บทที่ 24: ถนนท้องฟ้า (3)

 

 

 

ทันทีที่ทุกคนขึ้นไปบนเกาะ สะพานก็ได้พังทลายลง

เมื่อเหล่าผู้คนได้เห็นสะพานที่ร่วงหล่นลงไปด้วยระยะเวลาที่ราวกับนิจนิรันด์นั้นต่างก็แสดงสีหน้าหวาดผวาออกมา

หากพวกเขาปีนขึ้นไปไม่เร็วพอ เช่นนั้นพวกเขาก็จะร่วงหล่นไปพร้อมกับเกาะนี้

“เอาล่ะ การอธิบายก็เสร็จสิ้นไปแล้ว เพราะงั้นก็ตัดสินใจถึงสิ่งที่จะทำต่อจาก…”

เมื่อมันดูเหมือนว่าทุกคนได้มาจากพื้นที่ฝึกซ้อมที่แตกต่างกันและล้วนเป็นคนแปลกแน่ ฮันชอลจึงเริ่มเอ่ยพูดขึ้น

ทว่าก่อนที่เขาจะกล่าวจบ ใครบางคนก็ได้เริ่มเคลื่อนไหว

‘… เข็ม?’

ชายที่ถือเข็มได้เริ่มเดินตรงไปยังป่าที่ดูน่าสงสัยโดยไร้ซึ่งท่าทีลังเลใจ

ฮันชอลตะโกนขึ้นขณะที่เขามองไปยังฮันซู

“เฮ้นายตรงนั้นน่ะ? นายรู้เหรอว่าจะไปที่ไหน?”

ฮันซูยักไหล่

“มันเป็นทางตรง ดังนั้นนายก็แค่ต้องเดินไปตรงๆ มีอะไรต้องคิดล่ะ”

คนอื่นที่ได้ยินเช่นนั้นมีสีหน้าจนใจ

แน่นอนว่ามันมีทางที่ผ่าไปยังใจกลางของป่าอยู่จริงๆ

เป็นทางที่ดูน่าสงสัยและอันตรายสุดๆ ราวกับว่าอาจมีบางสิ่งปรากฏตัวออกมาได้ทุกเมื่อ

‘ไอ้หมอนี่มันอะไรกัน’

แต่เขาก็ไม่ได้ดูเหมือนคนอ่อนแอ

ตราบเท่าที่หมอนั่นไม่ใช่คนที่จะดำเนินชีวิตด้วยการโยนเหรียญ การกระทำแบบนั้นย่อมหมายความว่าอีกฝ่ายมีความมั่นใจ

ในตอนนั้นเอง เสียงสั่นสะเทือนได้ดังขึ้นพร้อมกับที่ชายขอบของเกาะเริ่มที่จะพังลง

เป็นจุดที่สะพานได้เชื่อมต่อกับเกาะอย่างพอดิบพอดี

“… ฉิบหายเอ้ย”

มันหมายความว่ามันจะไม่ยอมให้พวกเขาหยุดพักแม้แต่วินาทีเดียว

ผู้คนได้สบถคำสาปแช่งออกมาขณะที่พวกเขาติดตามฮันซูไป

อย่างไรมันก็เป็นทางตรง มันไม่มีทางอื่นใด

‘มันรู้สึกเหมือนเป็นลูกกระจ๊อกยังไงก็ไม่รู้’

ฮันชอลรู้สึกไม่สบายเท่าไหร่ ทว่าเขาก็ยังคงตัดสินใจที่จะทิ้งอีกฝ่ายไว้คนเดียวเพราะท่าทีหยาบคายนั้นค่อนข้างน่ารำคาญอยู่ไม่น้อย

‘ฉันรู้ว่าเมื่อฉันปลอกเปลือกของเขาออก เขาก็มีแค่เป็นไอ้จอมปลอมหรือมีดีอะไรสักอย่างเท่านั้น’

ฮันชอลพึมพำขณะไล่ตามชายหนุ่มไป

 

‘ไหนดูสิ ใช้ใจกลางภูเขาไฟดอร์แมนท์เป็นทิศหลัก… ห้องที่แปดด้านซ้ายของแม่น้ำลาวา ดังนั้นต้องเลี้ยวขวาสองครั้งและซ้ายหนึ่งครั้ง…’

