บทที่ 157: เลือกเครื่องสังเวย (1)

 

 

 

“อึก…”

คาร์ฮาลครางออกมาอย่างหดหู่ขณะที่เขาตรวจสอบรอบกายหลังจากที่ร่างกายถูกกระทืบยับ

‘… ทุกคนถูกจับได้หมดงั้นเหรอ’

ดูเหมือนว่าพวกเขาทุกคนจะถูกจับในระหว่างที่เขาหมดสติไป

ชาวนากำลังมองพวกเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น

‘หืมม… ดูเหมือนว่าบางส่วนจะตายไปแล้ว’

ดูเหมือนว่าเครอน เอไทนอล และคนอื่นๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฟาร์มมนุษย์นี้จะถูกฆ่าไปแล้ว

และคนอย่างเซบาสเตียนนี่ที่ไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี่มากนักเพียงแค่ถูกมัดเอาไว้

แม้ว่าเธอจะถูกกระทืบไปเล็กน้อย

‘พวกแกไม่ควรล้ำเส้น เครอน เอไทนอล ไอ้พวกโง่เอ้ย’

เขาไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะพูดแบบนี้ แต่ว่ามันเป็นความจริง

ไม่ใช่ว่าเขาที่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับฟาร์มแม้แต่น้อยยังคงมีชีวิตอยู่หรือ?

พวกที่ทำเกินไปถูกฆ่า แต่มันดูเหมือนว่าคนพวกนั้นจะยังไม่ได้ว่าจะจัดการกับเขาและคนอื่นๆ แบบเขาอย่างไร

‘งั้นมันก็ยังพอมีความหวังอยู่’

แม้ว่าชีวิตของพวกพ้องของเขาจะถูกเอาไปแล้ว คาร์ฮาลก็ไม่ได้แสดงสีหน้ากระวนกระวายออกมาแม้แต่น้อย

ในเมื่อมันยังไม่ใช่จุดจบ

“เฮ้ เอาน่า ฟังฉันสักหน่อย”

แมคคิลขยับดาบไปใกล้ลำคอของคาร์ฮาลมากขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายเอ่ยออกมาด้วยท่าทีสบายๆ

“งั้นอย่างน้อยฉันจะฟังคำพูดสุดท้ายของแกแล้วกัน”

คาร์ฮาลที่ถูกกระทืบจนยับเยินเอ่ยความคิดของเขาออกไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ตัดสินใจว่าจะทำอะไรหลังจากที่ฟังฉันเถอะ ตอนนี้พวกเธอจะทำอะไรต่อไปล่ะ?”

ทุกคนชะงักไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น

ในเมื่อพวกเธอไม่ได้คิดไปไกลถึงขนาดนั้นเพราะว่ากำลังโกรธแค้นจากเหตุการณ์ก่อนหน้าอย่างมาก

เอคิเลนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“ไอ้หมู่บ้านเวรนั่น…”

ทว่าคาร์ฮาลเอ่ยขัดขึ้น

“พวกเธอจะออกจากหมู่บ้านไปกันหมดนี่เลยเหรอ? แล้วนายล่ะฮันซู? นายจะฝ่าถนนสีเขียวไปกับคนพวกนี้เหรอ?”

เหล่าชาวนาชะงักไปเมื่อได้ยินคำพูดของคาร์ฮาล

ถนนสีเขียว

ถนนที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูรขั้นหนึ่งและสองที่เป็นอันตรายต่อหมู่บ้าน

การฝ่าถนนนี้ไปด้วยความสามารถในตอนนี้ของพวกเธอคือการฆ่าตัวตาย

คาร์ฮาลเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าหนักอึ้งขณะที่มองไปยังเหล่าชาวนา

ในเมื่อมันไม่มีความจำเป็นในการยั่วโมโหอีกฝ่ายไปมากกว่านี้ด้วยการเยาะเย้ยคนเหล่านั้น

ชีวิตของเขายังอยู่ในกำมือของพวกนั้น

“หมู่บ้านคือสถานที่ที่คนอย่างพวกเธอต้องการ พวกเธอคิดว่าจะมีชีวิตรอดได้นานแค่ไหนถ้าไม่มีหมู่บ้าน? หมู่บ้านถามพวกเธอก่อนที่จะพาพวกเธอเข้าไปแล้ว ว่าพวกเธอพร้อมจะเสียสละความเป็นมนุษย์สักหน่อยเพื่อความอยู่รอดหรือไม่ มันบังคับให้พวกเธอเข้าร่วมรึไง?”

