บทที่ 203 ล่วงเกินโลกยุทธภพ

ด้วยต้องการจะผนึกวิญญาณ เย่เฟิงได้ใช้ทักษะผนึกวิญญาณ และทันใดนั้น แสงโปร่งใสพร้อมกับสายลมอันหนาวเย็นก็พัดผ่านไปมา วิญญาณของเด็กหนุ่มจากวังไท่จี๋ก็ถูกผนึกไว้ในแหวนกระบี่มังกรโบราณเช่นเดียวกันกับจ้าวอี้เป่ย

ในอนาคต ตราบใดที่เขาสามารถหาทางฝึกทักษะวิญญาณได้แล้ว เย่เฟิงก็สามารถอัญเชิญวิญญาณของทั้งคู่ออกมาได้

มันไม่มีปัญหาอะไรสำหรับจ้าวอี้เป่ยเพราะก่อนที่จะตาย เขาเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น กระบวนการการซ่อมแซมวิญญาณของเขาจึงทำได้ไม่ยาก แต่สำหรับเด็กหนุ่มจากวังไท่จี๋นั้น เขาคือผู้ฝึกยุทธ์ มันจึงไม่อาจบอกได้ว่าจะสามารถซ่อมแซมวิญญาณได้สำเร็จหรือไม่

แต่ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร เย่เฟิงจะพยายามให้ถึงที่สุด การที่เด็กคนนี้ต้องตายก็เพราะช่วยเหลือเขา เรื่องนี้ทำให้ชายหนุ่มไม่อาจสงบใจได้

เย่เฟิงยังคงจำได้ดีว่าก่อนหน้านี้ ซูเฟยหยิ่งได้ลองศึกษาเกี่ยวกับแก่นทักษะของผู้ใช้วิญญาณ หากเขาได้พบอาจารย์อีกครั้ง ก็น่าจะสามารถทำให้จ้าวอี้เป่ยและเด็กคนนี้ปรากฏขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง

แน่นอนว่าทักษะวิญญาณนั้นไม่มีปรากฏอยู่ในโลกใบนี้ ถ้าเขาได้มันมา มันจะช่วยเพิ่มความสามารถให้ได้อย่างมาก!

เย่เฟิงไม่คาดหวังว่าจะต้องมีระดับวรยุทธ์ 100 ปี เหมือนกับซูเฟยหยิ่ง เพราะเขายังคง………

“เย่เฟิง นายหาอาจารย์เจอหรือยัง?”

หลังจากดูดซับปะการังเสร็จ ซูเหมิงหานเอ่ยถามออกมาด้วยความกังวล ในเวลานี้ ใบหน้าของเธอดูกระปี้กระเปร่าเมื่อผ่านกระบวนการการดูดซับมา

“ยังเลย ฉันกำลังเตรียมตัวจะไปหาอาจารย์ แต่โชคไม่ดีที่ดันไปเจอกับหลงโม่หรันเข้าซะก่อน”

เย่เฟิงส่ายหัว จากนั้นจึงวางมือของบนไหล่เนียนของเด็กสาวเบาๆ เจินชี่ของเขาค่อยๆไหลเข้าไปในร่างซูเหมิงหานเพื่อตรวจสอบเล็กน้อย ไม่นานชายหนุ่มก็พบว่าเธอมีวรยุทธ์อยู่ที่ระดับ 4 ปีแล้ว ความเร็วนี้ไม่ถือว่าด้อยไปกว่าเขาเลย

จากนั้น เย่เฟิงจึงหันหน้าไปหาเย่เวิ่นเทียน “ปู่ ช่วยดูแลเหมิงหานกับคุณน้าที ผมกับหวางเอ๋อมีเรื่องบางอย่างต้องจัดการ”

“อะไรนะ? ไอ้หนู แกยังคิดจะ……..”

เย่เวิ่นเทียนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกแปลกใจอยู่ชั่วครู่ ความจริงตอนนี้ เขาตั้งใจจะพาทุกคนกลับไปทันที เพราะในแถบทะเลจีนตะวันออกนี้ไม่ค่อยปลอดภัยแล้ว ยิ่งในเวลานี้ที่ตัวตนของเย่เฟิงได้ถูกเปิดเผยออกมา พวกเขาควรรีบกลับไปเตรียมตัวคิดแผนรับมือกับเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด!