<อสรพิษกลืนรูน> ที่เขาต้องครอบครองนั้นเป็น <อสรพิษรูน> กลายพันธุ์

และสถานที่ที่เขาต้องใช้เพื่อตามหาพวกมัน

<ป่าอสรพิษรูน>

โครงสร้างของเกาะขั้นบันไดแรกนั้นเหมือนกันทั้งหมด

ห้องขาวสิบห้องพร้อมด้วยภูเขาไฟดอร์แมนท์ที่ใจกลาง และทางแยกที่เชื่อมต่อกับที่ที่อยู่อาศัยของสัตว์อสูร 498 ชนิดและอื่นๆ

ดังนั้นแล้ว ตราบเท่าที่เขาเดินไปตามทางที่จดจำไว้ เขาจะสามารถหาป่านั่นพบได้

และทันทีที่ทางแยกของถนนปรากฏ ฮันซูก็เลี้ยวขวาไปอย่างลื่นไหล

‘เอาเถอะ ยังไงมันก็เหมือนกันไม่ว่าจะไปทางไหน’

อันตรายนั้นคล้ายคลึงกันไม่ว่าจะเลือกไปในทิศทางใด และในที่สุดทางก็จะหยุดลงที่ใจกลาง สถานที่ที่สามารถย้ายไปยังเกาะอื่นได้

หากเขาไม่ต้องไปตามหาที่อยู่ของอสรพิษรูน เข็สามารถที่จะเลือกทิศใดก็ได้

ฮันชอลที่เห็นเช่นนั้นเอ่ยถามอย่างงุนงง

“เดี๋ยว ก่อนหน้านี้นายบอกว่าแค่ตรงไปไม่ใช่เหรอ? หรือนายรู้อย่างอื่นอีก?”

ชายหนุ่มเอ่ยถามขณะที่มองไปยังฮันซูที่เดินหน้าออกไปอย่างสบายๆ

เขาได้ทดสอบก่อนหน้านี้ว่าเขาสามารถเดินออกนอกเส้นทางได้หรือไม่

แต่ผู้สร้างเกาะนี้ดูเหมือนจะต้องการให้พวกเขาเดินไปตามทางเท่านั้น ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงไม่อาจเดินออกไปด้านนอกทางได้

ซึ่งหมายความว่าพวกเขาต้องตรงไป

ซึ่งดูสมเหตุสมผลจนกระทั่งหมอนั่นตัดสินใจที่จะเลี้ยวขวาที่ทางแยกโดยไร้ซึ่งความลังเล

ฮันซูมองไปยังฮันชอลก่อนเอ่ยว่า

“ฉันมีพลังจิต”

“อะไรนะ?”

นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกัน?

ทุกคนที่ติดตามไปส่งเสียงคำรามออกมา

พวกเขาคิดว่าหมอนั่นนั้นมีสกิลนำทางอะไรบางอย่างเพราะอีกฝ่ายเดินด้วยความมั่นใจอย่างมาก

แต่พอคิดว่าอีกฝ่ายไม่มีแผนอะไรเลย

“นี่มันไร้สาระอะไรกัน? นายคิดอะไรอยู่?”

ฮันซูถอนหายใจขณะที่เขาเอ่ยพูด

“พวกนายก็แค่ต้องเดินไปตามทาง แล้วทำไมพวกนายถึงได้ทำตัวเหมือนขีปนาวุธติดตามล่ะ”

“…”

‘เวรเอ้ย เขาพูดถูก หลังจากได้ยินหมอนั่นพูดแบบนั้น’

เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้ติดตามคนแบบนั้น

มันเหมือนกับว่าผู้หญิงที่ชื่อจีมินและคนอื่นๆ ต่างก็ไม่อ่อนแอ แต่ทว่าพวกเขาต่างก็ติดตามผู้ชายคนนี้ไปโดยไม่พูดอะไร

‘ฉันรู้สึกเหมือนศักดิ์ศรีโดนทำลายกะทันหัน ฉันควรจะแย่งมันไหม?’

