บทที่ 36: ปราสาทจอมมาร (3)

 

 

ฮยอนวูกลืนน้ำลายขณะที่มองไปมาระหว่างฮันซูที่อยู่ข้างกายเขากับประตูยักษ์ที่สร้างขึ้นจากกระดูกที่อยู่ห่างออกไป

“ฮันซู อย่างน้อยนายคงรู้สึกดี เพราะนายได้หลุดออกจากช่วงเวลาวิกฤตในเรื่องที่นายมีผลึกได้แล้ว”

ฮันซูหัวเราะใส่ฮยอนวูที่มองมายังเขาด้วยความอิจฉา

“อย่ากังวล ฉันไม่ไปหรอก”

“งั้นเหรอ? เอาเถอะ พูดตามเหตุผลแล้ว นายอาจจะอยู่ที่นี่เพราะนายมีบางอย่างที่ต้องการ”

ฮันซูหัวเราะขณะที่เขามองไปยังฮยอนวูที่กำลังพึมพำอยู่ ‘เพราะนายคงขึ้นไปแล้วถ้าไม่ใช่แบบนั้น’

‘อืม คำพูดนั้นถูกต้อง’

มันดีกว่าสำหรับเขาในการขึ้นไปแทนที่จะอยู่ที่นี่ เมื่อเขาไม่ใช่ลอร์ดที่ต้องช่วยเหลือทุกคนตามเหตุผล

เมื่อประสิทธิภาพจากการล่าที่นี่ค่อนข้างต่ำ

มีเพียงการฆ่าปีศาจจึงจะดรอปรูน ทว่าจำนวนของพวกมันนั้นไม่อาจสร้างความพึงพอใจได้เมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งของพวกมันแล้ว

บางคนที่ได้ทำตามข้อกำหนดของเกาะอื่นๆ เรียบร้อยอย่างค่อนข้างรวดเร็วแล้วอาจวิ่งวุ่นไปรอบๆ สถานที่ที่น่าสนใจที่เกาะข้างบน <หอคอย>  แล้ว เมื่อมันได้แสดงอยู่บนแผนที่ของเกาะ

ทว่าชายหนุ่มไม่ได้มาเพื่อสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่ต้น

‘ผลึกหยกมาร’

หากเขาไม่ได้รับ ‘ผลึกหยกมาร’ จากจุดสิ้นสุดของปราสาทจอมมาร เช่นนั้นมันก็ไร้ความหมายแม้ว่าเขาจะไปได้ถึงจุดสิ้นสุดของดันเจี้ยนสุดท้าย

เขาอาจไม่กระทั่งรับรู้ถึงสิ่งนี้หากไม่มีแอรีส

แอรีสไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะสามารถใช้มันได้อย่างเหมาะสม ทว่าเขาสามารถดึงความสามารถทั้งหมดของผลึกหยกมารออกมาได้

เขาได้มาที่นี่เพื่อผลึกหยกมาร คำพิพากษาและความยุติธรรมแห่งดีคราดอสเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของกระบวนการเท่านั้น

‘เก็บได้ราวๆ 21 ผลึกแล้ว’

นอกจากนั้น หากเขาสามารถล่าได้อย่างง่ายดาย เช่นนั้นเขาอาจสามารถครอบครองความยุติธรรมแห่งดีคราดอสได้เช่นเดียวกัน

“มันดูเหมือนว่าพวกลอร์ดจะไม่ชอบนายมาก มันเป็นเพราะนายแข็งแกร่งเหรอ?”

มันไม่มีเหตุผลให้เขาเกลียดอีกฝ่ายในสายตาของฮยอนวู

อีกฝ่ายช่วยเหลือคนอื่นเป็นอย่างดี และทำงานในส่วนของตนเองอย่างขยัน ทั้งยังให้ความรู้สึกปลอดภัยเพราะอีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก

มันมีกฎง่ายๆ และหมอนั่นทำตามมันอย่างขยันขันแข็ง

เหตุผลที่ทำให้พวกที่ไม่มีกิลด์ติดตามหมอนั่นไปตั้งแต่ต้นก็เพราะเช่นนี้

แม้ว่าพวกเขาจะแยกออกไปทั้งหมดแล้วในตอนนี้ก็ตาม

ฮันซูหัวเราะพร้อมกับเอ่ยขึ้น

“เอาเถอะ มันก็แบบนั้น แต่… ก็อย่างที่นายพูด พวกนั้นก็แค่ไม่ชอบฉัน”

