บทที่ 47 คอแข็งพอไหม?

เมื่อรถหยุดลงที่หน้าภัตตาคารจิงเฉิง ทั้งเย่เฟิงและซูเหมิงหานก็ลงมาจากรถ

อย่างไรก็ตามพวกเขาทั้งคู่ไม่ได้มีความสัมพัทธ์แบบใกล้ชิดอะไรมากนัก ซูเหมิงหานคิดว่าเย่เฟิงกับเธอยังเป็นแค่นักเรียนมัธยมปลายกันอยู่ ดังนั้นพวกเขาควรจะรอจนถึงมหาลัยเสียก่อน…

ในขณะเดียวกัน จ้าวอี้เปยกำลังมองหาที่จอดรถ ชายหนุ่มปฏิเสธคำชวนของซูเหมิงหานที่บอกให้ไปกินข้าวด้วยกันกับพวกเธอ ในฐานะที่ถูกไว้วางใจโดยชายหน้าบาก เจ้าอี้เปยรู้ดีว่าสถานการณ์แบบไหนที่เขาควรตอบตกลงหรือควรปฏิเสธ

ทั้งเย่เฟิงและซูเหมิงหานได้เดินเข้าไปในร้านอาหารด้วยกันและตรงไปยังห้องที่ถูกจองไว้โดยซูซินฉาง ขณะเดียวกันฝั่งตรงข้ามของร้านอาหารมีงานที่ถูกจัดโดยตระกูลหลินที่โรงแรมจิงหัวอยู่ แต่เย่เฟิงก็ไม่ได้สนใจอะไรมันเลยแม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตามเย่เฟิงไม่รู้เลยว่าขณะนี้ที่หน้าโรงแรมจิงหัวมีกลุ่มคนกำลังออกมาต้อนรับเจ้าภาพสำคัญของงานเลี้ยงค่ำคืนนี้ ผู้อาวุโสวัย70ปีแห่งตระกูลหลิน หลินหงชวนที่พึ่งมาถึงยังทางเข้าของโรงแรม

ถึงแม้ว่าผู้อาวุโสคนนี้จะอยู่ในวัยชราแต่ตัวเขายังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ไม่มีผมขาวแม้แต่เส้นเดียวให้เห็น อีกทั้งมีร่างกายที่ดูบึกบึน ชายแก่ทักทายฝูงชนหลังจากลงมาจากรถของเขา ทันใดนั้นสายตาพลันมองไปยังฝั่งตรงข้ามของถนน เขาเห็นเย่เฟิงและซูเหมิงหานที่ลงมาจากรถและเดินเข้าไปยังร้านอาหารด้วยกัน

ชายแก่ได้แต่เพ่งตามองพลางครุ่นคิด นั่นไม่ใช่หลานชายของตาแก่เย่หรอกหรือ นี่เขามาอยู่ที่นี่กับผู้หญิงคนอื่นได้อย่างไรกัน?

ชายชรากวาดตามองไปรอบๆได้ยินเสียงของคนกลุ่มใหญ่รอบตัวกำลังอวยพรเขา ดูท่าทางแล้วการจะเข้าไปกล่าวทักทายเย่เฟิงในตอนนี้คงยังไม่สามารถทำได้ ชายชราเก็บเรื่องนี้ไว้ก่อนตัดสินใจว่าหากเขามีเวลาเหลือเพียงสักครู่เขาจะตรงไปยังร้านอาหารฝั่งตรงข้ามเพื่อพูดคุยกับเย่เฟิง ถึงแม่ว่าทั้งชายแก่และเย่เฟิงจะยังไม่ได้พบเจอกันอย่างเป็นทางการ แต่การที่บังเอิญมาเจอวันนี้ก็ถือว่าเป็นฤกษ์งามยามดีแล้ว

ครั้งนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดครบรอบเจ็ดสิบปีของชายชรา หลานชายของเขาหลินซิวเหวินรู้ดีว่าปู่ของเขามีความหลงไหลในวัตถุโบราณ จึงได้ใช้อิทธิพลของเขาในทุกทางเพื่อที่จะจัดหาวัตถุโบราณชั้นยอดมาเป็นของขวัญวันเกิดให้แก่ปู่ ท้ายที่สุดวันนี้เขาได้มอบมันแก่ปู่ซึ่งทำให้ชายชรามีความยินดีอย่างมาก เจ้าหลานที่ไม่ได้เรื่องได้ราวคนนี้ในที่สุดก็รู้จักทำอะไรให้มันถูกต้องเสียที