ฮันชอลส่ายศีรษะ

มันชัดเจนว่าหากมีคนคนหนึ่งเคลื่อนไหวอย่างมั่นใจ ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังลังเล ทุกคนก็จะต้องการตามคนมั่นใจคนนั้นไป

และยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเกาะเบื้องหลังของพวกเขาถูกทำลายลงเรื่อยๆ

‘แน่นอน เราจะไปอย่างที่นายบอก’

มันจะเหมือนกันไม่ว่าทางไหนที่พวกเขาไป

เมื่อแฟรี่โหดเหี้ยมนั่นจะไม่สร้างบางทางของเกาะให้มันง่ายกว่าทางอื่น

ฮันชอลตรวจสอบคนในกลุ่ม

‘อย่างแรก มีคนที่บอกว่าตัวเองมีพลังจิตกับผู้หญิงบ้าคนหนึ่ง’

ทุกคนดูธรรมดา แต่ว่ากลับมีใครบางคนโดดเด่นออกมา

คนแรก คนที่มีสกิลฮีล

จากท่าทางและการที่เขามีสกิลฮีลนั้น ดูเหมือนว่าค่าสถานะของเขาจะดี และดาบที่ส่องประกายอยู่ตรงเอวของเขานั้นก็ไม่ได้ดูธรรมดาเช่นกัน

เขาคงไม่เอาอะไรมาคาดไว้ที่เอวถ้าหากเขาจะไม่ใช่มัน

ถ้ามันเป็นเกม คนคนนี้ก็ให้ความรู้สึกเหมือนนักบวช ไม่สิ เหมือนพาลาดินมากกว่า

คนที่เหลือดูธรรมดา แต่กระทั่งมีคนที่พิเศษมากขึ้นไปอีก

คู่รักและลูกสาวสามคนที่ดูเหมือนจะอายุราวๆ 20 ปี

ฮันชอลพึมพำเมื่อเห็นเช่นนั้น

“หืม คนมาเกาะกลุ่มกันดี ถึงมันจะเป็นการสุ่ม…”

พวกเขาถูกแยกกันในพื้นที่แรกแบบสุ่ม

มันจะมีโอกาสไหนที่ทั้งครอบครัวจะได้อยู่ด้วยกัน

แต่ฮันซูรู้เหตุผล

‘เมื่อแบบนี้มันสนุกกว่า’

ไม่มีเหตุผลอื่น ก็แค่นั้น

พวกมันแยกความสัมพันธ์ที่สร้างขึ้นจากความเข้าใจ ทว่าทิ้งความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจากความรักเอาไว้

เมื่อการนำพวกเขามาเช่นนี้มันมีโอกาสที่จะสร้างสถานการณ์ที่น่าสนใจได้มากกว่า

‘เอาเถอะ ก็อย่างที่พวกมันต้องการนั่นแหละ’

ฮันซูที่หยุดคิดได้หยุดเดินลงเบื้องหน้าต้นไม้ที่ดูท่าทางแปลกประหลาดข้างถนน

ชายหนุ่มดึงมีดคูครีออกมาแทนที่เข็มที่คาดอยู่ข้างเอวของเขา ตัดเนื้อไม้ออกมาเล็กน้อยและเริ่มเคี้ยวมัน

“…นายกำลังทำอะไร?”

“ถ้านายเคี้ยวไอ้นี้ มันจะมีผลในการต้านพิษเล็กๆ”

“ทำไมนายต้องต้านพิษด้วยล่ะ?”

จากนั้นฮันซูก็ได้ดึงคอของฮันชอลมาเล็กน้อย

ฟุ่บ

“…”

เสี้ยววินาทีนั้น งูยาวสามเมตรก็ได้พุ่งออกจากต้นไม้และฉกไปยังจุดที่ชายหนุ่มเคยยืนอยู่

‘… นั่นมันอันตรายมาก’

ฮันชอลรู้สึกกังวลกับความเร็วที่สุดยอดนั้น

ฮันซูหัวเราะเมื่อเห็นเช่นนั้น

ไอ้ตัวเมื่อกี้เร็วขนาดนี้เพราะว่ามันมีรูปแบบคล่องแคล่ว ดังนั้นแล้วตราบเท่าที่ระมัดระวังการลอบโจมตี มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น

‘อสรพิษรูน’

สัตว์อสูรพิเศษที่ได้รับค่าสถานะพิเศษขึ้นอยู่กับรูปแบบบนผิวหนังของมัน

ส่วนที่น่ารำคาญคือรูปแบบนั้นเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ

แต่ถ้าหากบนร่างของพวกมันมีรูปแบบมานาปรากฏ ก็ต้องระวังเรื่องพิษของมันด้วย

เมื่อถูกกัดขณะที่มันมีรูนมานา คุณก็จะติดพิษที่จะลดมานาของคุณลงไปเรื่อยๆ

และในขณะที่มานาถูกลดลงนั้น พลังเวทย์รวมทั้งพลังชีวิตเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน

แน่นอนว่ามันไม่ได้ลดลงจนกระทั่งถึงตาย ผลของมันจะหายไปหลังจากผ่านไปสักระยะ แต่เมื่อเวลานั้นผ่านพ้นไป คนคนนั้นก็โทรมลงไม่น้อย

เปลือกของต้นโอ๊คที่ขึ้นอยู่นั้นค่อนข้างมีผลค้ลายยาแก้พิษเนื่องจากมันถูกถูกกับเกล็ดของพวกมัน แต่มันจะดีที่สุดถ้าหากไม่ถูกกัดเลย

ฮันซูเคี้ยวเปลือกโอ๊คขณะที่เอ่ย

“ระวังการถูกกัดขณะที่พวกมันมีรูนมานา และโจมตีเมื่อพวกมันไม่มีรูนคล่องแคล่ว พวกนายสามารถหลบรูนคล่องแคล่วได้ถ้าพวกนายระมัดระวังการลอบโจมตี แต่พวกมันก็ยังคงยากที่จะจับได้อยู่ดี”

“นายรู้เรื่องทั้งหมดนี่ได้…”

“พลังจิต”

“…”

ฮันซูที่เอ่ยจบได้ตรงเข้าไปในป่า ทุกคนต่างมองหน้ากันทว่าก็ยังคงติดตามชายหนุ่มเข้าไปในป่าที่เต็มไปด้วยงูพร้อมอาการขมวดคิ้วเมื่อพวกเขารู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนเบื้องหลังพวกเขา

 

ฟุ่บ

“ไอ้เวรเอ้ย!”

ฮันชอลกัดฟันกรอดเมื่องูที่ยังไม่ตายแม้จะโดนฟันด้วยดาบของเขาได้ฉกกัดเขา

มันไม่ได้แย่ขนาดนั้นเพราะมันไม่ได้มีรูนมานาบนตัว แต่เขายังพลาดที่จะฆ่ามันในครั้งเดียวเพราะมันมีรูนต่อต้านกายภาพ

‘เป็นสัตว์อสูรที่ยุ่งยากอะไรแบบนี้…’

พวกมันแข็งแกร่งเสียจนร่างของเขาเต็มไปด้วยรอยบาดแผลจากการถูกกัดโดยสิ่งมีชีวิตเหล่านี้แม้ว่าจะเข้ามาในพื้นที่นี้พักหนึ่งแล้ว

และการเปลี่ยนแปลงรูนบนร่างของพวกมันยังเป็นการสุ่ม

หากมันเปลี่ยนตามที่งูต้องการ พวกเขาก็คงเห็นท่าทางของพวกมันได้เป็นอย่างน้อย แต่มันเป็นเรื่องอันตรายอย่างมากเพราะการเปลี่ยนแปลงแบบสุ่มที่เกิดขึ้นแบบไม่เลือกเวลา

เขาคิดว่าเขาสามารถฆ่างูนี่ได้ในเสี้ยววินาทีเพราะมันมีรูนพลังกาย ทว่ามันได้เปลี่ยนไปเป็นรูนต่อต้านกายภาพในเสี้ยววินาที ต่อต้านการโจมตีของเขาและกัดเขา

เนื้อของเขาไม่ได้ถูกกระชากออกเพราะมันไม่ใช่รูนพลังกาย แต่หนามรอบกายของงูเหล่านี้ได้ทำให้เนื้อของเขาเป็นแผลเหวอะหวะ

‘เวรเอ้ย… มีเวลาฟื้นฟูไม่มากด้วย’

เมื่อเขามีรูนความอดทนอยู่บ้าง เขาจึงต้องการเวลาในการฟื้นฟู แต่เขากลับได้ยินเสียงเกาะเวรนี่แตกสลายอยู่เบื้องหลังเขา ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่สามารถพักผ่อนแบบสบายๆ เพื่อฟื้นฟูได้ก่อนที่จะเคลื่อนไหวต่อ

แต่ว่ามันมีปัญหาใหญ่กว่างู

“เวรเอ้ย! ทำไมพวกแกไม่สู้วะ!”