ถนนนั้นยาวไกล และพวกเขาไม่รู้ว่าศัตรูจะปรากฏตัวขึ้นเมื่อใด

หากคิดอย่างมีเหตุผล เช่นนั้นพวกเขาก็ต้องรวมพลังกันเพื่อที่จะจัดการศัตรู

ทว่าพวกลอร์ดนั้นต่างออกไปเล็กน้อย

พูดตามประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ราชาไม่ได้ตัดศีรษะของแม่ทัพที่เก่งกาจเพราะพวกเขาเป็นศัตรู

เหล่าลอร์ดจะเกลียดผู้คนที่ไม่ทำตามพวกเขาตามสัญชาตญาณ

ลอร์ดแห่งกิลด์

ทันทีที่ลักษณะพิเศษ <ลอร์ด> ของพวกเขาตื่นขึ้น พวกเขาก็รับรู้ถึงมันได้ตามสัญชาตญาณ

ว่าคำพูดของพวกเขาจะกลายเป็นกฎ และกฎในพื้นที่ของพวกเขา

เขาไม่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง ทว่าจากคำพูดของแอรีส มันเป็นความรู้สึกที่เสพติดและยอดเยี่ยมเมื่อสถานที่ที่คุณอยู่คือยุคสมัยใหม่และจากนั้นก็ได้เข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่คนอื่นๆ ต้องเชื่อฟังคำของคุณ

และพวกเขาพยายามที่จะเพิ่มจำนวนคนในกิลด์ของพวกเขาก็เพราะเหตุนี้

เพื่อที่จะเพิ่มอำนาจภายใน รวมทั้งภายนอกของพวกเขาเพื่อที่จะใช้กฎที่พวกเขาสร้างขึ้น

เหตุผลที่เหล่าลอร์ดเพิ่มพลังของพวกเขาไม่ใช่เพียงเพื่อมีชีวิตรอด

ทว่าผู้ใดกันที่จะชื่นชอบยามที่มีผู้อื่นมาและบอกให้พวกเขาทำตามกฎอื่น

มันเป็นปัญหาที่แตกต่างจากว่ากฎของพวกเขาถูกหรือผิด เขา ที่เป็น <ผู้ควบคุม> ไม่อาจมีความสัมพันธ์อันดีต่อเหล่าลอร์ดได้ตั้งแต่ต้น

‘เอาเถอะ พวกเขาอาจที่จะไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล’

เหล่าลอร์ดที่ได้มีชีวิตอยู่มานับสิบปีได้หมดความอดทนขึ้นเรื่อยๆ เพราะพวกนั้นไม่อาจฆ่าตัวเขาได้

ความจริงที่ว่าคนผู้หนึ่งที่เพิ่งกลายเป็นลอร์ดได้อยู่รอบๆ ตัวเขาและได้อดกลั้นตนเองได้กระทั่งน่าประหลาดใจเสียยิ่งกว่า

เมื่อเหตุผลและอารมณ์นั้นได้แตกต่างกันตั้งแต่ต้น

และเมื่อใครบางคนตั้งใจทำบางอย่าง พวกเขาจะสร้างเหตุผลยางอย่างขึ้นเพื่อมันในสมองของพวกเขา

‘พวกเขายังคงต้องเติบโตอีกมาก’

ความสามารถใหม่

และโลกใบใหม่ที่พวกเขาสามารถใช้มันได้อย่างอิสระ

มันชัดเจนว่าพวกเขาต้องการที่จะเหวี่ยงดาบเล่มใหม่ที่น่ามหัศจรรย์ของพวกเขาออกไป

และการโมโหก็เป็นเรื่องปกติเมื่อพวกเขาพบกับคนที่ดาบของพวกเขา ที่มักจะทำงานได้ดี ไม่อาจส่งผลใดๆ ได้

ทว่าพวกเขาจำเป็นต้องเห็นและได้ยินมากขึ้นกว่านี้

และพวกเขาต้องรับรู้ได้ว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้น

และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องหลบหนีออกจากพื้นที่ฝึกซ้อมเพื่อที่จะมีชีวิตรอด

ความสามารถที่สำคัญที่สุดของลอร์ดไม่ใช่การเอาชนะเหนือลอร์ดคนอื่น

การเอาชนะตนเองและรู้วิธีการที่จะทำงานร่วมกับลอร์ดคนอื่นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

