บทที่ 38 ชายในชุดสูทตะวันตก

รถไฟความเร็วสูงใช้เวลาทั้งหมดเพียง 20นาที ในการเดินทางกลับเมืองเหยียนจิง

บนที่นั่งรถไฟ เย่เฟิงและซูเหมิงหานนั่งติดอยู่ด้วยกัน ในเวลานี้ เด็กสาวกำลังนั่งอิงอยู่กับชายหนุ่ม เหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้นเมื่อวานทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยเป็นอย่างมาก ส่วนเย่เฟิงที่โดนดาวโรงเรียนคนนี้นั่งอิงอยู่นั้น เขาก็ไม่ได้รู้สึกอารมณ์เสียอะไร กลับกัน เขากลับรู้สึกรื่นรมณ์จากกลิ่นหอมอ่อนๆของตัวเด็กสาวที่ลอยมาแตะจมูกของเขา

“อ๊า!! สัตว์ร้าย”

ทันใดนั้น ซูเหมิงหานก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้าที่แลดูแย่

“เธอเป็นอะไร?”

เย่เฟิงก้มหัวลงไปมอง และเห็นใบหน้าของสาวน้อยคนนี้มีท่าทีเศร้าสร้อย อย่าบอกนะว่าเธอไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอหลับไปและซบไหล่เขาอยู่ตลอดเวลาน่ะ นี่คือเหตุผลที่เธอว่าเขาเป็นสัตว์ร้ายงั้นหรอ?

ภายในชั้นผู้โดยสารของรถไฟ ผู้คนต่างจ้องมองมายังเย่เฟิง ทุกคนต่างเห็นสาวสวยคนหนึ่งอยู่ในอ้อมแขนของเขา แต่ทันทีที่เธอตื่นขึ้นมาก็ด่าว่า “สัตว์ร้าย” ทุกสายตาที่จ้องมองมาจึงเหมือนกับกำลังจ้องมองสัตว์ร้ายอยู่ไม่มีผิด เหล่าผู้สูงอายุหลายคนต่างเริ่มคุยกันถึงความดีงามของคนรุ่นก่อนมาเปรียบเทียบกับคนรุ่นนี้

“ฉันขอโทษ…”

เมื่อซูหมิงหานตื่นขึ้นมา เธอรีบผละตัวออกจากเย่เฟิง ใบหน้ากับแก้มที่แดงระเรื่อยิ่งทำให้เธอดูมีเสน่ห์

ทันใดนั้นเด็กสาวก็จำได้ว่าตอนนี้ เธอกำลังอยู่บนรถไฟกับเย่เฟิงเพื่อมุ่งหน้ากลับเมืองเหยียนจิง

แต่ความฝันเมื่อกี้นี้มัน….

ซูเหมิงหานที่กำลังเหม่อลอยพยายามที่จะแยกแยะอะไรคือความฝันอะไรคือความเป็นจริง ทำให้หัวใจของเธอเต้นรัวขึ้นอย่างมาก

สายตาของเด็กสาวแอบจ้องมองไปยังเย่เฟิง ยิ่งเธอจ้องเขามากเท่าไหร่ ความสับสนในหัวใจของเธอก็มากขึ้นเท่านั้น

ซูเหมิงหานรีบหันหน้าของเธอออกไปนอกหน้าต่าง และจัดผมกับกระโปรงด้วยอาการดูว้าวุ่นโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา ความฝันก่อนหน้านี้เป็นอะไรที่น่าอายเกินกว่าที่เธอจะไปเล่าให้ใครฟังได้

ในความฝัน เธอได้สารภาพรักกับเย่เฟิงอย่างโรแมนติกและเริ่มที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกับเขาอย่างมีความสุข แต่อยู่ๆก็มีสาวสวยในสภาพกระเซอะกระเซิงเหมือนคนเมื่อตอนเย็นวันนั้นโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ และหลังจากเขาได้มีความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนกับเธอ เย่เฟิงก็ได้ทิ้งเธอไป และได้ไปอยู่กับหญิงสาวคนนั้น เธออกหักและรู้สึกเจ็บปวดมากจนอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมาว่า “ไอ้สัตว์ร้าย”

“น้องคนสวย เกิดอะไรขึ้นหรอครับ?”

ตอนนั้น เสียงของชายหนุ่มที่ดูเหมือนเป็นพวกผู้พิชิตความยุติธรรมก็ดังมาจากด้านข้างของเย่เฟิง

พวกเขาทั้งคู่เงยหน้ามองไปที่ชายหนุ่มในชุดสูทตะวันตก ชายคนนั้นดูเหมือนอายุเพียง 23-24ปี เห็นจะได้ จมูกโด่ง ใบหน้าหล่อเหลา กำลังยืนอยู่ข้างเย่เฟิงและมองเย่เฟิงด้วยอารมณ์โมโห

