บทที่ 18: แท่นบูชา (3)

 

 

“ฉันจะให้ทางแก้กับพวกนาย”

จากนั้นฮันซูจึงเริ่มนับ

15 คนจากด้านท้าย

“หนึ่ง สอง สาม… สิบห้าแบบนี้ สิบห้าคนนี้คือคนที่อ่อนแอที่สุด”

“อะไรนะ?”

คนทั้งสิบห้าคนที่ถูกเลือกมีสีหน้าว่างเปล่าไปชั่วขณะก่อนที่จะตะโกนออกมาอย่างหวาดกลัว

“ไม่มีทาง!”

“แม้ว่าฉันจะมีรูนมากกว่าเขาน่ะนะ?”

ฮันซูส่ายศีรษะ

เขาสามารถคาดเดาได้ว่าใครจะชนะและใครจะแพ้เพียงแค่การมองครั้งเดียว

มันอาจแตกต่างกันเล็กน้อยตามเงื่อนไข แต่แม้คุณจะนับรวมพวกมันไปด้วยแล้ว คนที่จะต้องไปก็ยังค่อนข้างชัดเจนอยู่ดี

และจากการชี้ของฮันซู ความยินดีและเศร้าเสียใจก็ได้ปรากฏขึ้น

สิบห้าคนที่ถูกเลือกแสดงท่าทางโมโหและรู้สึกราวถูกใส่ร้าย

และอีกสิบหาคนที่ไม่ถูกเลือกก็ได้พ่นลมหายใจยาวเหยียดออกมาอย่างโล่งใจเมื่อพวกเขาสามารถรักษารูนของพวกเขาไว้ได้

ด้วยคำกล่าวของฮันซู ชายคนหนึ่งก็ได้ตะโกนขึ้นด้วยความหวาดกลัว

“มึง ไอ้บัดซบ! มึงเองก็เหมือนกัน! มึงกล้าทอดทิ้งพวกกูเพราะพวกกูอ่อนแอ! และไอ้พวกเวรตรงนั้นที่ยอมสละชีวิตคนอื่นเพียงเพราะรูนไม่กี่ชิ้น!”

ฮันซูหยุดเดิน

“หืมมม ดูเหมือนนายจะเข้าใจอะไรผิดบางอย่างนะ”

จากนั้นชายหนุ่มจึงเอ่ยพร้อมกับเกาศีรษะ

“ฉันไม่ได้ทอดทิ้งพวกนายเพราะพวกนายอ่อนแอ ถ้าพวกนายอ่อนแอพวกนายก็ไม่มีทางตามคนอื่นทันอยู่แล้ว ไม่มีอะไรเกี่ยวกับการทอดทิ้งเลย”

“…”

“พวกนายกำลังทำอะไรอยู่ขณะที่คนอื่นวิ่งล่ะ? มันไม่สำคัญว่าพวกนายจะพักผ่อนหรือทำอย่างอื่น แต่พวกนายก็ควรจะรับผิดชอบมันด้วยตนเองทั้งหมดในสถานที่นี้”

คำพูดนั้นได้เสียดแทงเข้าไปในใจของทุกคน

และพวกเขาได้ตระหนักขึ้นในเวลาเดียวกัน

ว่าพวกเขาได้เข้ามายังโลกที่เละเทะนี่

มันไม่เหมือนกับสังคมทันสมัยที่คุณมีโอกาสที่จะกระโดดกลับมาถ้าหากล้มลงและตกอยู่เบื้องหลังผู้อื่น

ไม่ มันโหดร้ายกว่านั้นมาก

เมื่อแฟรี่นั่นออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า พยายามตัดผู้ที่รั้งท้ายออกไป

หากไม่ต้องการที่จะถูกตัดออก คุณก็ต้องวิ่งอย่างถวายชีวิต

พวกเขารู้ว่านี่คือขั้นแรกของบทฝึกฝน

ว่าโลกนี้คือสถานที่ที่คุณต้องโลภเพื่อที่จะมีชีวิตรอด

หากคุณโลภ คุณอาจได้รับคำสบถสาปแช่งจากผู้อื่น แต่คุณจะมีสิทธิที่จะมีชีวิตรอดในช่วงเวลาแตกหัก

เหมือนในสถานการณ์นี้

“เวรเอ้ย! เวรเอ้ย!”