“…”

ทุกคนขมวดคิ้ว ทว่าไม่ได้เถียงคำพูดเหล่านั้น

ในเมื่อมันไม่ได้ผิด

คาร์ฮาลเอ่ยต่อ

“โดยปกติแล้ว พวกเธอก็แค่ทำผิดกฎของหมู่บ้านอย่างทื่อๆ พวกเราอาจจะทำหน้าที่ของพวกเราไม่ได้ดีนัก แต่อย่างน้อยพวกเราก็มีประโยชน์ แล้วพวกเธอจะทำอะไรกับหมู่บ้านล่ะ? ฆ่าพวกเราทุกคนที่เข้ามาในพื้นที่ต้องห้ามแล้วทรมานพวกเธอ? พวกเธอเคยคิดไหมว่าพื้นที่หนึ่งจะวุ่นวายแค่ไหนถ้าไม่มีพวกเรา และชาวนามากแค่ไหนจะต้องตายเพราะแบบนั้น? พวกเธอจะต้านสัตว์อสูรพวกนั้นทั้งหมดด้วยตัวเองรึไง?”

จากนั้นคาร์ฮาลจึงมองไปยังลูกแก้วสีดำในมือของฮันซู

มันปิดกั้นมานา

เป็นผลที่อันตราอย่างมาก

แต่มันไร้ประโยชน์ต่อพวกสัตว์อสูร

ในเมื่อพวกสัตว์อสูรจะฉีกกระชากร่างของพวกเขาเป็นชิ้นๆ ได้ด้วยแค่ความสามารถทางกายภาพของพวกมัน

แม้ว่าฮันซูอาจจะสามารถเอาชนะพวกมันได้ เขาก็คงจะไม่อาจล่าพวกมันไปได้ดีกว่าพวกเขาเท่าไหร่

คาร์ฮาลเอ่ยขึ้นขณะที่เขามองไปยังชาวนาที่กำลังกระวนกะวายมากขึ้นเรื่อยๆ

นี่คือโอกาสสุดท้าย

เขาต้องใจเย็นเข้าไว้

คาร์ฮาลเอ่ยอย่างใจเย็น

“ทิ้งทุกอย่างไว้ที่นี่เถอะ ถ้าพวกเธอกลับไปที่หมู่บ้านแยกกับพวกเรา มันก็จะถูกแก้ไข ถ้าพวกเราโยนความผิดทุกอย่างให้กับพวกที่ตาย  งั้นมันก็จะจบลงอย่างเงียบๆ สมบูรณ์แบบใช่ไหมล่ะ? วันนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น โอ้ เดี๋ยว! มีบางอย่างเกิดขึ้น ในเมื่อเราได้กำจัดพวกเสียสติออกจากพื้นที่หนึ่งและช่วยพวกเธอเอาไว้”

แมคคิลขมวดคิ้วขณะที่เอ่ยขึ้น

“พวกเราจะเชื่อใจพวกแกได้ยังไง? ถ้าพวกแกทำอะไรพวกเราหลังจากที่กลับไปที่หมู่บ้านแล้วล่ะ?”

คาร์ฮาลหัวเราะเมื่อได้ยินคำพูดของแมคคิล

“ไม่ใช่ว่าพวกเธอกำจุดอ่อนของพวกเราเอาไว้อยู่เหรอ? พวกเธอก็แค่ต้องบอกทุกอย่างกับเอคิดูถ้ามีอะไรผิดปกติ เราคงจะไม่ตาย แต่… สัตว์อสูรขั้นหนึ่งกับสองก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับเราในการรับมืออยู่ดี มันไม่มีเหตุผลอะไรให้พวกเราเสี่ยงกับการแค่สร้างเรื่องไม่พอใจให้พวกเธอเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย พวกเรา นักล่าของพื้นที่หนึ่งและกำลังจะออกจากหมู่บ้านไปในอีกไม่กี่เดือน มันไม่มีเหตุผลให้ทำให้สถานการณ์แย่ลงสักหน่อย”

“บ้าเอ้ย”

แมคคิลขมวดคิ้วก่อนจะสบถออกมา

ในเมื่อคำพูดพวกนั้นถูกต้อง แม้ว่ามันจะทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดก็ตาม

พวกนักล่าจะไม่ตายจากการที่พวกเธอบอกทุกอย่างกับเอคิดู

ในเมื่อหมู่บ้านย่อมไม่กล้าฆ่านักล่าของพื้นที่หนึ่งที่เหลือ

ไม่สิ มันจะมีข้อจำกัดน้อยลงสำหรับพวกที่รับผิดชอบพื้นที่หนึ่งด้วยซ้ำ

ในเมื่อปัญหาจะเลวร้ายลงถ้าพวกเธอฆ่าคนทั้งหมดที่รับผิดชอบพื้นที่หนึ่ง

แต่นี่เป็นสาเหตุให้มันเป็นสถานการณ์ที่ปลอดภัยสำหรับทั้งสองฝ่าย

ถ้านักล่าจะตายเพราะการที่ชาวนาไปบอกเรื่องที่พวกเขาทำ งั้นพวกนั้นก็คงทำทุกวิถีทางในการกำจัดชาวนาที่จะเป็นอันตรายกับพวกเขาหลังจากที่ไปถึงหมู่บ้าน

แมคคิลเหลือบมองไปยังฮันซู

“เราจะทำยังไงดี…?”

ฮันซูยักไหล่ก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ทำไมเธอถึงถามฉันเรื่องนั้นล่ะ?”

