บทที่ 159: เลือกเครื่องสังเวย (3)

 

 

 

ป้อมปราการของดาคิดัส ผู้รวบรวม อาทิลาน

ดาคิดัสขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะที่นั่งอยู่ในห้องควบคุม

“หืม… ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเพราะอะไรก็ไม่รู้”

กร๊อบ กร๊อบ

“อ๊ากกกก…”

เมื่อรู้สึกเครียด ก็ควรจะกิน

มือของดาคิดัสยื่นไปยังตู้เก็บขนมสีใสที่อยู่ข้างๆ เขา

จากนั้นปากที่กว้างสี่เมตรของเขาก็อ้าออกขณะที่เขาเริ่มกินมนุษย์ที่อยู่ด้านในกล่องนั้น

กร๊อบ กร๊อบ

“อ๊ากกกกก!”

ห้องควบคุมเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องในเสี้ยววินาที

และบนร่างของมนุษย์เหล่านี้ทุกคนล้วนเต็มไปด้วยสกิลจำนวนมาก สกิลป้องกันที่แข็งแกร่ง

มันไม่มีการกักขังหรือควบคุมใดๆ บนร่างของมนุษย์ที่ดาคิดัสกำลังเคี้ยวอยู่

พวกเขาล้วนเป็นมนุษย์ที่เพิ่งจะถูกนำมา

“ไอ้สัตว์สารเลวนี่!”

ถ้าพวกเขาสามารถใช้สกิลป้องกันได้ พวกเขาเองก็ย่อมสามารถใช้สกิลโจมตีได้เช่นกัน

เมื่อมนุษย์ที่ถูกจับอยู่ในกล่องใสถูกหยิบออกมาโดยมือของดาคิดัส พวกเขาก็ล้วนกัดฟันกรอดและเริ่มใช้สกิลออกไป

ลำแสงสีดำได้ปรากฏขึ้นจากมือของนักผจญภัยคนหนึ่งในมือของดาคิดัสและโจมตีไปยังดวงตาของดาคิดัส

จากนั้นการระเบิดครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้น

ตูมมมมมม!

ทั่วทั้งห้องที่ดาคิดัสอยู่ที่มีกระจกใสได้เริ่มสั่นสะท้านจากการโจมตีนั้น

น่าประหลาดใจ สกิลที่มีพลังใกล้เคียงกับลำแสงห้าเท่าของคาร์ฮาลได้ปรากฏขึ้นจากมนุษย์คนหนึ่งที่เป็นเพียงแค่ขนม

แต่แน่นอนว่าคนเหล่านี้ล้วนถูกจับในขณะที่พวกเขากำลังเดินทางอยู่ในถนนสีเขียว

พวกเขาแข็งแกร่งกว่าพวกที่ทำตัวเหมือนราชาอยู่ในเขตพักรบเล็กๆ พวกนั้น

“กรรร… สัตว์งั้นเหรอ ไม่ใช่ว่ามันจะตรงไปหน่อยรึไง?”

เสียงคำรามคล้ายสัตว์ป่าดังขึ้นจากปากของดาคิดัส ราวกับว่าเขาไม่อาจปิดกั้นสัญชาตญาณสัตว์ป่าของตัวเองได้

ทว่านักผจญภัยได้ตกลงสู่ความสิ้นหวังเมื่อเขาได้ยินเสียงนั้น

เขาสามารถได้ยินความเหยียดหยามที่ปะปนอยู่ในนั้นได้อย่างชัดเจน

“บัดซบเอ้ย…”

บาเรียสีฟ้าได้ล้อมรอบร่างของมนุษย์หมาป่าเอาไว้

จากมงกุฎที่ถูกสวมอยู่บนศีรษะของมนุษย์หมาป่า ครอบคลุมไปทั่วทั้งร่าง บาเรียสีฟ้านั่นได้ป้องกันดาคิดัสได้อย่างดีเยี่ยม

“ฉันได้ยินมาว่าพวกนายค่อนข้างจะฉลาด นายไม่รู้เหรอว่าการถูกเคี้ยวไปเฉยๆ มันสบายกว่ามาก?”