น้ำเสียงของชายคนนั้นที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวสามารถได้ยินอย่างชัดเจนจากเบื้องหลังแผ่นหลังที่หายไปของฮันซู

แต่ฮันซูได้เอ่ยอย่างแผ่วเบา

“ฟังให้จบ ฉันไม่ได้บอกให้นายเข้าไปในนั้น”

“อะไรนะ?”

งั้นมันมีทางแก้อื่นอีกหรือ?

ชายผู้นั้นมองไปยังฮันซูด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวัง

ฮันซูผงกศีรษะ

“สิบห้าคนนี้จะยืมรูนจากคนอื่นเป็นรูนพลังกายและรูนความอดทนอย่างล่ะสอง จากนั้นก็เอามาให้ฉัน”

“หืมมม…”

“แล้วพวกนายก็ไปล่าสัตว์อสูรในเวลาที่เหลืออยู่ 72 ชั่วโมงเพื่อที่จะจ่ายรูนคืนให้คนอื่น”

ทุกคนผงกศีรษะหลังจากที่ครุ่นคิดไปชั่วครู่

มันไม่มีอะไรจะเสีย

กระทั่งคนที่เหลือยังมีความรู้สึกแย่ไม่น้อยเพราะความคิดในการโยนคนเป็นๆ สิบห้าคนลงไปในแท่นบูชา ทว่าหากทำตามวิธีใหม่นี้ พวกเขาจะไม่เสียอะไร ดังนั้นทุกสิ่งจึงถูกแก้ไข

และแน่นอนว่าในสถานการณ์ของคนสิบห้าคนนี้ การล่าสัตว์อสูรเพื่อจ่ายรูนคืนย่อมดีกว่าเข้าไปในปากของสัตว์อสูรเพื่อเป็นอาหาร

เมื่อมันไม่ยากที่จะเก็บรูนพลังกายและรูนความอดทนอย่างล่ะสองอันในสามวัน

แต่จนนั้นคนผู้หนึ่งก็ได้พึมพำขึ้นด้วยความรู้สึกราวกับถูกทำร้าย

เพราะมีเพียงคนสิบห้าคนนี้ที่ต้องจ่ายรูน

“… นี่มันไม่ยุติธรรมไม่ใช่เหรอ? คนล่ะอันถึงจะยุติธรรม”

แต่ฮันซูทำเพียงยักไหล่

“แต่คนที่จะเข้าไปในนั้นเป็นนาย นายก็รู้นี่? ทำไมอีก 45 คนต้องจ่ายด้วยล่ะ?”

“…”

ชายที่เอ่ยขึ้นก่อนหน้าหุบปากของเขาลงเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่ได้มีใครบางคนเอ่ยขึ้นเมื่อเขารู้สึกได้ถึงความโลภที่เพิ่มมากขึ้น

“แต่ทำไมเราต้องให้พวกเขาถ้านายคือคนที่ได้รูนไป? ไม่ใช่ว่าคนคนเดียวที่จะได้รับรูน 60 อันในที่สุดคือนายคนเดียวงั้นเหรอ?”

ฮันซูผงกศีรษะ

“ฉันไม่มีงานอดเรกในการเป็นอาสาสมัคร ฉันบังคับให้พวกนายทำไม่ได้ มันก็แค่คำแนะนำที่ฉันให้แก่คนสิบห้าคน สิ่งที่ฉันแนะนำไม่ใช่วิธีที่ถูกหรือสมบูรณ์ ฉันก็แค่แนะนำสิ่งที่ฉันคิดว่ามันดีที่สุด ถ้านายคิดว่านายจะไม่เป็นหนึ่งใน 15 คนนั้นหรือรู้สึกกดดันจากตัวเลือกนี้ ฉันจะกลับมาในอีกสามวัน”

เขาอาจรวบรวมรูนสามสิบอันได้หากเขาล่า

ชายคนนั้นเงียบเสียงลงเมื่อได้ยินเช่นนั้น

เพราะหากฮันซูไปจริงๆ เขาจะถูกโยนเข้าไปในแท่นบูชา

“พวกนายควรจะจ่ายค่าชีวิตของตัวเองได้เป็นอย่างน้อย”

คนอีกคนหนึ่งเอ่ยถามทันทีที่ฮันซูเอ่ยจบ

เป็นผู้หญิงที่โต้เถียงกับชายอีกคนก่อนหน้า

“เดี๋ยว! อะไรจะเกิดขึ้นถ้าคนที่เราให้ยืมรูนไม่สามารถเรียกความกล้าออกไปล่าสัตว์อสูรได้และไม่อาจจ่ายคืนได้? งั้นเราก็จะเสียรูนของเราไป”

