บทที่ 5: สถานีกังนัม (1)

 

 

 

กว๊ากกก!

เสียงกรีดร้องของสัตว์อสูรดังขึ้นจากเบื้องล่างพร้อมกับเลือดสีเขียวที่ทะลักออกมา

แทซูนที่เห็นภาพนั้นกลัวจนแทบจะวิญญาณหลุดจากร่าง

“มันคือตัวอะไร!”

‘หนอนเขียว’

สถานที่ที่ดูเหมือนกับสถานีรถไฟฟ้ากังนัม แต่มันไม่ใช่อีกต่อไป

มันเลียนแบบรูปลักษณ์ของสถานีรถไฟฟ้ากังนัม แต่สามารถมองว่ามันเป็นดันเจี้ยนก็ได้ และหนอนเขียวก็เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่มีจำนวนมากที่สุดในพื้นที่ฝึกซ้อม

พวกมันไม่ชอบแสงอาทิตย์ ดังนั้นมันจึงอาศัยอยู่ใต้ดิน และจะออกมาเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนด้านบน

หากมีผู้ที่ถูกกัดโดยปากที่ไม่สมประกอบนั่น เนื้อสดๆ ส่วนหนึ่งก็จะถูกฉีกกระชากออกไปเป็นการตอบแทน

‘เอาเถอะ พวกมันยังตกรูน’

จากมุมมองหนึ่ง มันอันตรายอย่างมาก

หากคุณโดนกัดครั้งหนึ่งและล้มลง คุณก็จะตายโดยไม่สามารถทำอะไรได้สักอย่าง

แต่มันมีวิธีง่ายในการรับมือพวกนี้

ฮันซูทิ่มแทงง้าวสั้นในมือลงไปบนหัวของมันอย่างโหดเหี้ยมพร้อมกบเอ่ยว่า

“ถ้าพวกนายไม่มั่นใจก็เดินไปบนทางหินแกรนิตที่ไม่แตก ถ้าเห็นว่ามีจุดที่แตกจนเห็นพื้นดินก็แทงด้วยดาบของพวกนายไป โอ้ แล้วก็ระวังมือของพวกนายตอนที่แทงด้วยล่ะ”

ใต้พื้นหินแกรนิตคือดิน เป็นการคัดลอกสถานที่จริงของสถานีรถไฟกังนัมอย่างแท้จริง

“… นายรู้ทั้งหมดนี่ได้ยังไง?”

แทซูนเอ่ยถามด้วยท่าทางเคลือบแคลง คำตอบของฮันซูนั้นเรียบง่าย

“พลังจิต”

“…” คำพูดนั้นทำให้คนอีกเจ็ดคนที่กำลังจ้องไปยังร่างของชายหนุ่มด้วยสายตาหวาดกลัวต้องเดินอย่างระมัดระวังไปบนพื้นแกรนิตพร้อมกับแทงดาบลงไปในบริเวณที่ปรากฏดิน

กิกี้!

ฮันซูส่ายศีรษะในวิธีการแทงของทั้งหมด

‘สี่คนมีประโยชน์ อีกสามยังใช้ไม่ได้’

น่าแปลกที่คนนำเป็นผู้หญิง

มิฮีและจีซุนกำลังแทงอาวุธในมือลงไปในพื้นดินด้วยอาการกัดฟันกรอด ขณะเดียวกัน แทซูนและแฟนหนุ่มของจีซุนต่างก็กำลังแทงอาวุธในมือลงในพื้นอย่างขยันขันแข็ง

แต่อีกสามคนนั้นค่อนข้างหวาดกลัวหนอนสีเขียวที่ออกมาพร้อมกับเสียงกรีดร้อง พวกเขานั้นทำเพียงแค่เฝ้ามองอย่างเงียบงันอยู่เบื้องหลัง

ฮันซูไม่ได้ใส่ใจทั้งสามแม้แต่น้อย

ไม่มีเหตุผลที่จะไม่พอใจเพราะพวกเขาไม่ร่วมมือต่อสู้ เพราะทั้งหมดนั่นสุดท้ายก็ให้ประโยชน์กับเขาในที่สุดอยู่ดี

ไม่ช้า รูนเล็กๆ ที่ส่องประกายก็กระจัดกระจายไปทั่ว

ฮันซูได้เก็บรูนที่ตกจากสัตว์อสูรที่เขาฆ่า จากนั้นจึงหันไปและเอ่ยถามด้วยสีหน้าแปลกประหลาด

“…ทำไมพวกนายไม่เก็บ?”

