บทที่ 38

 

บอกได้เลยว่าวิชาสลายโลหิตนั้นสมควรจัดอยู่ในวิชาต้องห้ามอย่างแท้จริง เพราะมันสามารถลอบเร้นได้อย่างไร้ร่องรอย กระทั่งค่ายกลบางประเภทก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งได้ กระนั้น ผลที่ตามมาค่อนข้างร้ายแรงและน่ากลัว

 

ฉินห่าวมองสีหน้าของทุกคนที่แสดงออกคล้ายเป็นโรคสมองเสื่อมด้วยรอยยิ้ม 

 

“เจ้ามาโผล่ที่นี่ได้ยังไง?”

 

หน้าของศิษย์พี่รุ่ยเหมือนเพิ่งกินแมลงวันเข้าไป

 

“ก็ข้าได้ยินมาว่ามีคนจะฆ่าข้า เลยลองขึ้นมาดู”

 

ฉินห่าวยิ้ม หันไปพูดอย่างอยากรู้อยากเห็น “เจ้าเพิ่งกลับมาจากพื้นที่เสี่ยงใช่ไหม? กำลังเดินทางกลับนิกายใช่รึเปล่า?”

 

“เอ่อ .. ก็ใช่”

 

ในขณะนี้ ศิษย์พี่รุ่ยไม่เย่อหยิ่งเฉกเช่นตอนแรกอีกแล้ว ดูเป็นเด็กดีว่าง่ายขึ้นเยอะ

 

“งั้นพาข้าไปด้วยสิ”

 

จู่ๆ ฉินห่าวก็พูดประโยคหนึ่งที่ไม่มีใครคาดคิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน

 

ทุกคน “ … ”

 

เจ้าขอเหมือนพวกเราสนิทกันยังงั้นแหละ?

 

“ฉินห่าว! อย่าให้มันเกินไปนัก ที่นี่คืออาณาเขตของสำนักเซี่ยเจี้ยน ไม่ใช่ที่ๆเจ้าจะทำตัวโอหังได้!”

 

ศิษย์พี่รุ่ยสูดหายใจลึก เอ่ยเสียงเข้ม นี่ช่วยไม่ได้ ก็เขามีสถานะสูงสุดที่นี่ หากไม่ใช่เขาที่ออกหน้าหักล้างฉินห่าว แล้วจะมอบคำอธิบายให้คนอื่นอย่างไร?

 

เอาไงดี? พวกเรามีหลายคน รุมกระทืบมันเลยดีไหม?

 

ไม่ได้! พวกเขาคือสาวกของสำนัก ไม่ใช่อันธพาลข้างถนน!

 

“ปฏิเสธแบบนี้ … หรือเจ้าต้องการให้ข้าเปิดฉากสังหารหมู่?”

 

ใบหน้าของฉินห่าวเย็นชา

 

“เจ้า……”

 

ศิษย์พี่รุ่ยหน้าสั่น ถึงตอนนี้ สาวกคนหนึ่งกระตุกแขนเสื้อเขาจากข้างหลัง และกระซิบว่า “ศิษย์พี่ ข้าว่าทำตามที่ฉินห่าวพูดไปก่อนก็ได้ ตอนนี้เขาคือสาวกชั้นหนึ่ง ห่างชั้นกันเกินไป ต่อให้พวกเราไม่สู้ ก็ไม่ขายหน้า”

 

ได้ยินแบบนั้น ศิษย์พี่รุ่ยครุ่นคิดพักหนึ่ง ก็พบว่ามันสมเหตุสมผล เขาเป็นแค่สาวกชั้นสาม หากจะงัดข้อกับสาวกขั้นหนึ่งมันห่างชั้นกันเกินไป และทางเลือกนี้ก็ยังพอรักษาหน้าเอาไว้ได้พอดี

 

“งั้นก็ตกลงตามนี้นะ”

 

ฉินห่าวยิ้ม เขาหามุมสงบๆนอนพักอยู่บนเรือเหาะ 

 

ตลอดระยะเวลาเดินทาง บนเรือเหาะสำนักเซี่ยเจี้ยนเงียบงัน ไม่มีเสียงหัวเราะใดๆอีกต่อไป ทุกคนบนเรือได้แต่เก็บงำความทุกข์ ความอัปยศ และความโกรธเอาไว้!

