัวขึ้น ยังไงอูโรโบรอสก็จะลงมาอยู่ดี

‘ฉันควรจะฆ่ามัจฉาภัยพิบัติช้าลงอีกหน่อยไหม?’

ด้วยความสามารถของเขา เขาอาจจะทำให้รูนทั้งหมดอยู่ที่ 100% ได้ภายในเวลาเพียงแค่ 3 เดือน มันจะง่ายขึ้นถ้าเขาล่ามันหลังจากนั้น

ทว่าชายหนุ่มส่ายศีรษะ

<ระหว่างเวลาที่ฉันออกมาจากบทฝึกซ้อมกับเวลาที่คนกลุ่มใหม่จะมาเป็นเวลาราวๆ 9 เดือน ฉันต้องทำมันให้เสร็จให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ยิ่งฉันฆ่ามัจฉาภัยพิบัติได้เร็วเท่าไหร่ รากต้นไม้โลกก็จะแผ่ขยายออกไปที่เขตฝึกซ้อมได้มากเท่านั้น จำไว้ว่าอัตราการรอดชีวิตของเขตฝึกซ้อมมันลดลง 5% ทุกเดือน>

‘ชิ’

จำนวนคนทั้งหมดที่ถูกลากเข้ามาอีกโลกแล้วควรจะอยู่ที่ราวๆ 2 พันล้าน

จากการคำนวณของนักวิจัย จำนวนการข้ามโลกในปีหน้าจะอยู่ที่ราวๆ 4.2 ล้าน

ถ้าคน 5% จากทั้งหมดนั่นตายในหนึ่งเดือน งั้น 200 ล้านคนก็จะตาย และในเวลา 3 เดือน คนเกือบ 600 ล้านก็จะตาย

‘การร่วงหล่นสู่อบิสก็เป็นปัญหาเหมือนกัน’

ฮันซูอบอุ่นร่างกายพร้อมกับเอ่ยขึ้น

“ตัดสินใจหลังจากที่เห็นฉันสู้ ว่าฉันสามารถฆ่าอูโรโบรอสได้รึเปล่า”

ใครจะไปเชื่อถ้าเขาทำแค่พูด

หากเขาจะต่อสู้ไปพร้อมกับคนพวกนั้นโดยที่ไว้วางใจให้พวกนั้นระวังหลัง งั้นการบังคับให้พวกนั้นร่วมมือมันก็ไร้ประโยชน์

‘ฉันควรจะแสดงให้พวกเขาเห็นก่อน และหากพวกนั้นยังคงไม่ยอมร่วมมือ ฉันก็จะใช้วิธีอื่น’

คว้างงง

ฮันซูเริ่มที่จะเพ่งสมาธิไปยังรีลิคทั้งห้า

ลูกแก้วทั้งเจ็ดของเอคิดรังได้เริ่มแทรกตัวเข้าไปอยู่ในระหว่างโซ่ยาวเหยียดทีล่ะลูก

ครึ่ก

โซ่เริ่มที่จะมีรูปร่างคล้ายอิมูกิ(มังกรเกาหลี) และลอยอยู่รอบตัวของชายหนุ่ม

พายุมานาเช่นก่อนหน้าไม่ได้พัดออกจากร่างของฮันซูที่ถือหอกด้วยมือซ้ายและดาบในมือขวา ทว่าความคุกคามที่เขาแสดงออกมากลับไม่อาจเทียบเท่ากับก่อนหน้าได้

พลังงานสีทองที่เคยพัดโหมราวกับสายลมได้ถูกควบคุมและหลอมรวมจนแทบจะกลายเป็นของเหลวอยู่รอบกายของเขา

ฮันซูเอ่ยขึ้นกับคนทั้งเจ็ดเบื้องหลังขณะที่ควบคุมรีลิค

“โอ้ อีกอย่างหนึ่ง…”

“หืมมม?”

“ถ้าพวกนายคิดจะช่วยงั้นก็อย่าลังเล แค่กระโดดเข้ามา”

“… นายเพิ่งบอกว่านายจะสู้คนเดียว?”