จากนั้นจึงเป็นแทซูนที่หัวเราะออกมาอย่างอึดอัด

“ไม่ ไม่มีอะไรมาก แต่.. มันไม่ดีกว่าเหรอที่นายจะเก็บมันไปทั้งหมด? แม้แต่ในเกมเรายังทำอะไรแบบที่เอาทุกอย่างให้คนๆ เดียวน่ะ”

ทุกคนผงกศีรษะเล็กๆ

เพียงแค่พวกเขากลืนกินรูนก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะแข็งแกร่งอย่างซุปเปอร์แมนได้

แต่หากพวกเขาถูกจับโดยสัตว์อสูรเหล่านั้นและต้องเป็นบาดทะยักหรืออะไรแบบนั้น พวกเขายอมตายเสียดีกว่า

หากพวกเขาเอารูนทั้งหมดให้ฮันซูและให้อีกฝ่ายเป็นคนปกป้องพวกเขา มันย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

ฮันซูส่ายศีรษะกับคำพูดนั้น

“สิ่งที่พวกนายฆ่า พวกนายก็เอาไป”

นี่ไม่ใช่ความคิดของเขา

หากพวกเขาเป็นศัตรูกันตั้งเริ่มมันย่อมไม่สำคัญ แต่หากอีกฝ่ายต้องการที่จะเดินทางไปกับเขา อย่างน้อยมันก็ต้องมีกฎบ้าง

และนี่เป็นกฎพื้นฐานที่พวกเขาได้ทำตามเพื่อที่จะสามารถอยู่ร่วมกันเป็นสิบปีได้ขณะที่ท่องไปทั่วอบิส

<เก็บรูนจากสิ่งที่นายฆ่า ถ้าเป็นการล่าแบบกลุ่มให้แบ่งตามลำดับและการมีส่วนร่วม>

‘อย่างที่คิดเพราะมันเป็นจุดเริ่มต้น…’

การคิดว่าอีกฝ่ายจะปกป้องเพียงเพราะพวกเขาให้กินรูนนั้นเป็นความคิดที่ผิด

ทำไมจะไม่เพราะพวกเราเป็นเพื่อน ความคิดอย่างที่ว่าถ้าฉันทำตัวดีกับพวกเขา พวกเขาจะให้บางอย่างฉันตอบแทน

เมื่อเหตุการณ์แบบที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายเกิดขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างกันก็จะสลายหายไปราวกับฟองอากาศ

ตราบเท่าที่สถานการณ์นั้นยังไม่เกิดขึ้น แต่ไม่ช้าพวกเขาจะเข้าใจ

สถานการณ์ที่ชีวิตตกอยู่ในอันตรายนั้นอยู่ไม่ห่างออกไปจากที่นี่เท่าไหร่นัก

กล่าวโดยสรุปสิ่งเดียวที่คุณสามารถเชื่อได้มีเพียงแค่ความสามารถของตัวเอง

ถ้าคุณไร้ประโยชน์ ก็จะถูกโยนทิ้งในทันที

พวกเขาจะตระหนักขึ้นในที่สุด และสิ่งเดียวที่พวกเขาจะทำคือการกลืนกินรูนอย่างบ้าคลั่งด้วยดวงตาที่แดงก่ำ

กฎด้านบนนั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อสิ่งนั้น

‘ฉันไม่ใช่พี่เลี้ยงของพวกเขา พวกเขาต้องรับมือกับมันด้วยตัวเอง’

ในตอนนั้น แทซูนได้เอ่ยพึมพำอย่างแผ่วเบาที่มุมหนึ่ง

“เฮ้ ดูตรงนั้นสิ มีรูนพิเศษอยู่ตรงนี้”

คำกล่าวนั้นทำให้ทุกคนรวมตัวกัน

ทุกคนเห็นมันเป็นครั้งแรก แต่พวกเขารับรู้ว่ารูนนี้มีอะไรด้วยสัญชาตญาณ

“ถ้าใครกลืนมันเข้าไป เขาจะสามารถใช้สกิลได้ หืม”

แทซูนพึมพำขณะที่มองไปยังฮันซู

ของสิ่งนี้สร้างความต้องการขึ้น

ก่อนหน้า ฮันซูได้เอ่ยอย่างเท่ว่าพวกเขาสามารถกลืนกินนูนได้ แต่หากตาของอีกฝ่ายมองมายังรูนใหม่นี่และเอ่ยว่าเขาจะกินมัน แทซูนย่อมไม่มีทางที่จะหยุดยั้งอีกฝ่ายได้

“ฉันเก็บมันได้จริงๆ เหรอ?”