แต่ก่อนที่ชายชราจะได้พูดอะไร เย่เฟิงก็คว้ามือของหลงหวางเอ๋อไว้ และทันใดนั้น ร่างของทั้งคู่ก็ได้จางหายไปทันที ทักษะย่างก้าวไร้เงาของพวกเขาปะทุขึ้นมาพาให้ร่างทั้งคู่มุ่งหน้าไปยังชายฝั่งทะเลอย่างรวดเร็ว!

หนุ่มสาวทั้งสองได้หายตัวไปต่อหน้าต่อตา นี่ทำให้ชายชรารู้สึกตกใจเล็กน้อย ‘โอ้ เจ้าหนูนี่ทำให้แปลกใจอีกแล้ว มันถึงกับล่องหนได้ด้วย?’

“คุณปู่คะ พวกเขาคงไปตามหาอาจารย์ของเย่เฟิงกัน งั้นพวกเรากลับกันก่อนดีไหม?”

ซูเหมิงหานเห็นดังนั้นก็รีบเอ่ยถาม

“หนูไม่กลัวคนอื่นจะขโมยสามีหนูไปหรือไง!”

เย่เวิ่นเทียนจ้องมองเด็กสาว

“เขาไม่ใช่คนแบบนั้นค่ะ”

เธอตอบกลับไปอย่างมั่นใจ

“…………..”

เย่เวิ่นเทียนไม่รู้จะพูดอะไรอีก ถึงแม้เขาจะยังไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างเย่เฟิงและหลงหวางเอ๋อชัดเจน แต่ชายชราก็ไม่ได้ไล่ตามทั้งคู่ไป

เขามองไปยังอีกด้านหนึ่ง และโบกมือให้แก่น้าของหลงหวางเอ๋ออย่างจำใจ “เอาละ งั้นกลับไปกับพวกเราด้วยก็แล้วกัน เจ้าเด็กเวรนั่น ฉันเชื่อว่ามันคงมีความรอบคอบพอ”

แม้ต้องเผชิญหน้ากับหลงโม่หรัน เย่เฟิงยังเกือบจะสังหารมันได้ เย่เวิ่นเทียนพอจะเริ่มเข้าใจความแข็งแกร่งของหลานเขาบ้างแล้ว

อีกอย่าง ยังไงเย่เฟิงก็ต้องเติบโตขึ้นเรื่อยๆขณะที่ชายแก่อย่างเขาก็ต้องชราลงเรื่อยๆ เพราะงั้นเขาคงไม่สามารถดูแลเด็กหนุ่มได้ตลอดไป

อย่างไรก็ตาม ทุกๆคนตอนนี้ได้มุ่งหนาไปยังใจกลางของเขตเซี่ยงซาน ขอบฟ้าค่อยๆสว่างขึ้นมา เป็นสัญญาณว่าค่ำคืนนี้ได้ผ่านพ้นไปแล้ว พายุฝนดูเหมือนจะค่อยๆซาลง ทำให้ทุกๆอย่างกลับคืนสู่สภาวะปกติดังเดิม

‘เย่เฟิงคือชายสวมหน้ากากและเป็นผู้ฝึกยุทธ์ เด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์อันน่าทึ่งที่เกือบจะสังหารหลงโม่หรันได้’

ดูเหมือนข่าวนี้จะถูกกระจายไปทั่วประเทศในเวลาไม่นาน ในยุคที่ทันสมัยเช่นนี้ แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหลายก็ล้วนมีอุปกรณ์ไฮเทคเช่นกัน

ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ อินเตอร์เน็ต หรือช่องทางอื่นๆ ข่าวนี้ล้วนถูกกระจายออกไปทั่วทุกทางตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง

เย่เฟิงนั้นมีอายุแค่ 20 ปี แต่กลับบรรลุทักษะกรงเล็บมังกรของตระกูลเย่ขึ้นเป็นระดับสามแล้ว นี่แสดงให้เห็นว่าพรสวรรค์อันน่าทึ่งของเขาหาได้ยากยิ่งในโลกใบนี้ และหากให้เวลาแก่เขาระยะหนึ่ง อนาคตของเด็กหนุ่มคนนี้คงสดใสและไร้ซึ่งขีดจำกัด!