ภายในชั้นผู้โดยสารนี้ หลายคนต่างปรบมือให้เขา

ในตอนนี้ชายหนุ่มกล้าที่จะยืนขึ้นเพื่อแสดงความถูกต้อง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาคือลูกผู้ชายในหมู่ของลูกผู้ชายตัวจริง ตอนนี้ทุกสายตาต่างจ้องมองเย่เฟิงดั่งสัตว์ร้ายที่กำลังจะลวนลามสาวสวยที่นั่งข้างๆ ในขณะที่ชายคนนี้เป็นพลเมืองดีที่มีความกล้าที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง

แต่ถึงอย่างนั้น ผู้คนทั้งหลายต่างมองไม่เห็นสายตาของชายหนุ่มคนนั้นที่กำลังแอบจ้องมองไปยังเนินอกของซูเหมิงหาน ชัดเจนว่าเขาหลงเสน่ห์ความน่ารักของเด็กสาวและอยากจะครอบครองเธอ ท่าทางของเขาดูเหมือนอยากจะเข้าไปนั่งแทนที่เย่เฟิง และดูเหมืนอน้ำลายของเขากำลังไหลออกมา

“…….”

ซูหมิงหานเงยหน้ามองไปที่ชายคนนั้นและรู้ว่าสายตาของเขากำลังมองอะไร นี่ทำให้เธอรู้สึกขยะแขยงในใจ และรีบเอามือปิดหน้าอกเธอจากสายตาของชายหื่นกามคนนี้

“ไปให้พ้น”

เย่เฟิงรู้สึกเกียจคร้านเกินกว่าจะมานั่งแก้ความเข้าใจผิดกับเรื่องไร้สาระพรรค์นี้ เขายื่นขึ้นบังสายตาของชายหนุ่มคนนั้น ทำให้ไม่สามารถแอบมองซูเหมิงหานได้อีก ไอ้เวรนี่มันกล้ามาแอบมองผู้หญิงของเขาต่อหน้าเขางั้นหรือ? นี่มันจะมากไปแล้ว!

เมื่อชายหนุ่มในชุดสูทตะวันตกเห็นว่าเย่เฟิงยืนขึ้นจนเกือบสูงเท่ากัน เขาจึงไม่ยอมโดนข่มขู่อยู่ฝ่ายเดียวและสวนกลับไปว่า “นี่น้อง พ่อแม่ไม่เคยสั่งสอนหรือไงว่าเวลาคนสองคนคุยกัน ก็ไม่ควรจะเข้ามาสอด”

ในขณะเดียวกันเขาก็จัดเนคไทที่ใส่อยู่ด้วยท่าทางที่หยิ่งยโส

ในระหว่างที่ชายหนุ่มจัดเนคไทอยู่เขาก็คิดที่จะด่าเด็กหนุ่มตรงหน้าเขา และทำให้มันอับอายขายขี้หน้าจนเกินกว่าจะรับไหว แต่เย่เฟิงไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะมาพูดเรื่องไร้สาระกับมัน!

ทันใดนั้น เย่เฟิงก็รู้สึกโมโหอย่างหนัก

การที่อีกฝ่ายยกเอาครอบครัวของเขามาพูด ทำให้อารมณ์ของเย่เฟิงแปรปรวนอย่างมาก ยิ่งเมื่อพูดถึงแม่ของเขา ที่เขายังไม่มีโอกาสได้เจอเลยด้วยซ้ำ เย่เฟิงโกรธมาก เขาต่อยใส่ชายคนนั้นจนกระเด็นออกไปไกลหลายเมตร

แน่นอนว่าเย่เฟิงไม่ได้ใช้แรงทั้งหมด ไม่เช่นนั้น ร่างของชายคนนั้นอาจจะแหลกเป็นผุยผงไปแล้วก็ได้

“ไอเด็กน้อย นี่แกกล้าต่อยฉันหรอ ลุงของฉันทำงานกับแก๊งอสรพิษสวรรค์เชียวนะโว้ย…..”

ชายหนุ่มคนนั้นพยายามจะลุกขึ้นละชี้ไปยังเย่เฟิง

“แก๊งอสรพิษสวรรค์?? อ่อ ก็ดีนี่”

เย่เฟิงเมินอีกฝ่ายและกลับไปนั่งข้างๆซูหมิงหานเหมือนเดิม

เมื่อผู้คนต่างได้ยินชื่อของแก๊งอสรพิษสวรรค์ต่างก็ตกใจและหวาดกลัว พวกเขามองไปที่เย่เฟิงและคิดว่าเด็กคนนี้จะต้องเจอดีแน่ๆ

เมื่อซูเหมิงหานได้ยินชื่อแก๊งดังกล่าว เธออดรู้สึกขำขันในใจไม่ได้ แน่นอนว่าเด็กสาวเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ว่าไม่มีใครในแก๊งอสรพิษสวรรค์กล้าทำอะไรกับเย่เฟิง เธอไม่อยากเชื่อเลยว่าพวกเธอต้องเจอกับสมาชิกของแก๊งๆนี้ไปเสียทุกที่

แต่เมื่อเด็กสาวเห็นว่าเย่เฟิงไม่คิดจะอธิบายอะไร และส่งชายคนนั้นให้ปลิวไป เธอจึงรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย “นายนี่เป็นพวกหัวรุนแรงหรือไงนะ? เรื่องแค่นี้พูดเอาก็รู้เรื่องแล้วนี่?”