 

แต่ก็ได้แค่อดทน เพราะยังไงก็สู้ฉินห่าวไม่ได้อยู่ดี

 

“อีกนานแค่ไหนจะถึง?”

 

เช้าวันหนึ่ง ฉินห่าวเอ่ยถาม

 

“สมควรจะถึงวันนี้” 

 

ศิษย์น้องคนหนึ่งตอบกลับด้วยความกลัว ตอนนี้พวกเขานึกไม่ออกจริงๆว่าฉินห่าวคิดจะทำอะไร

 

อย่าบอกนะว่าจะตามพวกเขากลับไปถึงข้างในสำนักจริงๆ?

 

“อืม”

 

ฉินห่าวพยักหน้าและนั่งขัดสมาธิ

 

 

ณ สำนักเซี่ยเจี้ยน

 

ช่วงนี้อารมณ์ของผู้อาวุโสหยินไม่ค่อยมีความสุขนัก เขามักรู้สึกว่าสวรรค์กำลังกลั่นแกล้ง นับแต่เขากลับจากนิกายเซียวเหยา ช่อของฉินห่าวยังเป็นเหมือนฝันร้ายที่ไม่สามารถลบได้ 

 

สาวกในนิกายมักแอบคุยกันเรื่องฉินห่าว เล่าว่าเขาเอาชนะไปทั่วสารทิศแล้วทะยานสู่สาวกชั้นสอง

 

ยิ่งในช่วงหนึ่งเดือนมานี้ หัวข้อสนทนาได้เปลี่ยนไป กลายเป็นเรื่องที่ฉินห่าวสังหารสาวกของสำนักเซี่ยเจี้ยนในพื้นที่เสี่ยง โดยที่พวกเขาไม่มีแม้โอกาสจะตอบโต้

 

สำหรับเรื่องฉินห่าว ตอนแรกผู้อาวุโสหยินพยายามไม่สนใจ เพราะความก้าวหน้าของผู้อื่นมันเท่ากับเป็นการบ่อนทำลายศักดิ์ศรีของตัวเขา แต่เมื่อเรื่องมันใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น สุดท้ายเขาก็ต้องจำใจเชื่อ

 

เวลานี้ ผู้อาวุโสหยินยืนอยู่หน้าเวทีประลองยุทธด้วยสีหน้าเศร้าหมอง เฝ้าดูสาวกตัวเองประลองกัน และเกิดอาการเบื่อหน่ายเล็กน้อย ชัดเจนว่าสาวกพวกนี้แม้พอใช้ได้ แต่เมื่อเทียบกับฉินห่าวแล้ว ยังด้อยกว่ามาก

 

บรรดาสาวกเองก็สังเกตได้ถึงบรรยากาศมาคุนี้ ไม่มีใครกล้าโห่ร้องเสียงดัง เกิดความกลัวเล็กน้อย

 

“หือ? ไกลๆนั่นมันอะไรกัน?”

 

ในตอนนั้นเอง สาวกคนหนึ่งเงยหน้าขึ้น อุทานเสียงดัง

 

“นั่นมันเรือเหาะของพวกเรานี่ แต่ทำไมมันถึงตรงมาทางนี้?”

 

ผู้อาวุโสหยินแหงนหน้ามองตามสัญชาตญาณ และทันใดนั้นก็รู้สึกว่าท้องฟ้ามืดลง ม่านตาหดลีบ ใต้ท้องเรือในสายตายิ่งมายิ่งขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

 

“ไม่ได้การ! สาวกทุกคนรีบถอยออกมาเร็ว!” 

 

จู่ๆ ผู้อาวุโสหยินก็ตอบสนอง ตะโกนเสียงดัง

 

อย่างไรก็ตาม มันสายเกินไปแล้ว

 

บรึ้มมมมม! 

 

เรือเหาะขนาดใหญ่ชนเข้ากับเวทีประลองเต็มๆ สาวกหลายคนที่ยังเหลือพลังปราณในตัวหนีออกมาได้ทัน แต่สาวกบางคนที่มีฐานบำเพ็ญเพียรต่ำ ถูกเรือเหาะบดขยี้เละเป็นเศษเนื้อ!

 

ชั่วขณะหนึ่ง เกิดเสียงกรีดร้องครวญครางดังระงม สถานการณ์หลุดการควบคุมอย่างสมบูรณ์!