กระทั่งกวานกุนจูและลอร์ดแห่งเทวทูตทมิฬยังไม่ใช่พวกเอาแต่ตนเองเป็นหลัก

‘เอาเถอะ มันยังเร็วเกินไปหน่อยสำหรับพวกเขาที่จะรับรู้ถึงมัน อย่างไรก็ตาม ฉันก็ควรที่จะพยายามให้มากขึ้นอีกหน่อย’

เขาจะได้อะไรจากการแสดงความแข็งแกร่งของเขาต่อลอร์ดเด็กน้อยเหล่านี้ในพื้นที่ฝึกซ้อม

ผู้คนที่นี่คือผู้ที่มาจากการมีชีวิตอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง และอยู่ที่นี่เพียงแค่ราวๆ 1 เดือน

พวกนั้นอาจมองมายังเขาด้วยสายตาเหลือเชื่อ ทว่าหากฮันซูไม่อาจทำได้อย่างน้อยเท่านี้ เช่นนั้นคงเป็นคังเต้ที่มาแทน

ศัตรูที่แท้จริงของเขาคือผู้คนที่อยู่ที่นี่มาสองสามปี หรือกระทั่ง 20 ปีพร้อมกับทะลวงผ่านประสบการณ์ยากลำบากจำนวนมาก

ผู้คนที่ได้ทะลวงผ่านการฝึกซ้อมเช่นนี้มามากกว่าสิบปีก่อนและได้เร่ร่อนไปทั่วอีกโลกเป็นเวลานาน

เป้าหมายของเขาไม่ได้อยู่เบื้องหน้าผู้อื่นเพียง 1 หรือ 2 ปี

เขาต้องไล่ตามช่องว่าง 20 ปีระหว่างเขากับพวกนั้น

ฮันซูผ่อนคลายร่างกายที่ขมวดเกร็งของเขาลงขณะที่เขาเข้าใกล้ประตูแรก ประตูแห่งกระดูก

‘เวลาที่จะต้องใช้เพื่อที่จะกลืนกินคนที่เหลือคือราวๆ 3 วัน… ดูเหมือนว่ามันจะต้องใช้เวลาอีกสักพัก’

พวกที่ไม่มีกิลด์ไม่อาจติดตามเขาไปได้

พวกเขาจะได้รับความเสียหายมากกว่าปกติเมื่อสภาพแวดล้อมจะโหดร้ายกว่าหากพวกเขาไม่มีคำสั่งจากลอร์ด

และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาได้แนะนำให้เหล่าลอร์ดกลืนกินพวกนั้นเขาไปก่อนหน้า

เมื่อมันดูเหมือนว่าคนส่วนมากได้ถูกดูดกลืนเข้าไปในกิลด์แล้ว ทุกสิ่งจึงจะสามารถกระทำได้

‘ไหนดูตรงนี้หน่อย’

พวกนั้นคงจะมีภาพบางอย่างขึ้นเมื่อพวกนั้นเห็นว่าเขาต่อกรกับผู้เฝ้าประตูอย่างไร

ฮันซูแย้มยิ้มให้ฮยอนวูและเดินไปเบื้องหน้าอย่างช้าๆ

กั๊กแตขมวดคิ้วขณะที่มองไปยังประตูยักษ์เบื้องหน้าเขา

ประตูยักษ์ที่ดูเหมือนว่าจะสร้างขึ้นจากกระดูกนับแสนนับล้าน

ทุกคนสามารถเห็นมันได้จากประตูที่ทำให้นึกถึงประตูชัย กลิ่นอายน่าหวาดผวาได้แพร่กระจายออกจากมัน

‘ไหนดูสิ… คนที่เหลือคือ 1,200 คน’

คน 100 คนตายไปในเวลา 3 วัน

จากมุมมองหนึ่ง มันเป็นเพียงความสูญเสียเล็กน้อย

มันเป็นผลลัพธ์ที่มาจากฮันซูและกองกำลังพิเศษในการแข่งขันกำจัดปีศาจกัน

หากทั้งคู่ไม่ได้จัดการแบบนั้น เช่นนั้นความเสียหายก็คงจะพุ่งทะยานมากกว่านี้

‘เอาเถอะ เมื่อเราเกือบจะดูดกลืนพวกนั้นเข้ามาหมดแล้ว’

