บทที่ 76

ฉินห่าวเดินกลับเข้าไปในค่ายกลต้องห้าม เดินผ่านกลุ่มนิกายเฉินเมิ่ง ทะลุผ่านม่านแสงค่ายกลอีกฝั่ง และเบื้องหน้าเขา คือประตูห้องโถงใหญ่ของนิกายเฟิงเทียน

“ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน”

ฉินห่าวจ้องประตูที่ปิดสนิท และผลักมันเบาๆ บางทีอาจเพราะมันเสื่อมโทรมมานาน จึงเกิดการผุกร่อน ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด

ขณะนี้ เซียวหลงและคนอื่นๆลืมตาขึ้น พวกเขาชำเลืองมองหน้ากันแล้วหลับตาอีกครั้ง

พวกเขาไม่รีบร้อน อีกฝ่ายเป็นแค่ขอบเขตแก่นทองคำ ต่อให้ได้รับสมบัติทั้งหมดข้างในมา แล้วอย่างไร? ถึงตอนนั้นมันก็ตกอยู่ในมือพวกเขาอยู่ดี

ประตูค่อยๆเปิดออก

เหนือห้องโถงข้างบน มีสิ่งที่คล้ายกับมุกราตรีที่คอยให้แสงสว่าง ทำให้แม้โถงนี้กว้างใหญ่ แต่ก็ยังคงสว่างไสว

ฉินห่าวยกขาก้าวเท้าเดินเข้าไปอย่างไม่ลังเล ประตูหน้าก็ปิดตามโดยอัตโนมัติ

เมื่อเข้าข้างใน ฉินห่าวพบว่าแม้ที่นี่ข้างในกว้างใหญ่มาก แต่มันไม่มีอะไรเลย เฉพาะด้านหน้าทำนั้นที่มีบัลลังก์ตั้งอยู่บนตำแหน่งสูง

“ฉากแบบนี้มัน … เหมือนจะคล้ายกับห้องบัลลังก์มังกรในชีวิตก่อนของข้าเลย?” ฉินห่าวพึมพำเสียงต่ำ ฉากนี้คุ้นเคยมาก หากใครก็ตามที่เคยดูหนังหรือซีรีส์จีนโบราณ จะนึกออกทันที

ก๊อง ก๊อง

เมื่อเดินเข้ามา พื้นห้องสะท้อนเสียงฝีเท้าดังแสบแก้วหูเป็นพิเศษ ฉินห่าวมุ่งลึกเข้าไปเรื่อยๆ จนอยู่หน้าแท่นสูง เขาเงยหน้าขึ้น และยิ่งรู้สึกว่ามันช่างคุ้นเคย

ฉินห่าวจึงเกิดความคิดขึ้นมาว่า ที่นี่อาจเป็นที่ตั้งของราชวงศ์ใดราชวงศ์หนึ่ง แต่พิเศษยิ่งกว่า เพราะมันคือราชวงศ์นิกาย

เดินขึ้นไปบนแท่นสูง ฉินห่าวสำรวจมองไม้คานแกะสลักกับภาพวาด และบัลลังก์มังกรทองที่เหมือนกับของจริง เขาลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจนั่งลงอย่างช้าๆ

หึ่ง หึ่ง~

เกิดเสียงสั่นสะเทือนเบาๆ

พริบตานั้นเอง ภาพเหตุการณ์แปลกๆก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าฉินห่าว

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่มีคนจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นเบื้องล่าง แต่ละคนล้วนสวมชุดคลุมลัทธิเต๋า ทั้งหมดก้มหัวลงอย่างนอบน้อม ราวกับว่าพวกเขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองมายังแท่นสูงนี้

“ขอองค์จักรพรรดิอายุยืนนับหมื่น หมื่นปี”

ทุกคนเปล่งเสียงดัง และค่อยๆคุกเข่าลงกราบกราน

“ยืนขึ้นได้”

ฉินห่าวตอบกลับโดยไม่รู้ตัว ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะสัญชาตญาณหรือเหตุผลอื่น

“น้อมรับบัญชา”