มีคนเพียงห้าคนจากเก้าคนที่สู้อยู่

สี่คนข้างหลังทำเพียงแค่อยู่เฉยๆ

เอาเถอะ พวกเขาก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ ขนาดนั้น

เมื่อชายที่ดูเหมือนจะเป้นหัวหน้าครอบครัวคนนั้นยืนอยู่ด้านหลังและจัดการงูที่พุ่งเข้าไปยังภรรยาและลูกสาวของเขา

ชายคนนั้นมีสีหน้าแข็งกระด้างขึ้นกับท่าทางโกรธเกรี้ยวของฮันชอล

“ฉันขอโทษ แต่เข้าใจด้วยเถอะ ฉันต้องปกป้องครอบครัวของฉัน”

‘เวรเอ้ย… ครอบครัวหมายถึงการผ่านไปได้ฟรีๆ รึไง?’

งั้นมันจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่สู้อยู่ข้างหน้า

มันเป็นทางที่มีความยากสำหรับคนเก้าคน

แต่เพราะว่าคนสี่คนไม่ทำอะไรเลยในขณะที่คนอื่นๆ กำลังดิ้นรน

หากผู้ชายที่ชื่อฮันซูคนนั้นไม่ได้ร่อนไปรอบๆ พวกเขา พวกเขาคงตายกันไปแล้ว

โอเค เขาสามารถเข้าใจชายผู้รักครอบครัวนั่นได้ แต่ทำไมผู้ชายที่มีสกิลรักษาคนนั้น ที่ถือดาบอยู่ ไม่สู้ด้วย?

“เฮ้! ทำไมนายไม่สู้ล่ะวะ!?”

เขาไม่เข้าใจ

ถ้าหมอนั่นมีสกิลฮีล ทำไมเขาถึงไม่สู้ให้มันรุนแรงกว่านี้

จากนั้นคังมินที่ถือดาบอยู่ก็ได้หัวเราะขึ้นพร้อมกับพูดว่า

“ฉันไม่คิดว่าฉันต้องสู้หรอกนะ ฉันแค่ฮีลพวกนายก็พอ”

“…”

ความโกรธของฮันชอลพุ่งทะทุเพดาน

‘ไอ้แยงกี้นี่ งั้นนายจะถือดาบไว้เพื่อ?’

ฮันชอลเริ่มทำใจให้สงบลง

มันไม่ใช่เวลาที่จะทะเลาะกัน

‘ใช่ แค่คิดว่าเขาเป็นผู้รักษา ผู้รักษา’

ไม่ใช่ว่ามีผู้รักษาอยู่ในเกมหรือ

แต่ฮันชอลจำต้องสบถสาปแช่งกับคำพูดที่ตามมาหลังจากนั้นของอีกฝ่าย

“อย่างไรก็ตาม เพื่อที่จะได้รับการฮีลจากฉัน นายก็จะเอารูนมาแลก ถ้าจะให้รักษาอาการบาดเจ็บทั้งตัวของนาย ฉันจะแลกเป็นรูนพลังกาย 3 รูน หรือรูนความคล่องแล้ว 1.5 รูน หรือรูนมานา 1 รูน”

“ไอ้แม่***นี่…”

ฮันชอลกัดฟันกรอด

มันเป็นสิ่งที่คนที่เล่นเป็นทีมควรจะพูดออกมาหรือไง

ซึ่งหมายความว่าหมอนั่นที่ไม่ได้สู้อยู่ด้านหน้าก็จะได้รับรูนเหมือนกัน

เขาไม่ได้สู้อยู่ด้านหน้าเพราะเขาต้องการ

มันไม่ใช่เรื่องปกติ จากการกระทำของเขา จำนวนรูนที่เขามีย่อมไม่น้อย

เขาอาจจะสู้ได้ดีด้วยซ้ำ

และมันอาจกระทั่งยากกว่าที่จะจัดการหมอนั่นขณะที่มันสู้ไปพร้อมกับฮีลตัวเอง

แต่ว่ากลับไม่ยอมสู้ทั้งๆ ที่มีพลังต่อสู้มากขนาดนั้น

‘ไม่ใช่ว่าไอ้เวรนี่ไม่สู้เพราะถ้าเป็นแบบนั้นพวกเราจะบาดเจ็บมากขึ้น?’