“อ่า…”

นักผจญภัยเต็มไปด้วยความหวาดกลัวในทันที

ดาคิดัสโยนมนุษย์เข้าไปในปากและเริ่มเคี้ยว

“อุก อ๊ากกกกก!”

ตูมมม!

ตูมมมม!

ระเบิดและลำแสงได้ปรากฏขึ้นจากปากของดาคิดัส

ทว่าดาคิดัสเมินความพยายามครั้งสุดท้ายของคนคนหนึ่งและเคี้ยวขนมของเขาไปทั่วปากให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนที่จะค่อยๆ กินเขาลงไปอย่างช้าๆ

ด้านในปากของเขาเองก็ถูกป้องกันโดยบาเรียสีฟ้าเช่นกัน

ไม่สิ การขัดขืนแบบนี้เองก็ค่อนข้างน่าสนุก

‘อาหารหลักไม่ได้น่ากินเลย’

ดาคิดัสชอบขนมเพราะความรู้สึกเหล่านี้

ในเมื่อพวกมันดิ้นรนอยู่ในปากของเขา

กร๊อบ กร๊อบ…

เมื่อการขัดขืนในปากของเขาได้หยุดลงอย่างเชื่องช้า ดาคิดัสก็แสดงสีหน้าเบื่อหน่ายออกมา กลืนขนมลงไป จากนั้นจึงมองไปยังพื้นที่ชายขอบที่อยู่ห่างออกไปขณะที่เลียปาก

จากนั้นจึงคิดถึงประสาทสัมผัสที่หกที่รบกวนเขาเมื่อสองสามวันก่อนขณะที่แสดงสีหน้าไม่สบายใจออกมา

เผ่าพันธุ์ชั้นสูง อารูคอน

ถ้าเขาไม่สนใจเผ่าพันธุ์ชั้นสูงอีกสองเผ่าที่มีดินแดนติดกัน งั้นเขาก็คงจะสามารถบอกได้ว่ามันไม่ควรมีเหตุผลไหนในการทำให้ประสาทสัมผัสที่หกนี้ตื่นตัวขึ้นมา ในเมื่อมนุษย์เป็นแค่ปศุสัตว์เท่านั้น

แต่ทำไมมันถึงตื่นตัว?

หน้าที่ของเขาคือการจัดการฟาร์มที่อยู่ในพื้นที่ใกล้ๆ นี้ที่เลี้ยงพวกปศุสัตว์พวกนี้เอาไว้

‘อืม มันดูเหมือนว่าเจ้าพวกนี้จะเรียกมันว่าพื้นที่พักรบ’

ดาคิดัสแสดงสีหน้าขบขันออกมา

เขาสามารถกินมนุษย์ได้อย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่ต้องทำอะไรด้วยตัวเองเลย

ถ้ามันไม่ใช่ฟาร์ม แล้วมันจะเรียกว่าอะไรกัน?

ดาคิดัสนึกขณะที่คิดถึงฟาร์ม แต่จากนั้นก็ทำเพียงผงกศีรษะ

‘ฉันควรจะไปเร็วกว่าปกติสักหน่อย’

แม้ว่าจะไม่มีประสาทสัมผัสที่มารบกวนเมื่อสองสามวันก่อน การไปเร็วขึ้นนิดหน่อยเพื่อดูเหตุการณ์เองก็เป็นสิ่งที่เขาทำค่อนข้างบ่อย

ในเมื่อการดูกระบวนการโหวตที่เจ้าพวกนั้นมีมันค่อนข้างสนุก

และช่วงสุดท้ายเองก็มักจะสร้างเหตุการณ์ที่ค่อนข้างสนุกขึ้น

‘เกมก็ไม่เลว’

ในตอนที่ดาคิดัสคิดนั้นเอง

กิ้งงง…

ห้องควบคุมทั้งห้องได้ส่องประกายสีฟ้าสว่าง

ในเวลาเดียวกัน มานาปริมาณมหาศาลก็ได้เริ่มออกมาจากร่างของดาคิดัสที่มีมงกุฎสีฟ้าอยู่บนศีรษะ

คว้างงงง

มานาที่ออกมาจากร่างของดาคิดัสเริ่มที่จะแพร่กระจายออกไปทุกทิศทาง

ในตอนนั้นเอง…

กึ่งงงงง

ห้องควบคุมที่ดาคิดัสนั่งอยู่ก็เริ่มสั่นสะท้านอย่างรุนแรง

 