คนสิบห้าคนนี้อ่อนแอเพราะพวกเขาไม่มีความกล้าที่จะล่า

พวกเขาอาจไม่สามารถจ่ายรูนคืนได้ภายในสามวันข้างหน้า

ฮันซูเอ่ยตอบอย่างง่ายดาย

“เธอจะกังวลอะไรล่ะ? ก็แค่ตามล่าพวกเขาในเวลากลางคืนและเอาพวกมันคืนจากพวกเขา ถ้ามันยังไม่พอค่อยมาหาฉัน เดี๋ยวจะชดเชยให้”

“…”

เขาจำเป็นต้องตั้งกฎขึ้น แต่กฎที่กระทั่งสามารถใช้กับผู้ที่ไม่อาจรักษาสัญญาหรือรับผิดชอบไม่ได้นั้นไม่จำเป็น

เมื่อเขาไม่ได้มาเพื่อสั่งสอนพวกเขาเกี่ยวกับสวัสดิการสังคม

ทุกคนมีสีหน้าหวาดกลัวกับคำพูดนั้น

เพราะพวกเขารู้ว่าพวกเขาไม่อาจขี้เกียจได้อีกต่อไปนับแต่บัดนี้

แต่ในเวลาเดียวกัน ทุกคนก็ได้แสดงสีหน้าพอใจออกมา

เพราะมันจบลงโดยที่ไม่มีใครต้องตายในที่สุด

“เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมง เริ่มตอนนี้เถอะ”

ทุกคนเริ่มรวบรวมรูนเมื่อได้ยินเช่นนั้น

 

[คังฮันซู]

พลังกาย: 84.3

ความอดทน: 85.8

ความคล่องแคล่ว: 42.1

ความเข้าใจ: 42.2

มานา: 22

ค่าต่อต้านเวทมนต์: 13

 

ฮันซูผงกศีรษะขณะมองไปยังค่าพลังกายและค่าความอดทนของเขาที่ได้เพิ่มขึ้นอย่างล่ะ 30 แต้ม

‘ความสมดุลถูกทำลาย แต่ฉันทำอะไรเกี่ยวกับมันไม่ได้’

พูดตามตรง แม้ว่าคุณจะสูญเสียมันไปสักหน่อย แต่การรักษาสมดุลของแต้มสถานะไว้ด้วยการแลกเปลี่ยนรูนนั้นนับว่าดีกว่า

แต่นี่เป็นข้อยกเว้น

ชายหนุ่มรู้โดยสัญชาตญาณเพียงแค่มองไปยังสัตว์อสูรกินเนื้อนั่น

ด้วยรูนในปัจจุบันของเขา การโจมตีของเขาย่อมไม่ได้ผล

เขาจำต้องเพิ่มค่าพลังกายของเขาให้มากกว่า 100

และเขาต้องการค่าความอดทนที่อยู่ในระดับเดียวกับพลังกาย

ค่าความคล่องแคล่วและความเข้าใจนั้นขาดอยู่ แต่เขาสามารถชดเชยมันด้วยประสบการณ์และทักษะต่อสู้ของเขาได้

‘ดูเหมือนว่าฉันคงต้องใช้บุหรี่เมฆาจำนวนมาก’

เพื่อที่จะทำให้ค่าสถานะของเขาสูงกว่า 100 แต้ม เขาอาจต้องใช้บุหรี่เมฆาอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มค่าสถานะเขาขึ้นอีก 20%

‘แต่มันดีที่มันเป็นสภาพแวดล้อมที่ฉันสามารถสู้คนเดียวได้’

โดยปกติแล้ว กระทั่งฮันซูก็เลือกที่จะล่าเป็นกลุ่ม

เมื่อในความเป็นจริง ความเร็วในการล่านั้นจะสูงกว่าเล็กน้อยเมื่อเขาล่ารวมกับแทซูนก่อนหน้า

แต่สถานการณ์มันต่างออกไป

หากมีคนอื่น มันจะทำให้เขาเสียเปรียบ

ไม่ว่าจะมากเท่าไหร่ การโจมตีของพวกเขาจะไม่ได้ผลต่อสัตว์อสูรนั่น และสัตว์อสูรจะฟื้นตัวขึ้นจากการกลืนกินมนุษย์

หากหมอนั่นถูกปล่อยออกมา มันคงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าปวดหัว