หากจะบอกว่าผู้อาวุโสแห่งตระกูลหลินคนนี้เป็นผู้ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประเทศก็ไม่ได้ถือว่าเป็นการกล่าวเกินเลยแต่อย่างใด ในวันคล้ายวันเกิดครบรอบเจ็ดสิบปีเหล่าเจ้าหน้าที่จากองกรณ์ต่างๆที่ทรงอิทธิพลต่างตอบรับคำเชิญมาร่วมงานเพื่อแสดงความยินดีแก่ชายชรา หรืออีกแง่มุมหนึ่งกล่าวได้ว่าพวกเขาเหล่านั้นต้องการมาคงไว้ซึ่งความสัมพันธ์อันดีต่อตระกูลหลิน กล่าวได้ว่านอกจากมาแสดงความยินดีแล้วพวกเขามาเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันทั้งนั้น

ค่ำคืนนี้สนธิสัญญาหลายฉบับถูกกำหนดให้มีการเซ็นกันอย่างลับๆในงานเลี้ยง การทำข้อตกลงทางธุรกิจเหล่านี้ถือเป็นการกำหนดทิศทางแห่งเศรษฐกิจทั้งหมดเลยทีเดียว

กลุ่มผู้คนรอบๆผู้อาวุโสตระกูลหลินต่างเดินเข้าไปยังโรงแรมจิงหัวพร้อมกับเขาท่ามกลางเสียงปรบมือต้อนรับอย่างอบอุ่น

……

ณ อีกฝากหนึ่ง ภายใต้การนำทางของบริกรสาวสวย เย่เฟิงและซูเหมิงหานมาถึงยังชั้นหกของภัตตาคารจิงเฉินอย่างรวดเร็ว ทางเดินและห้องโถงส่องแวววาวจากแสงของทองและหยกเขียว สถานที่แห่งนี้ดูราวกับเป็นสถานที่ชั้นสูง มีการตกแต่งภายในอย่างงดงาม ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบได้กับโรงแรมจิงหัวที่อยู่อีกฝากฝั่งของถนน

“ทั้งสองท่านเชิญด้านในเลยค่ะ”

บริกรสาวสวยคนนั้นเดินไปที่ประตูและเปิดมันออกให้พวกเขาเข้าไป

เย่เฟิงพยักหน้าและเดินเข้าไปก่อนตามด้วยซูเหมิงหานตามลำดับ มันเป็นห้องที่ใหญ่มากสามารถจุคนได้สิบคนอย่างสบายๆ แต่ในความเป็นจริงตอนนี้มีเพียงซูซินฉางเพียงคนเดียวเท่านั้นที่นั่งรอคอยพวกเขา บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารราคาแพงและมีขวดไวน์แดงสองขวดที่ดูล้ำค่า

“เหมิงหาน เฟิงน้อย มาเถอะ เข้ามานั่งนี่สิ”

ทันทีที่ซูซินฉางเห็นทั้งสองคนก้าวเข้ามาในห้อง ชายวัยกลางคนยิ้มขึ้นมาและกล่าวต้อนรับทักทายทันที

ซูซินฉางโลดแล่นอยู่ในวงการธุรกิจหลายปี ความสามารถในการเข้าสังคมของเขาสามารถรับมือได้กับสถานการณ์ทุกรูปแบบ เขาทำความเข้าใจกับมันเหล่านั้นและประเมินว่าจะต้องลงมือกับมันอย่างไร ไวน์แดงนี้ถูกเตรียมไว้ให้แก่เย่เฟิง ในประเทศนี้ถ้าหากมีแอลกอฮอล์ตั้งอยู่บนโต๊ะอาหารนั่นหมายถึงการดื่มกินและสนทนาเรื่องราวต่างๆจะต้องเป็นไปอย่างราบรื่น มันเป็นความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนไป

ตั้งแต่เข้าประตูมาเย่เฟิงมองไปรอบๆและสังเกตุเห็นซูซินฉางที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งหัวโต๊ะในห้องส่วนตัว จานอาหารถูกวางไว้ทั้งฝั่งซ้ายและขวาของเขา จากภาพที่เห็นซูซินฉางคงรู้อยู่แล้วว่าชายหนุ่มต้องมากับซูเหมิงหานอย่างแน่นอน และยังต้องการให้เย่เฟิงและซูเหมิงหานนั่งข้างๆของเขาเพื่อให้เกิดความใกล้ชิดกันมากขึ้นอีกด้วย

อย่างไรก็ตามซูเหมิงหานไม่ได้ต้องการนั่งข้างๆซูซินฉาง แน่นอนว่าเย่เฟิงก็เช่นกัน

เย่เฟิงเดินตรงไปนั่งยังฝั่งตรงข้ามของซูซินฉางทันที เขาไม่ได้มองไปยังซูซินฉางแม้แต่น้อย ซูเหมิงหานที่เห็นเย่เฟิงไม่เดินไปตามแผนของพ่อของเธอ หญิงสาวจึงเลือกที่จะไปนั่งข้างๆเย่เฟิงเช่นเดียวกัน

บริกรสาวสวยเห็นดังนั้นเธอรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาแล้วจึงกล่าวอย่างสุภาพ “แขกทั้งสอง นี่เป็นการรับประทานอาหารกันกับครอบครัวทำไมไม่นั่งให้ใกล้ชิดกันกว่านี้ล่ะ ”

บริกรสาวคนนั้นตระหนักได้ถึงสถานภาพที่ไม่ธรรมดาของซูซินฉาง เพราะว่าเขาผู้ที่เป็นเจ้าของบัตรทองของร้านอาหารแห่งนี้ เธอจึงเลือกที่จะอำนวยความสะดวกด้วยการเชื้อเชิญลูกสาวของเขาและแฟนหนุ่มของเธอให้เข้าไปนั่งใกล้ๆกว่านี้

ในความคิดของบริกรสาว ชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้ดูท่าทางจะรู้มารยาทของโลกนี้เลย เขามาร้านอาหารนี้ด้วยชุดกีฬาที่ดูสวมสบาย และยังไม่ได้สนใจถึงตำแหน่งของสิ่งของต่างๆบนโต๊ะอาหาร ยิ่งไปกว่านั้นเขาเลือกที่จะนั่งตรงข้ามกับพ่อตาในอนาคตของเขาอีกด้วย! การที่เขาแสดงออกแบบนี้ก็ไม่ต่างจากขอทานที่กำลังหวังว่าจะได้กับเจ้าหญิงเลย

“ไม่ล่ะขอบใจ แต่เราจะนั่งตรงนี้”

เย่เฟิงขัดขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจกับคำเชิญของบริกรสาว เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้นั่งใกล้ซูซินฉาง ชายหนุ่มมาที่นี่เพื่อดูว่าอีกฝ่ายต้องการพูดอะไรเท่านั้น

“ไม่เป็นไร เอาที่เขาสบายใจเถอะ”

ซูซินฉางรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่เขายังคงรักษารอยยิ้มไว้บนน้อยพลางผงกหัวให้แก่บริกรสาว

ทั้งหมดนี้ทำให้บริกรสาวรู้สึกมึนงงเล็กน้อย คุณซูถึงกับยอมให้เจ้าหนุ่มคนนี้? แน่นอนว่าเธอได้แต่ยอมรับที่ซูซินฉางสั่ง จากนั้นเธอจึงเริ่มจัดจานอาหารต่างๆไว้ตรงหน้าของเย่เฟิงและซูเหมิงหาน

“รบกวนช่วยเปิดไวน์ด้วย หลังจากนั้นเราขอความเป็นส่วนตัวหน่อยนะ”

ซูซินฉางบอกต่อบริกรสาว

“ได้เลยค่ะ ดิฉันจะยืนรออยู่หน้าห้องหากคุณซูมีอะไรเชิญเรียกได้ทุกเมื่อค่ะ”

บริกรสาวเปิดขวดไวน์แล้วจึงโค้งคำนับเดินออกไป อย่างไรก็ตามก่อนเธอก้าวออกไปบริกรสาวเหลือบไปมองซูเหมิงหานด้วยความอิจฉา ไม่จำเป็นกล่าวอะไรมากมายถึงซูเหมิง หญิงสาวดูสวยบริสุทธ์และสง่าอย่างไม่แพ้ใคร อีกทั้งเธอยังเป็นลูกสาวของประธานของบริษัทซูเฉิงที่มีเบื้องหลังครอบครัวที่ไม่ธรรมดา ดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่หลายคนจะต้องอิจฉาเธอไม่ว่าจะเป็นจากหน้าตาหรือเงินทองก็ตามที