 

 

ฮันซูผงกศีรษะขณะที่เขามองไปยังคนจำนวนมากที่โอบล้อมเขาอยู่

ถ้าเขาสามารถใช้สิ่งนี้ในการเร่งกระบวนการเตรียมการ งั้นมันก็จะดีมาก

‘ฉันควรจะเสริมพลังหยกผนึกขึ้นอีกหน่อย’

วัตถุดิบหลักคือหยกผนึก

แต่เพื่อที่จะสร้างความเสียหายรุนแรงให้กับผู้รวบรวม ดาคิดัส หยกผนึกแค่อย่างเดียวยังไม่พอ

ในเมื่อแม้ว่าหยกผนึกจะมีพลังมหาศาล มันก็ไม่ได้ไร้เทียมทาน

ถ้าหยกผนึกไม่มีขีดจำกัด งั้นทำไมนักปราชญ์ถึงพ่ายแพ้ในสงครามกับพวกเผ่าพันธุ์ชั้นสูงด้วย?

นี่คือสาเหตุที่ทำให้เขาต้องเตรียมตัว และต้องเสริมพลังของหยกผนึกขึ้นไปอีก

นักวิจัยในอดีตได้ค้นพบวิธีการในการเสริมพลังหยกผนึกโดยการใช้วัสดุที่หาได้ในพื้นที่พักรบ

‘ไหนดูสิ… มันมีวัสดุสำคัญทั้งหมดแปดชิ้น’

ไอเทมพวกนี้ไม่ใช่อะไรที่เขาจะสามารถหาได้ในเวลาสั้นๆ จากการแลกเปลี่ยนสิ่งที่เขามีอย่างแน่นอน

แต่มันไม่ใช่ปัญหามากนัก

หลังจากที่ตรวจสอบตลาดรอบๆ เมือง

ทุกอย่างที่เขาต้องการได้ถูกเตรียมไว้ในร้านค้าที่การ์ดดำเนินการอยู่

‘แน่นอนว่าเจ้าพวกนั้นต้องมีอยู่แล้ว’

วัสดุสำคัญที่เขาต้องการก็เป็นของที่ค่อนข้างล้ำค่าภายในหมู่บ้านเช่นกัน ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงมักจะมีบางส่วนกักตุนเอาไว้เสมอ

มันมีปัญหาแค่อย่างเดียว

เขาซื้อพวกมันไม่ได้

‘ฉันไม่มีเงิน’

ฮันซูเดาะลิ้น

เพื่อที่จะทำให้ทุกอย่างในโลกนี้ยุติธรรม คะแนนได้ถูกมอบให้กับผู้ที่มีส่วนช่วยเหลือหมู่บ้านและสามารถใช้ในการซื้อหรือยืมของจากหมู่บ้านได้

แน่นอนว่าสถานการณ์ที่ดีที่สุดคือการที่พวกเขามอบของที่ดีที่สุดให้คนอื่นๆ และให้พวกเขาต่อสู้เพื่อหมู่บ้าน แต่เหตุการณ์ในอุดมคติแบบนั้นไม่เคยเกิดขึ้น

เพราะความวุ่นวายจะเกิดขึ้นเมื่อทุกคนพยายามจะครอบครองของที่ดีที่สุด

และระบบคะแนนนี้เป็นบางอย่างที่จะทั้งกระตุ้นนักล่าและมอบพลังให้กับชาวนา

ทว่าฮันซูแทบจะไม่มีคะแนนเลย

เขาจะไปมีคะแนนได้ยังไงในเมื่อเขาเพิ่งมาถึงหมู่บ้าน?

และการขโมยก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่

ขโมยจากร้านค้าที่มีเจ้าของเป็นการ์ดก็เหมือนกับการท้าทายพวกนั้นตรงๆ

‘แต่คนพวกนี้จะเป็นแบบนั้นรึเปล่า?’