ฮันซูผงกศีรษะ

ชายหนุ่มกระทั่งรู้ถึงความสามารถของรูนนั่น

< Ekrool Troll Tribe’s Essence >

‘เป็นรูนที่ค่อนข้างดีในตอนเริ่มต้น’

รูนที่ทำให้ผิวหนังแข็งขึ้นและเพิ่มอัตราการฟื้นฟู

มันเป็นรูนที่เพิ่มทั้งพลังป้องกันและพลังฟื้นฟูในยามเริ่มต้นที่การเอาชีวิตรอดนั้นเป็นสิ่งสำคัญ

และรูนนั้นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นสกิลติดตัวที่ไม่มีข้อจำกัดในการเรียนรู้และไม่ได้ใช้มานา

ผู้ที่กินเข้าไปจะหิวง่ายขึ้น แต่เมื่อเทียบกับประโยชน์แล้ว มันคุ้มค่า

อาหารสามารถขโมยเอาได้เมื่อคุณแข็งแกร่งขึ้น และมันไม่ใช่ปัญหา

แต่ฮันซูส่ายศีรษะ

‘ฉันเรียนสกิลมั่วซั่วไม่ได้’

โดยปกติแล้วคนผู้หนึ่งสามารถเรียนสกิลได้รับสิบ

มันไม่ใช่ว่าไม่สามารถลบได้ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ควรจะยอมแพ้ในการเรียนสกิล

ความแข็งแกร่งของสกิลเปลี่ยนแปลงไปตามความชำนาญและระดับ แต่เมื่อมันไม่มีความเสี่ยงในการเรียนรู้ มันย่อมไร้ข้อเสียในการเรียนมัน

ผู้ที่มีสัญชาตญาณดีและมานาเยอะ บางครั้งกระทั่งมีสกิลเกินร้อย และเคลเดียนนั้นมีมากกว่าพันสกิล

และเพราะว่าเขาสามารถใช้สกิลเหล่านั้นได้อย่างเหมาะสม เขาจึงเป็นหนึ่งในสี่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด

คังเต้นั้นแข็งแกร่งที่สุด แต่หากพวกเขาสู้กับเคลเดียนจริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องตลก

แต่เขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้

<Sven Stars>

มันคือชื่อเล่นที่ถูกตั้งโดยแอรีสเมื่อเห็นลักษณะพิเศษของเขา

ลักษณะพิเศษที่ทำให้เขาสามารถไล่ตามคังเต้ เคลเดียน และแอรีสได้ทันจนสามารถยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเขาได้แม้จะเริ่มต้นช้ากว่าถึง 20 ปี

ลักษณะพิเศษนั่นเป็นปัจจัยที่ทำให้คนอื่นตัดสินใจส่งเขากลับมายังอดีตแทนที่จะเป็นตัวเอง

ยามที่เขารู้ลักษณะพิเศษของตนเอง คือยามที่เขาเรียนรู้สกิลแรก

สกิลแรกที่เขาเรียนคือ < Dororo lizard’s essence >

แต่ทันทีที่รูนได้หลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขา เขาก็รู้ว่าเขาได้ทำผิดพลาดอย่างที่ไม่อาจแก้ไขได้

‘… จำนวนสกิลที่ฉันเรียนได้มีแค่เจ็ดอย่าง’

