บทที่ 72

“น่าเสียดาย น่าเสียดายนัก”

ฉินห่าวค้นศพชายชุดดำ แต่ไม่เจออะไรเลยนอกจากกริชและเสื้อผ้าชุดหนึ่ง

“เจ้าหมอนี่ยากจนจริงๆ!”

ฉินห่าวถอนหายใจ แต่ก็ไม่ได้เก็บมาคิดมาก หากใครอยากลอบสังหารเขาอีกก็เข้ามา ยิ่งมากยิ่งดี!

ฉินห่าวเริ่มล่าสัตว์ร้ายต่อ เขากวาดล้างพวกมันอย่างมีความสุข มุ่งหน้าแบบไม่มีเป้าหมาย เอาเป็นว่าทางไหนมีสัตว์ร้าย เขาก็ไปทางนั้น

“หือ?”

จนในวันนี้ ฉินห่าวหยุดฝีเท้า เบื้องหน้าเขาคือธารน้ำตกสระหนึ่ง แน่นอนที่ทำให้เขาหยุดไม่ใช่น้ำตก แต่เป็นคนที่นั่งอยู่ที่นั่น

เป็นผู้หญิง!

และยังเป็นผู้หญิงที่เขาเพิ่งได้เจอกันเมื่อไม่นานมานี้ ผู้อาวุโสหลิวแห่งนิกายเฉินเมิ่ง!

“พรหมลิขิตชัดๆ”

ผิวน้ำเป็นประกายระลอกคลื่น ผู้อาวุโสหลิวกำลังแกว่งเท้าลงน้ำอยู่ริมฝั่ง

“ไง! พวกเราเจอกันอีกแล้ว”

ฉินห่าวทักทายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?”

ผู้อาวุโสยังคงแกว่งเท้าต่อไป อันที่จริงเธอสังเกตเห็นการมาเยือนของฉินห่าวตั้งนานแล้ว ดังนั้นไม่ได้ตกใจอะไร เพียงถามด้วยรอยยิ้ม

“คิดถึงเจ้าไง!”

ฉินห่าวโพล่งออกมาโดยสัญชาตญาณ แต่แล้วก็นึกเสียใจ ฝีปากในชีวิตที่แล้วบางครั้งก็ยากจะเปลี่ยนแปลง

“คิก คิก เด็กน้อยปากหวาน เจ้ารู้ไหมข้าอายุเท่าไหร่?” ผู้อาวุโสหลิวย่อมไม่เก็บมาคิดมาก แต่ก็เอ่ยอย่างสนใจ

“งั้นเจ้าอายุเท่าไหร่?”

“อืม ข้าขอคิดก่อน ถ้าอิงตามอายุกระดูก ก็น่าจะซักพันปีได้แล้วมั้ง ส่วนกระดูกเจ้าอยู่ในวัย 20 ปี ข้าสามารถเป็นบรรพชนเจ้าได้เลย”

ผู้อาวุโสหลิวหัวเราะอย่างอ่อนโยน

“แก่ขนาดนั้นเลย … เอ๊ะ ไม่ใช่สิ”

ฉินห่าวอุทาน เขานึกขึ้นได้ว่าในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร อายุพันปีไม่ใช่เรื่องใหญ่ ผู้ที่มีระดับฐานบำเพ็ญเพียรสูงสามารถมีชีวิตอยู่เป็นหมื่นปีก็ยังได้

ดังนั้น เมื่อเทียบกับอายุหมื่นปีแล้ว อายุพันปีถือว่าเด็กไปเลย

“ไม่เป็นไร อายุไม่ใช่ปัญหา”

ฉินห่าวพูดติดตลกและถามต่อว่า “พี่สาว ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ จะอาบน้ำหรอ ข้าอาบด้วยได้ไหม?”

รอยยิ้มของผู้อาวุโสหลิวแข็งทื่อเล็กน้อย แต่สุดท้ายกลอกตาแล้วพูดว่า “ไม่อาบน้ำ ไม่จำเป็นต้องอาบน้ำ”

“งั้นเจ้ามาทำอะไรที่นี่ สระผม?”