ทุกคนจึงลุกขึ้น

ทันใดนั้นฉินห่าวก็ค้นพบสิ่งหนึ่ง นั่นคือแรงกดดันของคนกลุ่มนี้พิสดารมาก มันคล้ายกับของผู้บำเพ็ญเพียร แต่เห็นได้ชัดพลังปราณกลับดูเลื่อนลอย และมีแรงกดดันที่ยิ่งใหญ่กว่ามาก

กระทั่งฉินห่าวเองก็ตรวจสอบไม่ได้ว่าพวกเขาอยู่ในขอบเขตไหน

เมื่อทุกคนลุกขึ้น ภาพตรงหน้าก็ค่อยๆหายไป รู้สึกตัวอีกที ห้องนี้ก็ว่างเปล่าอีกครั้ง ฉินห่าวใจหายและเกิดความรู้สึกเสียใจขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้

นี่อาจเป็นความรู้สึกตกค้างของชายที่เคยนั่งบนบัลลังก์นี้กระมัง?

ฉินห่าวส่ายศีรษะและลุกขึ้น เดินลงจากบัลลังก์ โดยไม่เก็บมันเข้าพื้นที่ของระบบ นี่เป็นการแสดงความเคารพต่อผู้แข็งแกร่ง เพราะยังไงซะ คนที่สามารถนั่งบนตำแหน่งนี้ได้ จะต้องเป็นผู้ที่น่ายำเกรงอย่างยิ่ง

“น่าเสียดายที่ความยิ่งใหญ่เมื่อครั้งเก่าก่อนต้องล่มสลายลงเช่นนี้”

เดินออกมายังโถงด้านข้าง ฉินห่าวมองย้อนกลับไป และคล้ายเห็นภาพลวงตาเป็นเงาร่างของชายผู้หนึ่งที่นั่งอยู่บนบัลลังก์และกำลังมองสวนมา

ข้างในโถงด้านข้าง ในที่สุดฉินห่าวก็ได้เจอบางสิ่งที่คุ้นเคย มันคือหอโรงกลั่นโอสถและหอโรงหลอมอาวุธ!

หัวใจของฉินห่าวเต้นรัว แม้ว่าเขาจะยังไม่ทราบว่าสถานที่นี่เป็นยุคสมัยใด แต่พอนึกย้อนไปถึงแรงกดดันของเหล่าคนที่หมอบกราบอยู่หน้าบัลลังก์ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าต้องไม่ธรรมดา

เกรงว่ากระทั่งเซียนในตำนานก็ยังไม่อาจเทียบเคียงได้!

ในเมื่อเป็นแบบนั้น แล้วโอสถกับอาวุธที่พวกเขาใช้มันจะสะเทิ้นฟ้าสะเทือนดินขนาดไหน?

ฉินห่าวผลักประตูเข้าไปด้วยความตื่นเต้น กลิ่นของโอสถโชยมา แต่ฉากตรงหน้าทำให้เขาต้องตกตะลึง

เห็นเพียงพื้นรกรุงรัง และมีขวดโอสถกระกระจัดกระจาย แต่ไม่มีเม็ดโอสถอยู่เลยแม้แต่เม็ดเดียว ฉินห่าวลองค้นอย่างละเอียดแต่ก็ไม่พบอะไร

กลับกัน เขาพบอาวุธบางชิ้นอยู่ในหอโรงหลอมข้างๆ ผลเก็บเกี่ยวค่อนข้างดี แม้ว่าเขาไม่ต้องการมัน แต่ก็สามารถมอบให้ยอดเขาเซียวเหยาได้

อย่างไรก็ตาม อาวุธเหล่านี้ค่อนข้างแปลก ไม่ว่าจะเป็นวัสดุหรือพลังที่บรรจุอยูข้างใน มันแตกต่างจากพลังปราณในตัวอย่างเห็นได้ชัด

ฉินห่าวมองอาวุธเหล่านี้ และรู้สึกกังวลเล็กน้อย แม้ส่วนใหญ่เป็นอาวุธระดับเสวียนและตี้  มีกระทั่งกระบี่สองเล่มที่เป็นระดับเทียน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาไม่สามารถกระตุ้นการทำงานของพวกมันได้เลย

กล่าวคือ ด้วยพลังปราณที่มีในตัวเขา ไม่สามารถใช้งานพวกมันได้!