เมื่อตั้งใจว่าจะหารูนจากการฮีลแล้ว มันก็เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด

มันอาจดูเกินจริงไปหน่อย แต่มันก็มีโอกาสเป็นไปได้สูง

คังมินที่ได้ยินเสียงสบถนั้นกลับทำเพียงหัวเราะพร้อมเอ่ยว่า

“แต่นายไม่ควรสู้ให้มันขยันกว่านี้หน่อยเหรอ? ฉันคิดว่าฉันได้ยินเสียงเกาะที่แตกสลายอย่างช้าๆ จากด้านหลังนะ?”

“เวรเอ้ย…”

ฮันชอลกัดฟันแน่น

เขาได้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าหงุดหงิดสุดๆ แล้ว

การฟื้นฟูเป็นเรื่องจำเป็น

แต่เขาเองก็ได้รับบาดเจ็บแล้วแม้ว่าจะเพียงแค่ตอนเริ่มต้น

ถ้าเขาไม่รักษามัน พลังต่อสู้ของเขาก็จะลดลง และความเร็วที่เขาจะแข็งแกร่งขึ้นก็จะช้าลงเช่นกันเพราะความเร็วในการได้รับรูนลดลง

และหากนับรวมไปว่าสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งขึ้นจากออกมาเรื่อยๆ เช่นนั้นการรักษาก็เป็นเรื่องจำเป็นจริงๆ

ถ้าไอ้หมอนั่นถามหาราคาที่เกินไป เขาก็ควรแค่ฆ่าหมอนั่นทิ้งซะ

มันคงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากเขายังทำแบบนี้ต่อไป เขาก็ไม่รู้ว่าจะจัดการกับหมอนั่นยังไงเมื่ออีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าเขาและทำกับเขาแบบนี้ไปเรื่อยๆ

แต่น่าเศร้าที่จำนวนที่เขาได้รับนั้นเป็นราคาที่สมเหตุสมผลกับการฮีลมาก

มันเป็นจำนวนที่แม่นยำที่เขายังคงได้รับประโยชน์โดยการไม่โจมตี ทว่าไม่ได้เอ่ยขอมากเกินไปเพื่อที่จะคงความสัมพันธ์ที่ได้รับประโยชน์ทั้งสองฝ่ายนี้ไว้

แต่มันไม่ใช่สถานการณ์ที่จะหากำไรจากกันและกัน แต่เป็นสถานการณ์ที่พวกเขาควรจะรวมพลังกัน

ไอ้หมอนั่นยังคงยอมจับสถานการณ์อันตรายนี้ไว้ราวกับว่ามันเป็นโอกาส แต่มันก็หมายความว่าชีวิตของพวกเขาจะยากขึ้น

เมื่อตราบเท่าที่หมอนั่นเอาบางอย่างไป พวกเขาก็จะเสียบางอย่างไป

‘ไอ้เวรเอ้ย ผู้รักษาก็แค่นี้แหละเหอะ’

เขาต้องการเพียงแค่นั่งอยู่เฉยๆ และประกาศดังๆ ว่าเขาจะไม่ทำแบบนั้น แต่เขารู้ว่ามันเป็นการกระทำที่ไร้สติเมื่อเขาเห็นเกาะที่กำลังแตกสลายลงทีล่ะน้อยเบื้องหลังเขา

ขณะที่เขาเห็นมัน ไอ้หมอนี่ก็เขาใจถึงคุณค่าของตัวเองในวินาทีนั้นและคำนวณทุกสิ่งออกมา

บางทีเขาก็อาจจะทำอะไรแบบนี้ในพื้นที่ฝึกซ้อมแรกเช่นกัน

เขาค่อนข้างเดาได้ว่าไอ้แยงกี้นี่ได้รูนและแข็งแกร่งขึ้นได้ยังไง

เขาอาจไม่รักษาคุณเพราะคุณคุกคามหรือทรมานเขา

เมื่อหากใครบางคนทำแบบนั้นกับเขาในพื้นที่ฝึกซ้อมแรก เขาย่อมเละตั้งแต่ตอนนั้นและจะไม่มีทางมาต่อรองได้แบบนี้

‘เวรเอ้ย…’

มันไม่ใช่ว่ารูนสกิลของหมอนั่นจะดรอป 100% แม้ว่าจะฆ่ามัน

และคุณค่าของรูนสกิลมีมากกว่าที่จะเสี่ยงแบบนั้น

โดยเฉพาะในเวลาที่สถานการณ์เป็นเช่นนี้

“นายจะปล่อยไว้แบบนี้เหรอ?”