ฉินห่าวถามต่อ แต่เขาว่ายังไงก็ไม่ใช่ เพราะผู้บำเพ็ญเพียรสามารถใช้พลังปราณปกคลุมกาย ป้องกันสิ่งสกปรกและไม่ทำให้ผมยุ่ง ไม่งั้นเวลาบินแต่ละทีตอนถึงที่หมายคงหัวฟูกันหมด

“ข้ากำลังรอกลุ่มจ้าวตำหนักและท่านประมุขอยู่”

ผู้อาวุโสหลิวกลัวว่าจะถูกถามล้วงลึกในเรื่องที่ไม่อยากตอบไปมากกว่านี้ จึงเฉลยออกมา

“พวกเขาอยู่ที่ไหน?”

ฉินห่าวรู้ว่าสมาชิกที่มีอำนาจสูงสุดของนิกายเฉินเมิ่งคือผู้อาวุโสสูงสุด แต่คนผู้นั้นจะไม่โผล่หน้าออกมาง่ายๆ ดังนั้นผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดแบบผิวเผินก็คือประมุข และรองลงมาคือจ้าวตำหนักทั้งสี่

อย่างไรก็ตาม เขาได้ยินมาจากอาจารย์ว่าตัวตนของผู้อาวุโสหลิวนั้นค่อนข้างพิเศษ แม้มีตำแหน่งต่ำกว่าจ้าวตำหนัก แต่เธอมีสิทธิ์ในการพูดสูงมาก เพราะเธอเป็นศิษย์พี่ของประมุขและพวกจ้าวตำหนัก

“อยู่ข้างล่างนี่”

หลังจากเงียบไปนาน ผู้อาวุโสหลิวก็ยอมบอกออกมา

ฉินห่าวก้มหัวลง แต่พบว่าสระแห่งนี้ไม่กว้างขวางอะไรนัก มันยาวเพียงสิบเมตรเท่านั้น จึงเกิดคำถามขึ้น ว่าคนใหญ่คนโตอย่างพวกที่กล่าวมา จะไปอยู่ในสารที่ไม่สะดุดตาเช่นนี้ได้อย่างไร?

“หรือมีสมบัติอยู่ข้างล่าง?”

“มันไม่ใช่สมบัติ แต่เป็นซากโบราณที่ยังไม่ถูกค้นพบ คิดว่าเป็นซากโบราณของพวกเซียน” ผู้อาวุโสหลิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ร่างฉินห่าวสั่นสะท้าน ซากโบราณของเซียน? สุดยอด!

มิน่าเล่าตอนเขาไปนิกายเฉินเมิ่งและทำลายมันถึงแทบไม่มีพวกตัวเป้งๆออกมาเลย ที่แท้ก็มาอยู่ที่นี่กันนี่เอง

“งั้นทำไมเจ้าไม่ลงไปเล่า?”

“เพราะข้าไม่สนใจอะไรพวกนี้”

ฉินห่าวมองเธอ และพบว่าไม่มีส่วนไหนเหมือนโกหกเลย แสดงว่าพูดจริง

อย่างไรก็ตาม เธอไม่สนแต่เขาสน!

“แต่รู้ไหมว่าทำไมข้าถึงยอมบอกเรื่องนี้กับเจ้า?”  ผู้อาวุโสหลิวพูดด้วยรอยยิ้ม

“ทำไม?”

ฉินห่าวไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายยอมบอกเพราะชอบหรือรู้สึกดีในตัวเขาแน่ๆ

“เพราะเจ้าไม่มีทางลงไปได้ ที่นี่มีผนึกต้องห้าม แม้แต่คนในขอบเขตรู้แจ้งก็ยังไม่สามารถลงไปได้ แล้วซากโบราณนั่นยังไม่ได้รับการสำรวจอย่างถี่ถ้วน มันเต็มไปด้วยอันตราย กระทั่งขอบเขตผันแปรสู่เซียนหรือผสานกายา หากพลั้งพลาดก็อาจตายข้างใน”

ผู้อาวุโสหลิวเป็นเหมือนปีศาจน้อยที่ทำให้คนเห็นความหวัง แต่ก็เป็นคนทำลายมันเช่นกัน

ร่างของฉินห่าวสั่นสะท้านอีกครั้งและอีกครั้ง

ผนึกต้องห้าม? อันตราย?

ขอโทษที! สองสิ่งนี้แหละที่ข้ากลัวน้อยที่สุด!