“นายพูดอะไรของนาย มีคนมากกว่ามันก็ดีกว่าอยู่แล้ว”

“…”

เมื่อเอ่ยจบ ชายหนุ่มก็พุ่งออกไปเบื้องหน้า

 

คว้างงงง

จุงม่าแสดงสีหน้าแปลกประหลาดออกมาขณะมองไปยังอาร์ติแฟคห้าชิ้นรอบกาย

ดาบ

ลูกแก้วเจ็ดลูก

สร้อยข้อมือ

โซ่เหล็ก

หอก

จุงม่าเลื่อนสายตาของเขาออกจากอาร์ติแฟคเหล่านั้น จากนั้นจึงมองไปยังการต่อสู้ที่อยู่ห่างออกไป

ตูมมม!

“สาดมันเข้าไป!”

“อุวะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! นี่มันยอดเยี่ยม!”

ลูกกิลด์ที่ได้ป้องกันอยู่ตอนหน้ากำลังกระโดดไปทั่วและสาดสกิลของพวกเขาออกไปราวกับมีความสุขกับอุปกรณ์ใหม่หรือสะดวกสบายขึ้นมาบ้าง

มันชัดเจน

ในเมื่อเขาก็คงทำแบบนั้นเหมือนกัน

อาวุธและเกราะที่มีบัฟเสริมโดยที่ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับปริมาณมานา

มันเหมือนกับการที่สามารถใช้สกิลอัลติได้โดยไร้ขีดจำกัด แล้วมันจะไม่สนุกได้อย่างไร

มานาที่แข็งแกร่งได้ถูกเติมเต็มอยู่ในอุปกรณ์ทั้งห้าชิ้น

เมื่อสองสิ่งนี้รวมกับสกิลของเหล่าลูกกิลด์ พวกปรสิตที่ดูแทบจะบดขยี้พวกมนุษย์อยู่แล้วก็ถูกป้องกันโดยขบวนป้องกันของหกขั้วอำนาจและไม่อาจเดินหน้าต่อไปได้อีก

แน่นอนว่ามันยากที่พวกเขาจะเดินหน้าต่อได้เช่นกันเมื่อปรสิตนั้นมีจำนวนนับไม่ถ้วน แต่อย่างน้อยพวกเขาก็หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บได้

และเพราะแบบนี้ จุงม่าที่ค่อนข้างสบายขึ้นมาหน่อยจึงเบนสายตาของเขาไปยังสถานที่ที่ต่างออกไป

“ไมเคิล ไอ้เวรนั่น มันซ่อนของที่ดีจริงๆ เอาไว้”

เขาค่อนข้างตกใจเมื่อไมเคิลยื่นของพวกนี้ออกมาอย่างง่ายๆ

เมื่ออาวุธพวกนี้แข็งแกร่งจริงๆ

ทุกคนสามารถเห็นได้จากลูกกิลด์ที่สู้อยู่ห่างออกไป

แต่ส่วนสำคัญไม่ใช่อาวุธ

“คลื่นมานางั้นเหรอ”

คุณภาพของอุปกรณ์ที่ดูคล้ายรีลิคนั้นค่อนข้างสูง

แต่พวกเขาเองก็มีอาวุธแบบนี้

สิ่งที่สำคัญคือคลื่นมานา

คลื่นมานาที่เปลี่ยนอุปกรณ์เหล่านี้ให้กลายเป็นสมบัติที่ไร้ที่ติ

จุงม่ามองไปยังอมิลเพราะแบบนี้

“อมิล นายรู้สึกถึงมันไหม?”

“ครับ มันขยับทีล่ะนิด”

เขาสามารถรับรู้ถึงมันได้ แม้ว่าจะมันจะเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ

คลื่นมานานี้ได้ออกมาจากสถานที่แห่งหนึ่ง

‘ฉันไม่อาจบอกได้ว่าศูนย์กลางมันอยู่ตรงไหน… แต่อย่างน้อยก็รู้สึกได้ว่ามันกำลังขยับอยู่’

การไหลของมานาที่เคลื่อนไหวเล็กน้อยอย่างมากกำลังให้ข้อมูลกับพวกเขา

และอีกอย่างหนึ่ง

“ฉันไม่รู้ว่าใครครอบครองมันอยู่ แต่… ถ้าพวกเขาสามารถใช้มันได้อย่างแม่นยำขนาดนี้ งั้นการเปิดปิดก็คงอยู่ในความสามารถของพวกเขาเหมือนกัน”