หากแต่ความจริงจะมีใครรู้ว่าซูเหมิงหานไม่ได้ชอบสถานะนี้เลย เธอไม่เคยรู้สึกดีเลยด้วยซ้ำไป

หลังจากบริกรสาวก้าวออกไปจาากห้องเธอหันไปมองยังเย่เฟิงและปิดประตูลง หญิงสาวคิดกับตัวเองว่าชายหนุ่มคนนั้นไม่รู้ว่าต้องมีโชคดีมากแค่ไหนถึงได้เป็นที่ต้องตาต้องใจของลูกสาวประธานบริษัทซูเฉิง จากนี้ไม่ว่าเขาจะก้าวเดินไปทางไหนก็ต้องเหนือว่าคนธรรมดาไปหลายขั้นอย่างแน่นอน

เมื่อนั้นเย่เฟิงที่กำลังนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวแน่นอนว่าไม่ได้แม้แต่เสียเวลาคาดเดาอะไรก็ตามที่บริกรสาวกำลังคิดอยู่

ซูซินฉางหยิบชวดไวน์ขึ้นมารินใส่ยังแก้วของเย่เฟิงและซูเหมิงหานตามลำดับ เขายิ้มที่มุมปากแล้วกล่าวว่า “เหมิงหาน เฟิงน้อย สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้หวังว่าพวกลูกๆคงไม่โกรธเคืองกันนะ พ่อก็แค่แสร้งทำตัวไปแบบนั้นต่อหน้าแม่เลี้ยงเท่านั้นเอง ไม่มีทางที่พ่อจะทิ้งลูกได้ลงคอหรอก ยิ่งกว่านั้นเหมิงหานลูกพ่อยังสวยมาก…”

“อย่างนั้นเหรอครับ? งั้นคุณรู้รึเปล่าล่ะว่าเธอเสียใจมากแค่ไหนกับเรื่องที่เกิดตอนบ่ายที่ผ่านมาน่ะ?”

เย่เฟิงพูดขณะที่มองไปยังแก้วไวน์อย่างเฉยชา สีที่เข้มข้นของไวน์แสดงถึงความล้ำค่าของมันว่าต้องอยู่ในระดับชั้นเลิศ แสดงถึงความหรูหราในรูปแบบตะวันตก

“เหมิงหาน พ่อคงต้องขอโทษนะ มา รับไวน์แก้วนี้ไปสิ ถึงพ่อจะเป็นพ่อของลูกแต่พ่อก็ยังต้องขอโทษลูกอีกครั้งจริงๆ”

ซูซินฉางยิ้มอย่างอ่อนโยน เขายื่นไวน์ทั้งสองแก้วให้แก่เย่เฟิงและหญิงสาว

ซูเหมิงหานมองแก้วไวน์แดงและหันหน้ากลับมามองเย่เฟิงด้วยความลังเล

“เธอไม่จำเป็นต้องดื่มหรอก นี่คือเหตุผลว่าทำไมฉันมาที่นี่กับเธอวันนี้ไงล่ะ”

เย่เฟิงยิ้มแล้วจึงจับมือซูเหมิงหานออกจากแก้วไวน์ เขายกแก้วขึ้นมายกเข้าปากอึกใหญ่เพียงอึกเดียว ไวน์อันแสนแพงนี้ไหลตามลำคอของเขาไป ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว สำหรับเขานี่เป็นครั้งแรกที่ได้ลองเครื่องดื่มแบบนี้ มันไม่ง่ายนักสำหรับเขาที่จะดื่มมัน

เมื่อเห็นสีหน้าของเย่เฟิงซูซินฉางยิ้มกริ่มในใจ หลังจากชายหนุ่มได้ดื่มไวน์เข้าไปอึกใหญ่ขนาดนี้แล้วก็ได้เวลาที่จะเข้าเรื่องที่เขาต้องการเสียที แอลกอฮอล์ที่เขาจัดเตรียมนี้จะทำให้การสนทนาเป็นไปตามที่เขาต้องการได้อย่างแน่นอน

……………………….

แปลโดยทีมงาน GSI