เมื่อฮันซูกำลังจะเดินตรงไปยังแท่นบูชาที่อยู่ห่างออกไป บางคนก็ได้เข้ามาใกล้เขา

“ฮันซู มิฮี มันก็สักพักแล้วนะ”

“ซังจิน…”

มิฮีแสดงสีหน้ายินดี หยุดเดิน ก่อนจะเหลือบตามองไปยังฮันซู

ฮันซูกำลังมองไปยังอีกฝ่ายด้วยสีหน้าไร้ซึ่งความรู้สึกผิด

“เมื่อแทซูนไม่อยู่แล้ว เราก็ไปด้วยกันเถอะ เธอด้วยมิฮี”

ฮันซูส่ายศีรษะเมื่อได้ยินเช่นนั้น

ทว่าซังจินไม่ยอมแพ้ และพยายามที่จะเข้าใกล้อีกฝ่าย

“มันไม่ดีกว่าเหรอที่จะไปกับพวกเรา? กับเพื่อน?”

ฮันซูจ้องไปยังซังจินด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“เมื่อเราแยกกัน เราก็ต้องไปในทางที่แตกต่างกัน”

ชายหนุ่มไม่มีความคิดที่จะตัดความสัมพันธ์ของพวกเขาเพราะอีกฝ่ายไม่ต้องการติดตามเขาไปในยามที่เขาเข้าไปในสถานที่อันตราย

เมื่อความอ่อนแอไม่ใช่ความผิด และเขาไม่มีความมั่นใจที่จะปกป้องพวกนั้นให้ปลอดภัย

แต่คุณไม่อาจกลายเป็นเพื่อนกับคนที่มักจะหาโอกาสเมื่อติดตามคุณ และทิ้งคุณไปเมื่อมันอันตราย

นี่คือปัญหาที่สำคัญกว่าเรื่องความแข็งแกร่ง

ไม่สิ การแข็งแกร่งขึ้นก็ยิ่งมีปัญหามากกว่าเดิม

มันย่อมไม่มีเหตุผลให้เจอกันอีกครั้ง

‘เขามันเกินไปแล้ว…’

ซังจินเสียเป้าหมายของเขาไปด้วยท่าทีของฮันซูและมีสีหน้าหดหู่

ในขณะที่เป็นเช่นนั้น มิฮีก็ได้เอ่ยขึ้นกับฮันซูหลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่

“งั้นฉันจะอยู่ที่นี่นะ”

ฮันซูผงกศีรษะ

“มันไม่ใช่ตัวเลือกที่แย่”

มิฮีมีสีหน้าขมขื่นจากคำพูดของชายหนุ่มที่ไม่ได้ผ่านการครุ่นคิดใดๆ

เมื่อมันรู้สึกราวกับว่าเขาไม่ได้ตระหนักเลยว่าเธอชอบเขาและได้ยอมรับการเลือกของเธออย่างง่ายๆ

‘ฉันอยากจะไปกับเขา แต่…’

เธอตระหนักได้หลังจากที่ออกล่ากับอีกฝ่ายมาสองสามวัน

ยิ่งพวกเขาไปข้างหน้ามากเท่าใด ความแตกต่างของพวกเขาก็ยิ่งมีมากขึ้น

และฮันซูได้พุ่งไปยังหนทางที่บ้าคลั่ง พื้นที่ล่ามีจำกัดและเธอสามารถติดตามเขาไปได้เพราะเธอสามารถล่าในสถานที่เหล่านี้ได้ แต่เธอไม่มีความมั่นใจในการสู้กับเจ้าสัตว์อสูรนั่นไม่ว่าอย่างไรก็ตาม

และสถานที่ที่พวกเขาไปหลังจากฆ่าสัตว์อสูรนั้น มันจะต้องยากที่จะตามอีกฝ่ายให้ทันได้

ดังนั้นเธอจำต้องเลือกในเวลาราวๆ นี้

เพื่อนในระดับของเธอ

ถ้าเธอยังตามฮันซูไปแบบนี้ จากนั้นก็ถูกโยนทิ้งหลังจากพื้นที่ฝึกฝน เธอก็จะอยู่เพียงลำพัง

หากเป็นเช่นนั้น มันย่อมดีกว่าที่จะไปในกลุ่มหกคนและกลายเป็นเพื่อนกับคนอีกห้าคน

‘และมันดีกว่าที่จะแยกจากกันตอนนี้’