ผู้คนที่เห็นว่าฮันซูไม่ได้ใส่ใจที่จะช่วยรักษาความปลอดภัยให้พวกเขาและเพ่งความสนใจไปในการล่าปีศาจล้วนแล้วแต่เข้าร่วมกิลด์

พวกเขาตระหนักแล้ว

ว่าแม้ฮันซูจะสามารถล่าปีศาจทั้งหมดได้ด้วยตัวคนเดียว แต่หมอนั่นไม่อาจป้องกันพวกเขาจากการโจมตีของนักเวทจำนวนนับไม่ถ้วนได้

หากพวกเขาไม่เข้าร่วมกิลด์ เช่นนั้นกองกำลังพิเศษก็จะไม่ปกป้องพวกเขา และพวกเขาจะเปิดกว้างต่อการโจมตีของเหล่านักเวท

แม้ว่าผู้คนที่มีชีวิตรอดจากการล่าปีศาจของฮันซูจะมีนับร้อย การปลอดภัยกว่าเดิมก็นับเป้นตัวเลือกที่ดีกว่า

ในขณะที่กั๊กแตแสดงสีหน้าพึงพอใจ สิ่งมีชีวิตที่คุ้นเคยก็ได้ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าประตูยักษ์

“สวัสดีทุกคน ยินดีต้อนรับเข้าสู่ประตูแรกจากสามประตู ประตูแห่งกระดูก”

<ประตูแห่งกระดูก>

มันไม่มีชื่อไหนที่จะเหมาะสมไปกว่านี้แล้ว

แฟรี่ที่เห็นสีหน้าของผู้คนผงกศีรษะ

“มันง่ายมาก พวกคุณเห็นประตูยักษ์ตรงนั้นไหม? พวกคุณก็แค่ต้องผ่านมันไป”

“… มันปิดอยู่”

ประตูยักษืที่แฟรี่ได้ชี้ไปนั้นปิดสนิท

ทว่าการปีนข้ามกำแพงที่สูงนับสิบเมตรข้างๆ มันก็ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้

ไม่สิ หากพวกเขาสามารถปีนมันได้ เช่นนั้นแล้วทำไมจึงมีประตูอยู่กัน

‘เราไม่แม้แต่จะรู้ว่าแฟรี่อาจจะฆ่าพวกเราเพื่อเป็นตัวอย่างในระหว่างการปีนขึ้นไปด้วยซ้ำ’

ชีวิตของพวกเขานั้นล้ำค่าเกินกว่าที่จะทดสอบการปีนกำแพงเมื่อพวกเขาสามารถทำได้เพียงพูด

แฟรี่หัวเราะขณะที่มันเอ่ยพูด

“ฮี่ฮี่ พวกคุณต้องจ่ายค่าผ่านทาง”

ทุกคนแสดงสีหน้าขมขื่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“เราต้องจ่ายด้วยอะไร?”

สิ่งมีชีวิตตัวเล็กยักไหล่ขณะที่มันเอ่ยพูด

“จะอะไรล่ะ ผลึกของพวกคุณไง ผลึก แค่จ่าย 30 ผลึก ก็จะสามารถผ่านไปได้ฟรีๆ”

“…”

คำสบถแทบจะหลุดออกจากริมฝีปากของพวกเขา

จำนวนรวมที่พวกเขาล่าในเวลาสามวันที่ผ่านมาคือ 50 และมีดรอปมาเพียงแค่ราวๆ 30 ผลึก

การที่ต้องจ่าย 30 ผลึกเพื่อที่จะเปิดประตู นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องยื่นชีวิตของพวกเขาออกไปด้วย

เหตุผลที่พวกเขาสามารถที่จะวางแผนต่างๆ ขณะที่พยายามอย่างหนักเป็นเพราะพวกเขามีแผนสำรองที่มาจากผลึก

<หอคอย> ที่อยู่เหนือขึ้นไปจากเกาะกลางได้ปรากฏอยู่บนแผนที่เกาะ และได้ถูกบอกว่ากระทั่งมีโอกาสมากมายกว่าที่นี่

เหตุผลที่เกาะนี้ถูกตั้งชื่อว่าเกาะกลางนั้นเป็นเพราะมันเป็นเกาะที่อยู่เบื้องล่างหอคอยโดยตรง

และพวกเขาที่ได้รับสิ่งต่างๆ จำนวนมากจากเกาะกลาง ยังคงสามารถมองหาโอกาสได้แม้ว่าพวกเขาจะสูญเสียไปอย่างหนักหน่วง