“กับไอ้เวรนี่ ยังมีอะไรที่จะต้องพูดกับมันอีก?”

เย่เฟิงไม่เห็นด้วยกับความคิดของเด็กสาว ในเมื่อหมัดของเขาสามารถใช้แก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว และจะต้องมานั่งคุยเรื่องไร้สาระกับคนพวกนี้อีกทำไม

“นายนี่มัน….ชิ..”

ต่อให้เธอพยายามพูดอะไรต่อ มันก็ไม่มีกับเขา เด็กสาวจึงทำได้แค่หันหน้าหนีไปทางอื่นอย่างอารมณ์เสีย

“เกิดอะไรขึ้นที่นี่?”

มีพนักงานสองคนเดินเข้ามาในขบวนผู้โดยสาร และเมื่อเห็นใบหน้าที่ดูย่ำแย่ของชายหนุ่มคนนั้น พนักงานจึงก้าวเท้าออกมา และถามขึ้นเสียงดัง

ชายหนุ่มคนนั้นไม่รอช้าที่จะชี้นิ้วไปยังเย่เฟิง “เขาคนนั้นน่ะครับ เมื่อกี้เขาได้ล่วงละเมิดทางเพศผู้หญิงคนนั้นไป ในขณะที่ผมกำลังจะไปหยุดเขา เขาก็เข้ามาต่อยผม”

พนังงานรถไฟทั้งคู่มองไปยังเย่เฟิง พวกพูดคุยกันเล็กน้อยและให้พนักงานหญิงคนหนึ่งพยุงชายหนุ่มในชุดสูทคนนั้นไปยังโบกี้อื่น

จากนั้นพนังงานทั้งคู่จึงเดินเข้ามาหาเย่เฟิง

“เธอได้ไปต่อยใส่เขาหรือเปล่า?”

พนักงานรถไฟร่างอ้วนถามเย่เฟิงขณะที่จ้องมองมา เขามองไปเห็นซูเหมิงหานที่มีอยู่ใกล้ๆแล้วรู้สึกตะลึงในความงดงามของเธอ สายตาของชายร่างอ้วนไม่อาจละไปจากเด็กสาวได้เลย

“ใช่ เขานั่นล่ะ พวกเราเห็น..”

ป้าคนหนึ่งยืนขึ้น และเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ฟังทันที เธอไม่สามารถทนดูเด็กหนุ่มคนนี้เฉยๆได้อีกต่อไป

“เขาต่อยใส่ผู้ชายคนเมื่อกี้ และก่อนหน้านั้น เขาก็ได้ลวนลามเด็กสาวที่อยู่ข้างๆด้วย พวกเราต่างก็ได้ยินเธอร้องขึ้นมาว่า “สัตว์ร้าย!”

ในขณะเดียวกัน ก็มีลุงคนหนึ่งที่รู้สึกอิจฉาเย่เฟิง ยืนขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนคนที่รักในความยุติธรรม

เมื่อพนังงานรถไฟร่างอ้วนได้ยินดังนั้นก็เชื่อโดยทันที เขาหันหน้าไปทางเย่เฟิงและพูดว่า “มากับฉัน รถไฟกำลังจะถึงเมืองเหยียนจิงแล้ว ฉันคงต้องขอให้เธอไปสถานีตำรวจกับฉันหน่อยล่ะ”

หลังจากลงรถไฟ ชายร่างอ้วนคิดว่าต้องพาหมอนี่ไปส่งตำรวจให้ได้

เย่เฟิงคิดจะโทรหาหลินหงชวนเมื่อถึงสถานีตำรวจ เพราะเขาอยากจะรู้เหมือนกันว่าตระกูลหลินจะมีอิทธิพลสักแค่ไหน เขาจึงตัดสินใจจะเดินออกไปกับพนังงานรถไฟ

“เดี๋ยวก่อนสิ!”

ซูเหมิงหานรีบยืนขึ้นและจับตัวของเย่เฟิงไว้ จากนั้นจึงพูดว่า

“พวกคุณยังไม่ทันถามอะไรฉันเลยไม่ใช่หรือไง? แล้วอยู่ๆจะพาตัวเขาไปเนี่ยนะ!?”

ในตอนนี้ เด็กสาวยืนอยู่ข้างเย่เฟิง ถ้าไม่นับเรื่องชายในชุดสูทที่น่าขยะแขยงคนนั้นแล้ว ที่เธอตะโกนออกมาว่า “สัตว์ร้าย” ก็เป็นเพียงแค่ความเข้าใจผิดเท่านั้น ถ้าเย่เฟิงถูกนำตัวไป จะให้เธอทนอยู่เฉยๆได้อย่างไร

………….

แปลโดยทีมงาน GSI

Solar Spark : น้องซูเหมิงหานฝากมาบอกว่าด่าหนูได้แต่อย่าแรงนะคะ อิอิ