ตอนแรกเขาคิดจะปะทะกับพวกการ์ดเพื่อที่จะหาทางครอบครองวัตถุดิบพวกนั้นจากร้านค้า แต่มันไม่มีความจำเป็นให้ทำแบบนั้นอีกต่อไปเพราะเรื่องนี้

ฮันซูสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะตะโกนออกไป “เขาอารูมัง! พิษเอลลัม! หนังอคาริม! และ…”

ทุกคนแสดงสีหน้างุนงงออกมาจากเสียงตะโกนที่ออกมาจากปากของฮันซู

‘ทำไมเขาถึงพูดชื่อของหายากพวกนั้นออกมา…’

ของที่ฮันซูเพิ่งจะเอ่ยออกไปล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาจะสามารถซื้อได้ก็ต่อเมื่อใช้คะแนนจำนวนมากแลกมา

ตัวอย่างเช่นเขาอารูมัง มันเป็นสิ่งที่จะสามารถปกปิดตัวตนของนักผจญภัยได้อย่างมากเพียงแค่พกพาเอาไว้

มันแพงมากในเมื่อมันคือสิ่งที่จะทำให้คนสามารถหลบเลี่ยงจากประสาทสัมผัสของสัตว์อสูรไปได้

หนังอคาริมจะมอบค่าต้านทานเวทมนต์มหาศาลให้ถ้าวางมันไปบนเกราะ และพิษของเอลลัมนั้นคือพิษระดับสูงที่ใช้ได้ผลกับกระทั่งสัตว์อสูรขั้นห้า

ทำไมเขาถึงได้พูดชื่อของพวกนั้นออกมากัน

‘ชิ ฉันอาจจะซื้อได้สักอันถ้าฉันใช้คะแนนทั้งหมด’

ในขณะที่ชายที่กำลังพูดกับอัลแตร์อยู่พึมพำอยู่ในใจขณะที่เขาคิดถึงคะแนนที่เขามี

ฮันซูก็ตะโกนประโยคสุดท้ายออกไปหลังจากที่เอ่ยชื่อวัตถุดิบทั้งแปดออกไป

“ฉันจะให้โหวตกับคนที่เอาของแปดอย่างที่ฉันเพิ่งตะโกนไปมาให้! โอ้ สองชิ้นสำหรับเขาอารูมังและหนังอคาริม!”

เสียงตะโกนของฮันซูดังก้องไปทั่วทุกทิศทาง

“หือ?”

ในขณะที่คนบางส่วนชะงักไปอย่างงุนงง

“ฮึบบบ!”

ตึกตึกตึกตึกตึก

ทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น คนที่อยู่ริมนอกสุดก็รีบเคลื่อนไหว

มันเหมือนกับดอกไม้ไฟ

ภาพที่คนหลายสิบพลันวิ่งตรงไปยังหมู่บ้าน

“หืม?”

ในที่สุดคนที่คิดช้าหน่อยก็อุทานออกมาเช่นกันและวิ่งตรงไปยังตลาด

‘บ้าเอ้ย ความสงสัยของฉันทำให้ฉันช้าลง!’

ชายที่กำลังพูดอยู่กับอัลแตร์เริ่มวิ่งออกไปพร้อมกับกัดฟันแน่น

มันจะสำคัญตรงไหนว่าฮันซูจะอยากได้ของพวกนั้นไปทำไมหรือเขาจะใช้มันยังไง?

พวกเขามีคะแนน

และตราบเท่าที่พวกเขาสามารถเอาของพวกนั้นไปให้หมอนั่นได้ พวกเขาก็จะสามารถได้โหวตนั่นได้

แล้วจะต้องการอะไรอีก?

‘ถึงมันจะค่อนข้างแพงไปหน่อย…’

ใช้คะแนนทั้งหมดที่พวกเขามียังคงดีกว่าการถูกลากไปเป็นเครื่องสังเวย

ชายคนนั้นเหลือบมองไปยังด้านหลังของเขาและแย้มยิ้ม

‘อืม มันชัดเจนแล้วว่าตอนนี้ใครอยู่นอกวง’

ชายคนนั้นก็ค่อนข้างจะกระวนกระวายเช่นกัน

การเป็นคนรู้จักบางครั้งมันก็น่ากลัวมาก

ถ้าหากความสัมพันธ์ระหว่างฮันซูกับพวกเด็กใหม่นั่นแน่นแฟ้นกว่านี้ล่ะ?