ทว่าหากพวกเขาสูญเสียผลึกไป พวกเขาก็ต้องยอมแพ้โอกาสทั้งหมดนั่น

และแฟรี่ได้บอกพวกเขาอย่างชัดเจน

ว่ามันมีประตูทั้งหมด 3 ประตู

ซึ่งหมายความว่ามันมีโอกาสที่พวกเขาจะถูกปล้นอีกสองครั้งแบบนี้นับจากตอนนี้

กั๊กแตพยายามคงสีหน้าของเขาไว้อย่างกล้ำกลืน

“มีทางที่จะผ่านไปโดยไม่ต้องจ่ายไหม?”

แฟรี่ผงกศีรษะเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“ง่ายๆ พวกคุณต้องฆ่าผู้เฝ้าประตู”

“… ผู้เฝ้าประตู”

“ใช่ ผู้เฝ้าประตู”

ทันทีที่สิ้นคำ แรงสั่นสะเทือนที่น่าหวาดผวาก็ปรากฏขึ้นจากพื้นดิน จุดกำเนิดของแรงสั่นสะเทือนนั้นมาจากประตูเบื้องหน้าพวกเขา

ครืนนนน ครืนนน

แกร่ก แกร่ก

กระดูกนับแสนนับล้านที่ถูกสร้างขึ้นเป็นประตูได้เปลี่ยนแปลงประกอบกันเป็นบางอย่างที่มีขนาดใหญ่โต

“… หมาป่า?”

ใครบางคนเอ่ยขึ้นด้วยความหวดากลัวเมื่อพวกเขามองเห็นหมาป่ายักษ์ที่ยาวกว่า 50 เมตรจากหัวถึงหาง

กรรรรร

แม้ว่ามันจะถูกสร้างขึ้นจากกระดูก มันก็ยังคงมีเปลวเพลิงสีน้ำเงินในเบ้าตาของมัน

และมันปรากฏขึ้นสูงกว่าพวกเขานับ 30 เมตร

มันเป็นเพียง 30 เมตรบนกระดาษ ทว่ามันให้ความรู้สึกราวกับตึกสูงที่ได้ยืนขึ้นและคำรามใส่พวกเขา

มันไม่แม้แต่จะกรีดร้องเสียงแหลมเช่นโครงกระดูกอ่อนแอ

เมื่อจำนวนกระดูกที่ปรากฏขึ้นบนร่างของมันนั้นมากเกินกว่าที่จะเป็นเช่นนั้น

ผู้คนแสดงสีหน้าหวาดกลัวขึ้นขณะที่พวกเขามองไปยังหมาป่าสีดำที่สร้างขึ้นจากโครงกระดูกที่ค่อยๆ ถูกย้อมเป็นสีดำ

แฟรี่หัวเราะขณะที่มันมองไปยังผู้คนเหล่านี้

“นี่ไง มันไม่มีดวงจันทร์ใช่ไหม? หากพวกคุณจะไม่จ่าย ก็แค่ต้องเดินลอดมันไป”

กรรรรร

เหล่ามนุษย์กลืนน้ำลายขณะที่ดวงตาของพวกเขาจับจ้องไปยังหมาป่าขนาดยักษ์

“… ถ้าจะจ่าย 30 ผลึกล่ะ?”

“ใช่ ถ้าเราจะ…”

30 ผลึก

จำนวนที่จะสามารถได้รับจากการที่พวกเขาฆ่าปีศาจ 30 ตัว

มันก็ดูจะแข็งแกร่งเหมือนปีศาจ 30 ตัวจริงๆ

และนั่นคือปัญหา

พวกเขาได้ล่าปีศาจทั้งหมด 50 ตัวโดยการฆ่ามัน 8-9 ตัวต่อครั้ง ทว่าการที่พวกมันทั้ง 30 ตนพุ่งเข้ามาหาพวกเขานั้นมันอยู่ในคนล่ะมิติกัน

เหล่าลอร์ดแสดงสีหน้าขมขื่นขณะที่พวกเขามองหน้ากัน

มันไม่มีผลึกอยู่ในมือของพวกที่ไม่มีกิลด์ที่เหลืออยู่

ซึ่งหมายความว่าพวกเขาต้องจ่ายผลึก 30 ผลึก

ไม่สิ มีอีกคนหนึ่ง

หมอนั่นไม่มีมากแบบพวกเขา ทว่าเป็นคนที่ครอบครองผลึกไว้จำนวนมาก

เหล่าลอร์ดมองไปยังฮันซูขณะที่เอ่ยพูด

“จ่ายผลึกด้วยกันเถอะ”

สิ่งนั้นมันเลวร้ายเกินไปไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม

ฮันซูส่ายศีรษะ

“เราต้องสู้กับมัน”

“…อะไรนะ?”