เธอเข้าใจมาตรฐานของฮันซูในขณะที่ต่อสู้อย่างผิวเผิน

หากเธอวิ่งหนีไปขณะที่สู้อยู่เพราะมันอันตราย เช่นนั้นความสัมพันธ์ของพวกเขาก็จะถูกตัดออก เหมือนกับอีกห้าคนเบื้องหน้าเธอ

แต่ถ้าแยกจากอีกฝ่ายในตอนนี้ ฮันซูย่อมไม่ตัดเธอออกอย่างโหดร้ายเมื่อเขาพบเธอทีหลัง

ฮันซูเพียงแค่ไม่เชื่อในการฉวยโอกาส มันไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบคนที่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ควรอยู่และเมื่อไหร่ที่ควรจะออกห่าง

‘ถึงแม้มันจะน่าเสียใจไปหน่อย’

เธอคิดเกี่ยวกับมันก่อนหน้ามาเล็กน้อย

หากเธอได้กลายเป็นคนรักของผู้ชายคนนี้ เช่นนั้นเธออาจจะได้อยู่กับเขาเป็นเวลานานมาก

เมื่อฮันซูนั้นไม่ใช่คนแบบที่จะทอดทิ้งคนรักของเขา

แต่เธอรู้หลังจากสังเกตอีกฝ่ายไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง

‘แต่มันไม่มีพื้นที่ว่างในสมองของฮันซูสำหรับเรื่องความรัก’

ดังนั้นแยกจากกันอย่างใสสะอาดในตอนนี้ และมุ่งเป้าไปยังโอกาสหน้า

‘รอก่อนเถอะ ฉันยังไม่ยอมแพ้หรอก’

มิฮีตัดสินใจก่อนจะเดินตรงไปยังซังจิน

ฮันซูหัวเราะเมื่อเขาเห็นเช่นนั้น

คนอื่นอีกห้าคนอาจแตกต่างออกไปเล็กน้อย แต่เขาสามารถพบกับมิฮีในอนาคตทั้งที่ยังหัวเราะได้อยู่

ซังจินไม่รู้จะแสดงอาการอย่างไรหลังจากเห็นภาพแห่งความสุขนั้น

เขามีความสุขเสียจนกระทั่งความหดหู่จากการถูกปฏิเสธโดยฮันซูก่อนหน้าเกือบจะหายไปทั้งหมด

มิฮีไม่ได้เลือกฮันซู แต่เลือกฝั่งเขาแทน

มันไม่ได้หมายความว่าฝั่งของเขามันน่าเชื่อถือมากกว่าเหรอ

มิฮีนั้นตามทันทุกอย่างได้รวดเร็วอย่างมาก

หญิงสาวตัดสินใจว่าเขามีความสามารถมากกว่าฮันซู

‘ใช่ ฉันกำลังพัฒนา ฉันแค่ไม่มีโอกาสทำแบบนั้นมาก่อน’

ซังจินที่หัวเราะเสียงดัง รู้สึกขอบคุณแทซูนที่อาจอยู่ในนรกในตอนนี้

‘ปาร์คแทซูน ฉันต้องขอบคุณนายจริงๆ’

หญิงสาวที่เขาไม่แม้แต่จะสามารถพูดคุยด้วยได้ได้เลือกเขา

และในกลุ่มของเขามีผู้หญิงสามคน แม้ว่าจะไม่นับแฟนสาวของกังแต จิซูนก็ตาม

เขารู้สึกราวกับจะโผบินไปในอากาศจากความรู้สึกราวกับเขาได้สร้างฮาเร็มขึ้น

นี่เป็นเพราะแทซูน

เหตุผลเพียงอย่างเดียวที่เขาสามารถมาไกลได้ขนาดนี้นั่นก็เพราะเขาได้เข้ามาเติมเต็มช่องว่างหลังจากที่แทซูนได้ตายไป

ซุนมิที่ยืนอยู่เบื้องหลังซังจิน มองเขาด้วยความสมเพช

‘เอาจริงดิ นี่ฉันต้องเชื่อไอ้โง่นี่แล้วก็ตามเขาไปรอบๆ เหรอ’

หรือมิฮีจะแยกไม่ออกระหว่างรถสปอร์ตกับรถขยะแล้วมาที่นี่

เธอมาที่นี่เพียงเพราะเธอคิดว่าเธอไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะขับรถสปอร์ต

‘เอาเถอะ ก็งี้แหละ’