หรือจะกล่าวให้เจาะจง รูนสกิลที่เขาสามารถหลอมรวมได้มีเพียงแค่เจ็ด

แอรีสมักจะเสียใจกับเรื่องนี้อยู่เสมอ

<ถ้านายเรียนสกิลระดับกลางอย่างการสนับสนุนและพัฒนามัน มันคงง่ายสำหรับเรากว่านี้ง>

ข้อจำกัดเจ็ดสกิลนั้นเป็นข้อเสียเปรียบอย่างมาก

แต่เหนือไปกว่านั้นมันก็ยังมีข้อได้เปรียบอย่างใหญ่หลวง

ความเร็วในการเพิ่มความเชี่ยวชาญสกิลของเขานั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าประหลาดใจ

เป็นความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ

และสกิลนั้นกระทั่งทลายขีดจำกัดและยังคงวิวัฒนาการต่อไป

สกิลที่เขาเรียนรู้ แก่นแท้แห่งกิ้งก่าโดโรโร่นั้นได้ช่วยเพิ่มอัตราการฟื้นฟู มันวิวัฒนาการเสียจนเทียบเท่าได้กับเคล็ดอมตะที่เขาเรียนรู้

Dororo lizard’s essence เป็นเช่นนั้น

สกิลกระจอกที่เขาได้เรียนเพราะเป็นทางสุดท้ายในการรอดชีวิตได้แข็งแกร่งขึ้นจากกการดิ้นรนของเขาในที่สุด

< Ganglion’s Fast Charge > ได้พัฒนาเสียจนเทียบเท่าได้กับ Void Ripper ของเคลเดียน และ < Anon’s Vampire Bat > ได้พัฒนาจนกระทั่งเทียบเท่าได้กับ Blood Magic

ในอบิสที่ซึ่งสกิลที่แข็งแกร่งเป็นสิ่งจำเป็น พรสวรรค์นี้นับได้ว่าเป็นคำอวยพร

และเพื่อการนั้น แอรีสได้เอ่ยกับเขาอย่างหนักแน่นก่อนที่เขาจะกลับมายังอดีต

คิดให้แน่ดีก่อนที่จะเลือกเรียนสกิลทั้งเจ็ด

และเขาคิดจะทำเช่นนั้นหากทุกอย่างเป็นไปตามแผนของเขา

‘จากแผนของฉัน… ไม่มีสกิลไหนเลยก่อนที่จะออกจากพื้นที่ฝึกซ้อม’

“งั้นฉันเรียนนะ?”

เหล่าเพื่อนๆ ที่อยู่รอบด้านมองไปยังแทซูนที่มีความสุขอย่างมากด้วยความอิจฉา

ทันทีที่แทซูนดูดซึมรูนนั้น การเปลี่ยนแปลงก็ปรากฏขึ้น

ปึด

ผิวหนังของชายหนุ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นสีเขียวจางๆ ก่อนจะกลับเป็นดังเดิม

มันไม่มีความเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่เขารู้ตั้งแต่วินาทีที่เขได้เรียนรู้ว่ามีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขา

ร่างกายที่เหนื่อยล้าเริ่มฟื้นฟูขึ้นและผิวหนังที่ถูกบาดจากฟันของหนอนเขียวค่อยๆ ถูกรักษา

และค่าสถานะใหม่ที่ปรากฏขึ้น

‘ค่าสถานะต่อต้านทางกายภาพเพิ่มขึ้นมา’

แทซูนแตะใบหูของเขา

 

[ปาร์คแทซูน]

พลังกาย: 11.1

ความคล่องแคล่ว: 10.1

ความอดทน: 12.5 (+1.5 < Ekrool Troll Tribe’s Essence >)

<สกิล>

– Ekrool Troll Tribe’s Essence (ความเชี่ยวชาญ 1.0%)

 

‘เยี่ยม’

ความเชี่ยวชาญนั้นอยู่ที่ 1% แต่ค่าสถานะจำนวนหนึ่งเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก

ไอ้โง่เอ้ย ให้ของแบบนี้กับฉัน

หากเป็นเขา เขาจะไม่มีทางให้มัน

ลำดับชั้นสามารถถูกใช้ประโยชน์ได้เมื่อเหมาะสม

‘ฉันจะตามนายทัน’

แทซูนที่กำลังนับจำนวนรูน มองไปยังฮันซูด้วยรอยยิ้มมั่นใจ

ในขณะที่แทซูนกำลังทำช่นนั้น ฮันซูกำลังเช็คค่าสถานะของเขาอยู่

 

[คังฮันซู]