สีหน้าของทุกคนแข็งค้าง

‘เวรเอ้ย… หมอนั่นจะหมายความว่ามันไม่คุ้มงั้นเหรอ’

กั๊กแตขมวดคิ้วอยู่ในใจ

ทว่ามันมีเหตุผลที่จะบอกว่ามันไม่คุ้ม

พวกเขามี 1,200 คน

ในทางกลับกัน หมอนั่นอยู่ตัวคนเดียว

มันเป็นไปได้ที่หมอนั่นจะรู้สึกผิดพลาดหากต้องมีส่วนร่วมใน 30 ผลึกนั่น

แต่พวกเขาไม่อาจกระทำการใดๆ โดยประมาทได้

สถานการณ์จะซับซ้อนอย่างมากหาหมอนั่นตัดสินใจที่จะขึ้นไปเมื่อพวกเขาพยายามบีบบังคับด้วยกำลัง

“เราไม่ได้บอกให้นายจ่ายทั้งหมด 30 ผลึก แค่ส่วนหนึ่ง…”

ฮันซูครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ภายในขณะที่ฟังคำพูดเหล่านั้น

‘แอรีส ฉันคิดว่าเธอยอดเยี่ยมสุดๆ จริงๆ’

แอรีสได้ช่วยเหลือคน 600 คนจาก 1,000 คนและขึ้นไป

น่าประหลาดใจที่หญิงสาวสามารถรักษาจำนวนคนตายให้ต่ำกว่า 30 คนก่อนที่พวกเธอจะไปถึงประตูแห่งกระดูกได้

คนพันคนของแอรีสมีจำนวนต่ำกว่าเล็กน้อย ทว่าแข็งแกร่งกว่าคนพวกนี้มาก

เหมือนกับการที่เหล็กจะแข็งขึ้นเมื่อคุณตีมัน ผู้คนที่ได้แข็งแกร่งขึ้นจาก 20 วันในการต่อสู้โดยไม่มีการหยุดพัก

พวกเขาร่วมมือกันได้ดี และต่อสู้กับเหล่าปีศาจอย่างต่อเนื่อง ทั้งฟื้นฟูพลังของพวกเขาจากผลึกอย่างต่อเนื่อง

มีเพียงการกระทำเดียวที่แอรีสเสียใจในเกาะกลาง

<ฉันไม่ควรจ่ายผลึกเพื่อที่จะผ่านมันไป>

แอรีสกลัวว่าผู้คนจะตายลงขณะที่ต่อสู้กับสิ่งใหญ่โตนั่น ดังนั้นแล้วหญิงสาวจึงจ่ายผลึกที่เธอได้ครอบครองเพื่อผ่านมันไป

และเพราะแบบนั้น เธอจึงต้องจ่ายผลึกเพื่อที่จะผ่านประตูถัดไปด้วย

เมื่อเธอได้ให้ผลึกไปแล้วครั้งหนึ่งและไม่อาจฟื้นฟูพลังต่อสู้ของพวกเธอได้ด้วยผลึกเหล่านั้น

และเป็นเช่นเดียวกันกับประตูถัดไป

และหลังจากที่เธอไปถึงผลึกใหญ่ในปราสาทจอมมารทั้งแบบนั้น เธอก็ได้สูญเสียคนไป 400 คนจาก 1,000 คนระหว่างการต่อสู้สุดท้าย

ไม่สิ มันจบลงด้วย 400 เพราะโชค

หากพวกเขาผ่านพ้นบางอย่างไปอย่างง่ายดายครั้งหนึ่งในโลกใบนี้ เช่นนั้นมันก็จะกลับมาด้วยความสนใจ และแอรีสได้รับรู้มันผ่านความเจ็บปวดในกระดูกดำของเธอ

‘ดูเหมือนว่าฉันคงต้องอธิบายเพิ่มสักหน่อย’

ฮันซูพึมพำอยู่ในใจขณะที่เขามองสีหน้าแข็งค้างของทุกคน

 


TL: ปู่นี่ปู่จีจี