ซุนมิตัดสินใจที่จะปลดเรื่องราวในอดีตไป

เมื่อทั้งซิงจินและมิฮีต่างเป็นคนที่แข็งแก่งที่สุดในทั้งหก ไม่สิ แข็งแกร่งที่สุดในทุกคน

ถ้าไม่นับฮันซู ทั้งสองคือสองอันดับแรก

และพวกเขาทั้งสี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของคนที่แข็งแกร่งที่สุดถ้าไม่นับฮันซู

ถ้าพวกเขาไปด้วยกัน เช่นนั้นพวกเขาคงไม่มีเวลายากลำบากไปช่วงหนึ่ง

และนอกจากนั้น เมื่อมิฮีอาจเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากฮันซู

ในขณะที่ซุนมิกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ซังจินได้กำลังมองไปยังฮันซู ไม่ใช่มิฮี

‘ฉันยังดีไม่พอ’

ซังจินมีสีหน้าเศร้าสร้อยขณะที่เขามองไปยังแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่มุ่งตรงไปยังแท่นบูชา

เขาพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะเป็นเพื่อนกับอีกฝ่าย แต่ฮันซูนั้นไม่แม้แต่จะสนใจเขา

เขาไม่ควรที่จะพยายามทำอะไรด้วยกันเป็นอย่างน้อยหน่อยเหรอ

ไม่เหมือนมิฮี เขาเพียงแค่วิ่งชนกำแพง

‘บางอย่าง… ฉันต้องแสดงให้เขาเห็นอย่างอื่นอีก’

มันเป็นเพราะเขายังอ่อนแอ

เมื่อเขาไม่สวยเช่นมิฮี ดังนั้นเขาต้องแสดงอย่างอื่นให้หมอนั่นเห็น สิ่งที่จะเป็นจุดตัดสิน

แต่ในตอนนั้นเองที่ใครบางคนเอ่ยเรียกซังจิน

“เฮ้เพื่อน เราคุยกันหน่อยได้ไหม?”

‘…ใครกัน’

เมื่อซังจินไปถึงตรงนั้น คนจำนวนหนึ่งก็ได้ยืนรออยู่ก่อนแล้ว

‘คนพวกนี้คือ…’

คนเหล่านี้คือคนที่พูดเสียงระหว่างการโต้เถียงก่อนหน้า

เป็นพวกที่เป็นตัวแทนของผู้แข็งแกร่ง และเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของจริงหากไม่นำเขาและเพื่อนๆ ของเขา

“ฉันชื่อซูยอน นายคือผู้นำของเพื่อนๆ ตรงนั้นใช่ไหม?”

“หัวหน้า?”

ใบหน้าของซังจินแดงก่ำไปชั่วครู่จากคำพูดของชายอายุราวๆ 30 ปี จากนั้นจึงเอ่ยตอบอย่างอายๆ

“เราเป็นเพื่อนกัน แต่ เอิ่มมม แต่ตอนนี้พวกเขาก็เชื่อฟังฉันดี”

“โฮ่ ดีเลย”

ขณะที่ซูยอนชูนิ้วโป้งให้เขา ซังจินก็หัวเราะเบาๆ อย่างมีความสุข

ซูยอนหัวเราะกับท่าทางของซังจินก่อนจะเอ่ยต่อ

“ถ้าอย่างนั้นนายเป็นเพื่อนกับคนที่ชื่อฮันซูตรงนั้นด้วยใช่ไหม?”

ซังจินครุ่นคิดไปชั่วครู่ก่อนจะผงกศีรษะ

“แน่นอน”

‘เราเป็นเพื่อนกัน ใช่ เพื่อน’

ซูยอนที่ยืนยันถึงตอนนี้ ได้มีสีหน้าพึงพอใจขณะที่เขาเอ่ยปากพูด

“ใช่มะ? งั้นฉันมีข้อเสนอให้นาย เราจะคุยกันหน่อยได้ไหม?”

เขาเอ่ยขณะที่ลอบเหลือบตามองไปยังฮันซูที่เดินไปยังแท่นบูชา

ซังจินครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แต่ก็ตามอีกฝ่ายไปในไม่ช้าหลังจากที่ผงกศีรษะ

 


TL: แง ซังจินอ่า ทำไมรู้สึกได้ถึงความยันเล็กๆ 5555555

 

ติดตามข่าวสารที่รวดเร็วกว่าได้ทาง Facebook: Netear.ST นะคะ