แต่สำหรับบางคนที่ยังมีความเป็นปฏิปักษ์อย่างเหนียวแน่นกับตระกูลเย่ พวกเขาเริ่มติดต่อกันอย่างลับๆ ด้วยสัญญาณการคุกคามที่จู่ๆก็ปรากฏขึ้นมา พวกเขาจึงต้องรีบลงมือก่อนที่เย่เฟิงจะเติบโตไปมากกว่านี้

แต่เย่เฟิงนั้นไม่ได้รู้การคงอยู่ของคนพวกนี้เลย

ในขณะเดียวกัน ข่าวที่เย่เฟิงได้ฝึกวรยุทธ์แล้วก็ทำให้เย่เวิ่นเทียนเสื่อมเสียชื่อเสียงเช่นกัน เพราะเมื่อ 20 ปีก่อน ชายชราคือคนที่รับปากว่าจะไม่ให้เย่เฟิงได้ฝึกวรยุทธ์เด็ดขาดไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แต่กลายเป็นว่า เขากลับแอบสอนวรยุทธ์ให้หลานตัวเองอย่างลับๆ

น่าขายหน้า ช่างน่าขายหน้าจริงๆ การทำแบบนี้ก็เปรียบเสมือนการล่วงเกินโลกยุทธภพอย่างออกนอกหน้า!

ในตอนนี้ ผู้มีอิทธิพลทั้งหลายเริ่มพูดคุยกันสำหรับเรื่องการเตรียมตัวที่จะจัดการกับชายชราและบังคับให้เย่เฟิงยอมจำนนแก่พวกเขา ไม่เช่นนั้น พวกเขาจะถือว่าปู่หลานคู่นี้คือศัตรูของโลกยุทธภพ!

เรื่องนี้จะรอช้าไม่ได้ เพราะเมื่อดูจากการเติบโตของเย่เฟิง ถ้าเทียบเขากับเย่เวิ่นเทียนแล้ว เด็กคนนี้นับว่าน่ากลัวยิ่งกว่าชายชราหลายเท่า

……………….

ณ โรงแรมแห่งหนึ่งใจกลางเขตเซี่ยงซาน

เย่เวิ่นเทียนและคนที่เหลือต่างเปิดห้องเพื่อเข้าพักผ่อน เพราะเกือบทุกคนล้วนยุ่งอยู่ตลอดทั้งคืนจนรู้สึกเหนื่อยทั้งกายและใจ

เย่เวิ่นเทียนได้นำหนานฟางเข้าไปในห้องพักห้องหนึ่ง เพราะเรื่องทักษะมีดบินปีศาจคำรามนั้น ทำให้ใจของชายชรานั้นเดือดพลานไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น หากตัวตนของเย่เฟิงไม่ได้ถูกเปิดเผยออกมาล่ะก็ ข่าวช็อกวงการยุทธภพในวันนี้ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องทักษะนี้เป็นแน่

ทักษะมีดบินปีศาจคำรามได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งในโลกยุทธภพ!

“ท่านผู้เฒ่า ตอนนี้ผมได้ติดตามพี่ใหญ่เย่แล้ว เพราะงั้นผมขอคำชี้แนะด้วยครับ”

หนานฟางพลันแสดงความเคารพต่อเย่เวิ่นเทียนพร้อมกับขอคำแนะนำ

เย่เวิ่นเทียนยังคงนิ่งเงียบ อันที่จริงคือชายชรารู้สึกมึนงงเล็กน้อยเมื่อเห็นการแสดงออกที่เปลี่ยนไปของหนานฟาง เขาคิดว่าเด็กคนนี้ช่างมีเอกลักษณ์เฉพาะจริงๆ……..

……………….

ชูชูเดินเข้าไปในห้อง และตัดสินใจอาบน้ำก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้น เธอก็นั่งอยู่บนเตียงด้วยท่าทีมึนๆงงๆเหมือนคนที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ใจของหญิงสาวหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ มันดูราวกับว่าฝันไป ในที่สุดเธอและหลงหวางเอ๋อก็สามารถหลุดพ้นจากกรงขังของตระกูลหลงได้แล้ว และตอนนี้เย่เวิ่นเทียนก็อยู่ข้างเดียวกันพวกเธอ ฉะนั้น พวกเธอคงสบายใจไปได้ช่วงหนึ่งแล้วใช่ไหม?