ฮันชอลหันไปพูดกับฮันซูด้วยอาการกัดฟันกรอด ฮันซูทำเพียงยักไหล่

เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวแม้ว่าพวกนั้นจะสู้กันหรือไม่

เมื่อมันจะกลับมาที่เขาในที่สุด

“นี่รูน โปรดรักษาภรรยาฉันด้วย”

ฮันชอลที่เห็นชายรักครอบครัวส่งรูนและบอกให้อีกฝ่ายฮีลผู้เป็นภรรยาที่บาดเจ็บเล็กน้อยให้ เขาก็กัดฟันกรอด

มันคงเป็นภาพที่อบอุ่นอย่างมากหากอยู่ในสถานการณ์อื่น แต่สถานการณ์ของเขานั้นอันตรายเกินกว่าที่จะมองแบบนั้น

คนอื่นเองก็ได้มองไปยังทั้งสี่ด้วยสายตาเย็นเยียบ ราวกับว่าไม่ได้มีเพียงแค่ฮันชอลที่คิดเช่นนั้น

‘ห่วยแตก กูคว้าไอ้ห่วยมาจริงๆ แล้ว’

เขาคิดว่าชายที่มีพลังจิตคนนั้นเป็นผู้ที่แปลกประหลาดที่สุด แต่มันดูเหมือนว่าเขาจะเป็นผู้ช่วยที่ดีที่สุดในตอนนี้

ผู้หญิงบ้า ผู้ขายการรักษา และครอบครัวที่กลมเกลียวอีกสามคน

สีหน้าของฮันชอลกลายเป็นเย็นชา

และในตอนนั้นเองที่เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นในสมองของเขา

<เป็นยังไงบ้าง? คังฮันชอล? ที่ที่นายไปดีรึเปล่า?>

ฮันชอลเอ่ยตอบราวกับว่ามันเป้นเรื่องปกติ

<ห่วยแตก>

<แข็งแกร่งไว้ ดูเหมือนว่าเราจะเจอกันข้างบนได้ มีชีวิตรอดและขึ้นมาให้ได้ และทำให้ทุกคนมีชีวิตอยู่ให้ได้มากที่สุด เราต้องเพิ่มจำนวนของเราและชักจูงคนแข็งแกร่งให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้>

‘ฉันไม่รู้… ว่าไอ้คนพวกนี้มันมีค่าพอที่จะเอาไปด้วยรึเปล่า’

ฮันชอลจบบทสนทนาพร้อมกับที่เขาทำเพียงคิดและไม่ได้เอ่ยตอบกลับไป จากนั้นจึงกัดฟันแน่น

<ฉันไม่มั่นใจว่านายจะมีชีวิตรอดจนเราได้พบกันอีกหรือไม่ แล้วเจอกัน>

ฮันชอลที่จบบทสทนากับเพื่อนและหัวหน้าของเขา ฮยูจิน เริ่มที่จะเดินต่อไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

เขาคิดว่าเขาได้ค่อนแคะฮันซู แต่ฮันชอลเชื่อในการมีอยู่ของพลังจิต

เมื่อเขาเองได้พบใครบางคนที่มีพลังแบบนั้นอย่างเพื่อนของเขา ฮยูจิน และมันกระทั่งมีประโยชน์แบบนี้

แต่มีชายคนหนึ่งที่มองไปยังฮันชอล

‘ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนที่มีลักษณะพิเศษราชาตื่นขึ้นแล้ว ค่อนข้างเร็ว’

ลักษณะพิเศษ <ราชา>

ลักษณะพิเศษที่แอรีสและกวางกุนจูมี

ลักษณะพิเศษที่ทำให้พวกเขากลายเป็นหัวหน้า และหัวหน้ากลายเป็นลักษณะพิเศษ ลักษณะพิเศษที่ทำให้ใครบางคนกลายเป็น <ราชา>

ฮันซูแสดงสีหน้าคิดไว้แล้วเมื่อเขาเห็นสัญลักษณ์เล็กๆ ที่ปรากฏขึ้นชั่วขณะ ก่อนที่จะหายไปบนหลังมือของฮันชอล

 


TL: รอดูสถานการณ์น่าสนุกกันได้เลยค่ะ//หัวเราะ

 

ติดตามข่าวสารที่รวดเร็วกว่าได้ทาง Facebook: Netear.ST นะคะ