พลังกาย: 15.3

ความคล่องแคล่ว: 12.1

ความอดทน: 12.1

ความเข้าใจ: 13.2

 

‘ไม่เลว’

ระดับของมันนั้นไม่แย่ แต่มันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับอดีต

ฮันซูส่ายศีรษะขณะที่ยังคงเดินหน้าต่อไป

แต่ในตอนนั้นเองที่แทซูนเดินมาเคียงข้างเขาและเอ่ยว่า

“มันคงอันตรายนับจากนี้ ดังนั้นแล้วไปด้วยกันเถอะ”

ขณะเดียวกันฮันซูก็เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นได้แอบเหลือบมองไปยังมิฮี ชายหนุ่มส่ายศีรษะ

‘… ไม่มีทางที่เขาจะเห็นฉันเป็นคู่แข่ง’

ความจริงแล้วตอนนี้มันค่อนข้างน่ารักเลย

ในอนาคตไม่มีผู้ใดรู้ว่ามันจะเปลี่ยนไปอย่างไร

‘ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่ได้แย่’

แม้ว่าพวกเขาจะแบ่งรูนกัน ความเร็วในการล่านั้นรวดเร็วจนกระทั่งรูนของเขานั้นเพิ่มขึ้นไวกว่ากว่ายามที่เขาล่าคนเดียว

เขากังวลว่าแทซูนจะขวางทาง แต่อีกฝ่ายนั้นทำงานพอสำหรับคนหนึ่งคน

ด้วยการที่ทั้งสองนำอยู่ด้านหน้า ทั้งแปดก็ยังคงเดินหน้าต่อไป

ต้องขอบคุณแสงที่ส่องลอดผ่านหลังคาที่แตกหักที่ทำให้ไม่มีปัญหาในการเดินหน้านัก

แม้ว่ามันจะค่อนข้างมองยากบ้างก็ตาม

ฉัวะ

อาจเป็นเพราะว่าพวกเขานั้นโลภขึ้นหลังจากเห็นสกิล ทุกคนจึงฟาดฟันหนอนเขียวอย่างโลภมาก แต่ว่าพวกเขาก็ยังเทียบความเร็วของแทซูนและฮันซูไม่ได้

‘อย่างไรก็ตาม… หมอนั่นไม่มีแม้แต่สกิล แต่เขาก็ยังเร็วกว่าฉันมาก’

แทซูนมองไปยังฮันซูด้วยสายตาอิจฉาเล็กๆ

เพราะสกิลใหม่นี้ทำให้เขาสามารถพุ่งเข้าไปโดยที่มีความหวาดกลัวน้อยลง

มันเป็นเหตุผลที่ทำให้ความเร็วในการล่าของเขามากขึ้น

แต่ไอ้หมอนั่นที่พุ่งเข้าไปกลางคลื่นหนอนสีเขียวราวกับเขานั้นไร้ตัวตนพร้อมกับหั่นหัวของพวกมันลงอย่างโหดเหี้ยม

‘…ไม่ ฉันจะชนะ’

แทซูนที่ไม่อาจยอมรับได้ว่าผู้ที่มักจะอยู่ในมุมมืดเงียบๆ นั้นเหนือกว่าเขามากได้จัดการหนอนเขียวลงอย่างขยันขันแข็งยิ่งกว่าเดิมพร้อมกับเดินหน้าไปอย่างช้าๆ

มิฮีตามหลังไปอย่างรอบคอบก่อนจะเอ่ยถามฮันซู

“… แต่ทำไมเราถึงได้ลงข้างล่างล่ะ?”

ฮันซูเอ่ยตอบ

“เพื่อขึ้นรถไฟใต้ดิน”

“…รถไฟใต้ดิน?”

แทซูนมองสถานีรถไฟที่พังทลาย ไร้ซึ่งไฟฟ้า ก่อนจะมองไปยังฮันซูอย่างเคลือบแคลง

 


TL: อย่าไปแข่งกับปู่เขาเลยน่า ประสบการณ์เขาเยอะกว่า

ปล. ขอไม่แปลชื่อสกิลนะคะ แปลออกมาแล้วมันตลกอ่ะ

 

ติดตามข่าวสารที่รวดเร็วกว่าได้ทาง Facebook: Netear.ST นะคะ