แต่ชูชูก็มองเห็นความกังวลในดวงตาของเย่เวิ่นเทียน ดูเหมือนว่าข่าวเรื่องตัวตนที่แท้จริงของเย่เฟิงจะถูกกระจายออกไปทั่วทั้งโลกยุทธภพอย่างรวดเร็วราวกับไฟลามทุ่ง นี่ช่างเป็นสัญญาณที่ไม่ดีเอาเสียเลย

“แล้วเฟิงน้อยกับหวางเอ๋อตอนนี้จะเป็นไงบ้างนะ”

ชูชูถอนหายใจเบาๆ จากนั้นจึงหันมองออกนอกหน้าต่างไปยังขอบฟ้าของรุ่งสาง

………….

หลินชื่อฉิงกลับมายังห้องของเธอเช่นกัน หญิงสาวรีบอาบน้ำจากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา

เธอรู้ว่าเย่เฟิงและหลงหวางเอ๋อได้กลับไปยังแถบทะเลจีนตะวันออก และเป้าหมายของทั้งคู่ก็คือเกาะภูเขาน้ำแข็ง! หัวใจของหญิงสาวกลับรู้สึกกังวลต่อเย่เฟิงโดยไม่รู้ตัว

ในเวลานี้ ภาพที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งอยู่ที่โรงงานร้างพลันผุดขึ้นมาในใจของหลินชื่อฉิง ในตอนนั้น เป็นเย่เฟิงจริงๆที่ปรากฏตัวขึ้นมาช่วยเธอไว้จากพวกตัวประหลาดผมยาว และในช่วงที่เกิดการระเบิด เขาได้ใช้ร่างตัวเองปกป้องเธอจากเปลวไฟและอันตรายต่างๆ มาจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังยืนหยัดปกป้องเธอที่อยู่ในรถบรรทุก ซึ่งแม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บไปทั่วร่าง แต่ก็ไม่คิดจะถอยหลังแม้แต่ก้าวเดียว……..

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้หญิงสาวรู้สึกมีความสุขมาก

แต่ทันใดนั้น ภาพของซูเหมิงหานและหลงหวางเอ๋อก็โผล่ขึ้นมาในใจจนทำให้หลินชื่อฉิงต้องรีบส่ายหัว ไม่ดีแล้ว เธอตั้งใจจะถือว่าเขาเป็นน้องชายไม่ใช่หรอ? มันต้องไม่มีอะไรมากกว่านั้นสิ!

โทรศัพท์สายนี้ก็เป็นเพราะเธอรู้สึกกังวลกับความปลอดภัยของน้องชายเท่านั้น!

หลินชื่อฉิงกดเบอร์โทรศัพท์ไปหาธันเดอร์ หัวหน้าหน่วยNSA “น้าธันเดอร์ เกิดอะไรขึ้นที่แถบทะเลจีนตะวันออกตอนนี้บ้างคะ?”

ระหว่างทางกลับมายังโรงแรม หลินชื่อฉิงได้โทรศัพท์ไปหาตำรวจให้พวกเขาไปที่แถวชายหาดเพื่อดูแลเหล่าทหารหน่วย NSA ที่หมดสติอยู่ รวมทั้งรถบรรทุกทหารคันนั้นด้วย

ในตอนนี้ เธอได้โทรหาธันเดอร์ไม่ใช่เพราะจะพูดถึงเรื่องนี้ แต่เป็นเรื่องที่สำคัญกว่านั้น หญิงสาวอยากรู้ข้อมูลของสถานการณ์ในแถบทะเลจีนตะวันออกตอนนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เธออยากรู้ว่าการเดินทางของเย่เฟิงและหลงหวางเอ๋อจะมีอันตรายอะไรหรือไม่

“สถานการณ์ตอนนี้ไม่ดีเท่าไหร่ครับคุณหนู”

น้ำเสียงขึงขังของธันเดอร์ดังออกมาจากปลายสาย

……………………..

แปลโดย Solar Spark