โดยไม่ต้องคิด สิบโหวตนั่นจะกลายเป็นของคนพวกนั้น

แต่มันดูเหมือนว่าฮันซูจะมีมาตรฐานที่ชัดเจน

ทำไมเขาจะต้องมอบโหวตพวกนั้นให้เด็กใหม่ที่เป็นแค่ขอทานด้วย?

‘ดี ดี’

เหล่านักผจญภัยใช้สกิลจำนวนมากและถลาตรงไปยังตลาด

และเมื่อทุกคนหายไป แมคคิลและอัลแตร์ผู้ที่มาช้าก็แสดงสีหน้าสิ้นหวังออกมาเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของฮันซู

คะแนน

ทั้งแมคคิลที่ถูกจับอยู่ในฟาร์มมนุษย์และเพิ่งมาถึงหมู่บ้านและอัลแตร์ คนมาใหม่ล้วนไม่มีคะแนน

สีหน้าของแมคคิลบิดเบี้ยวอย่างหนัก ในเมื่อเธอตระหนักได้ว่ามันไม่มีทางไหนให้เธอหลบเลี่ยงมันไปได้อีก

แมคคิลที่เหม่อมองด้วยสีหน้าว่างเปล่าพลันกัดฟันกรอดขณะที่มองไปยังนักล่าและการ์ด รวมทั้งคาริม หัวหน้าการ์ด แล้วจึงมองไปยังเอคิดู

จากนั้นเธอจึงตะโกนขึ้นเสียงดัง

“ฉันคิดว่าฉันเพิ่งจะหนีออกจากฟาร์มมาได้ แต่ดูเหมือนว่าที่นี่ก็เป็นฟาร์มเหมือนกัน!”

เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของเธอ นักล่าที่กำลังเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ก็แสดงสีหน้าขบขันออกมา

และแมคคิลที่รู้สึกโกรธแค้นขึ้นอีกครั้งจากสีหน้าเหล่านั้นก็ตะโกนขึ้นอีกครั้ง

“บ้าเอ้ย! ฉันไม่รู้หรอกว่าใครเอาตัวเครื่องสังเวยพวกนั้นไป แต่พวกแกไม่ละอายใจหน่อยรึไง?! มีชีวิตอยู่แบบนี้ทั้งๆ ที่แข็งแกร่งแบบนั้น! ไม่ใช่ว่าพวกแกควรจะพยายามสู้กับพวกมันด้วยความแข็งแกร่งที่มีหน่อยรึไง!?”

ความแข็งแกร่งของคนเหล่านั้นไม่อาจเทียบกับเธอได้

และมันมีคนแบบนั้นอยู่จำนวนมาก

แต่การที่พวกนั้นทำตัวแบบนี้… ขายเผ่าพันธุ์ของตัวเองแบบนี้

ในตอนนั้นเอง

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

“อุฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

เสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยามได้ดังขึ้นรอบตัวเธอ

จากนักล่าที่เฝ้ามองจากด้านบน จนถึงเหล่าชาวนาที่ได้ครอบครองโหวตครบแล้ว

ในขณะที่แมคคิลขมวดคิ้วกับภาพนั้น คาร์ฮาลที่เดินตามแมคคิลมาถึงตรงนี้ก็เอ่ยขึ้นกับเธอ

“ฉันเดาว่าเธอคงยังไม่เห็นพวกนั้น พวกผู้รวบรวม”

“…อะไรนะ?”

ในตอนที่แมคคิลเอ่ยตอบนั่นเอง

คว้างงงงง…

ทุกอย่างรวมทั้งท้องฟ้าและพื้นดินเริ่มที่จะสั่นสะท้าน

ราวกับว่าบางอย่างที่สร้างคลื่นลูกยักษ์กำลังเจ้ามาใกล้พวกเขา

ในตอนที่แมคคิลกำลังตื่นตะลึงจากแรงสั่นสะเทือนที่ทรงพลัง คาร์ฮาลก็แสดงสีหน้าขมขื่นออกมา