และไม่เพียงแค่การเปิดปิด

คนพวกนั้นอาจจะส่งมานาไปยังคนบางคน และตัดมานาจากบางคนได้

มันไม่มีเหตุผลอื่นที่ทำให้ไมเคิลยื่นอาวุธพวกนี้ออกมาได้อย่างง่ายๆ

สิ่งที่สำคัญคือการที่ชีวิตของพวกเขาอยู่ในมือของอีกฝ่าย

แม้ว่าหมอนั่นจะทำแค่ตัดมานาที่ส่งไปยังขั้วอำนาจอื่นๆ มันก็สร้างประโยชน์ให้ไมเคิลอย่างมากแล้ว

“นายสั่งลูกกิลด์ที่อยู่ตีนเขาให้รวบรวมนักผจญภัยจากรอบๆ ใช่ไหม?”

อมิล สตาดันผงกศีรษะเมื่อได้ยินเช่นนั้น

เมื่อตอนนี้มันคือสงคราม

พวกเขาต้องการคนจำนวนมากกว่านี้เพื่อที่จะดันแนวป้องกันของพวกเขาไปข้างหน้า

และเพราะแบบนี้ หกขั้วอำนาจและสิบสองรากจึงเรียกนักผจญภัยทุกคนให้มายังสถานที่แห่งนี้

โดยปกติแล้ว มันจะเป็นเรื่องยากที่จะเคลื่อนไหวเพราะสัตว์อสูร แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง สัตว์อสูรจึงมีจำนวนไม่มากนัก

เพราะแบบนี้ นักผจญภัยจำนวนมากที่กระจัดกระจายไปทั่วจึงได้รวมตัวกันที่รากแก้วทั้งหกพร้อมด้วยท้องที่เต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำแร่ธาตุ

“มีอย่างหนึ่งที่ฉันต้องทำก่อนที่พวกนั้นจะมาถึง ฉันต้องหาแหล่งกำเนิดของมานา”

สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จุงม่าตระหนักได้ในอีกโลกคือการปล่อยให้ดาบอยู่ในมือของศัตรูนั้นเป็นการกระทำที่ไร้สติสิ้นดี

พวกพ้องและศัตรูนั้นห่างกันเพียงแค่กระดาษบางๆ คั่น และเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ก็อาจเปลี่ยนแปลงมันได้

ดังนั้นแล้ว อย่าปล่อยให้ดาบอยู่ในมือของคนอื่น

หากศัตรูได้ถือครองดาบนั้น งั้นอย่างน้อยเขาก็ต้องมีบาง

และจะยิ่งดีไปกว่านั้นหากเขาเป็นคนเดียวที่ถือดาบอยู่

“เอาคนจากทีมค้นหา 20 คน ติดรีลิคให้พวกนั้น แล้วส่งพวกเขาออกไปทุกทาง หาขอบเขตของคลื่นมานา เราจะสามารถหาแหล่งกำเนิดของมันได้ถ้าทำแบบนั้น”

รีลิคจะไม่ทำงานถ้าพวกเขาออกจากเขตคลื่นมานา

ถ้ามานาแพร่ออกเป็นรูปวงกลม งั้นพวกเขาก็แค่ต้องหาจุดสิ้นสุด และหากจุดศูนย์กลาง

กิ้ง

‘หืม?’

ในขณะที่อมิล สตาดันกำลังส่งข้อความ คลื่นมานาที่อยู่รอบกายพวกเขาก็กระเพื่อมไหวราวกับคลื่น

อมิลและจุงม่าต่างก็ขมวดคิ้วกับความเปลี่ยนแปลงนี้

เมื่อมันง่ายขึ้นที่จะหาจุดศูนย์กลางหากเป็นแบบนี้ แต่พวกเขาก็รู้เช่นกันว่ากิลด์อื่นๆ ก็จะตอบสนองอย่างรวดเร็ว

‘เราควรจะเคลื่อนไหวให้เร็ว’

จุงม่าที่รีบคาดเดาสถานที่ที่เป็นต้นกำเนิดของคลื่นมานามุ่นคิ้วเล็กน้อย จากนั้นจึงเริ่มส่งคำสั่งออกไปทุกทิศทาง

 


TL: ความเกรียนของปู่ยังคงเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ เลยค่ะ