“ฉันเดาว่าพวกนั้นคงไม่มีมารยาทเท่าไหร่เพราะพวกมันเป็นแค่สัตว์ อืม จะยังไงก็เถอะ มันเป็นเรื่องดีสำหรับเธอนะ ดูสิ พวกนั้นคือสิ่งที่เธอกำลังบอกให้เราไปสู้ด้วย”

จากนั้นคาร์ฮาลจึงชี้ไปยังบนท้องฟ้า

วินาทีที่แมคคิลมองไปยังตำแหน่งที่คาร์ฮาลชี้ไป เธอก็แทบจะไม่เชื่อสายตาตนเอง

มันไม่ใช่อะไรที่เธอควรจะเห็นในสถานที่แบบนี้

“โอ้พระเจ้า…”

ครึ่ก ครึ่ก ครึ่กกก…

ปราสาทสีทองกลางท้องฟ้าที่เมื่อเทียบกับหมู่บ้านไม้เล็กๆ ด้านล่างแล้วยิ่งทำให้มันดูเปล่งประกายมากกว่าเดิม

และมันไม่ได้มีไว้แค่ดู

มานาปริมาณมหาศาลได้แพร่กระจายออกมาจากปราสาทสีทองนั้น

แม้ว่าจะอยู่ห่างจากมันหลายกิโลเมตร มันก็ยังคงทำให้ทั่วทั้งร่างของพวกเธอรู้สึกราวกับถูกเข็มทิ่ม

คาร์ฮาลพึมพำขณะที่เขามองไปยังป้อมปราการดาวเทียมของผู้รวบรวม

“เป็นภาพที่ไม่เลวใช่ไหมล่ะ? ไม่ใช่ว่ามันเหมือนกำลังเห็นเอเลี่ยนจากเมื่อยุคก่อนเหรอ? จะยังไงก็เถอะ ครั้งนี้มันมาค่อนข้างเร็วเลย บ้าเอ้ย…”

“หืมม?”

แมคคิลมองไปยังคาร์ฮาลด้วยสีหน้างุนงงในเมื่อสีหน้าของอีกฝ่ายค่อนข้างย่ำแย่

สีหน้าของนักล่าคนอื่นๆ เองก็เต็มไปด้วยความกระวนกระวายเช่นกัน

แมคคิลไม่อาจอดกลั้นความอยากรู้ของเธอเอาไว้ได้ขณะที่เธอเอ่ยถามขึ้น

“ทำไมพวกแกจะต้องร้อนรนด้วยล่ะ? พวกแกไม่มีอะไรเกี่ยวกับการโหวตซะหน่อย”

และจากนั้นฮันซูที่ปรากฏตัวขึ้นข้างๆ พวกเธอจึงเอ่ยขึ้นขณะที่แหงนหน้ามองปราสาทยักษ์นั้น

“นั่นคือกฎที่ถูกตั้งขึ้นโดยมนุษย์”

“อะไรนะ?”

“ฉันกำลังบอกว่าพวกนั้นไม่จำเป็นต้องเคารพกฎนั่น”

คาร์ฮาลเอ่ยเสริมขึ้นจากประโยคของฮันซู

“ฉันจะพูดง่ายๆ นิสัยของพวกนั้นมันเหมือนกับ… แฟรี่”

“… ฉันรู้แล้ว”

แมคคิลพึมพำขณะที่เธอมองไปยังมนุษย์หมาป่าตัวยักษ์ที่ลอยลงมาจากปราสาทโดยที่มีแสงสีฟ้าโอบล้อมเอาไว้

ในเมื่อสีหน้าบนใบหน้าของมันให้ความรู้สึกคุ้นเคยมากเกินไป

มันเหมือนกับสีหน้าของพวกแฟรี่

‘บ้าเอ้ย… ครั้งนี้แค่มองแล้วก็ไสหัวไปก็พอ! ได้โปรด! อย่างน้อยแฟรี่ก็ยังดูน่ารัก…’

ถ้าเจ้าหมอนั่นชื่นชอบในบางอย่าง งั้นกระทั่งพวกเขา นักล่า ก็ไม่ปลอดภัย

คาร์ฮาลกลืนน้ำลายลงคอขณะที่เขามองไปยังมนุษย์หมาป่าหน้าตาน่าเกลียด

 

 


TL: คิดถึงแฟรี่กันขึ้นมาเลยทีเดียว