“…”

“ฉันมีอำนาจอะไรในการตัดสินใจเรื่องนั้น? มันอยู่ในมือของเธอทั้งหมดนั่นแหละ”

เขาทำเป้าหมายของเขาสำเร็จแล้ว

และพวกที่ทรมานคือแมคคิลและคนของเธอ

ถ้าชาวนาสามารถให้อภัยนักล่าได้ งั้นมันก็จะจบลง แต่ถ้าพวกเธอไม่อาจทำได้ งั้นพวกนักล่าก็จะแค่ตายกันหมด

ในเมื่อมันไม่ได้มีเส้นทางที่แน่นอนสำหรับผลลัพธ์ที่เหมาะสม

“…ฟิ้ว”

แมคคิลหันหลังกลับไปเพื่อรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นๆ

‘ถึงคำตอบจะถูกกำหนดเอาไว้ก่อนแล้ว’

มันไม่ใช่ข้อเสนอที่เลวร้าย

พวกเธอได้ฆ่าพวกที่พวกเธอต้องการจะฆ่าจริงๆ ไปแล้วอยู่ดี

และอย่างที่เธอคาดเอาไว้ คนอื่นๆ กำลังแสดงสีหน้ากระวนกระวายออกมาขณะที่ผงกศีรษะ

ในเมื่อพวกเธอไม่มีวิธีการอื่นที่จะแก้ไขมันแล้วจริงๆ

คาร์ฮาลหัวเราะขณะที่เขามองไปยังแมคคิล

“งั้นก็ช่วยปลดผนึกมานาด้วย ตอนนี้เราอยู่ฝ่ายเดียวกันแล้วใช่ไหม? ยังไงพวกเธอก็ผนึกมันได้ทันทีที่ต้องการอยู่แล้ว”

แมคคิลถอนหายใจยาวก่อนจะผงกศีรษะ

“โอเค ฮันซู ช่วยหน่อยได้ไหม?”

จากนั้นฮันซูจึงปิดหยกสีดำในมือของเขา

กิ้งงงง

หยกหยุดทำงานในทันที

ในเวลาเดียวกัน มานาในร่างของพวกเขาที่ไม่ยอมกระดิกแม้แต่น้อยก็เริ่มเคลื่อนไหว

‘ฉันยังใช้มันตามต้องการไม่ได้อยู่ดี มันมีกฎที่ถูกจำกัดเอาไว้’

อย่างน้อยที่สุด เขาก็ไม่อาจเปลี่ยนให้บริเวณโดยรอบกลายเป็นพื้นที่ไร้มานาได้ตามที่ต้องการ

‘… ฉันควรจะใช้มันตอนที่ผู้รวบรวมมา’

เขารู้ว่าเขาไม่ควรใช้มันจนกว่าจะถึงตอนนั้น

ในขณะที่ฮันซูกำลังสังเกตหยกสีดำนั้นอยู่

คาร์ฮาลแสดงสหน้าพึงพอใจออกมากับมานาที่กลับมาเติมเต็มร่างกายของเขาก่อนจะลุกขึ้นยืน

พร้อมกับนักล่าคนอื่นๆ

‘บ้าเอ้ย นี่มันเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องจริงๆ เหรอ?’

กลิ่นอายที่พวกเขาไม่อาจเทียบเคียงได้

ขณะที่ชาวนากำลังรู้สึกกระวนกระวายขณะมองไปยังนักล่าเหล่านั้น คาร์ฮาลจึงมองไปยังนักล่าด้านหลังเขาและตะโกนออกไป

“โอเค ในเมื่อพวกเรามีคน 30 คน… พาไปคนล่ะ 7 คน”

“… พาอะไรนะ?”

เมื่อได้ยินคำถามของแมคคิลที่รู้สึกกังวลเล็กน้อยจากความแข็งแกร่งของพวกเขาที่เธอได้เห็นก่อนหน้า คาร์ฮาลก็ทำเพียงแย้มยิ้มและเอ่ยตอบ

“เธอหมายความว่ายังไง? ในเมื่อพวกเราเป็นพวกเดียวกันแล้ว เราก็จะแบกพวกเธอขึ้นไปบนนั้น มันคงจะยากไปหน่อยถ้าจะให้พวกเธอปีนขึ้นไปด้วยตัวเอง”

จากนั้นคาร์ฮาลจึงชี้ไปยังด้านบนสุดของความมืดมิดนี้

มันเป็นความสูงที่แมคคิลและชาวนาคนอื่นๆ ไม่กล้ากระทั่งจะปีนขึ้นไป

แต่ถ้าคาร์ฮาลและคนอื่นๆ ช่วยพวกเธอสักหน่อยด้วยสกิลของพวกเขา มันก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายมาก

‘ฟิ้ว ตำแหน่งของพลังได้เปลี่ยนกลับไปอย่างสมบูรณ์’

แต่นี่มันยังไม่เป็นไร

ในขณะที่แมคคิลกำลังส่ายศีรษะและเตรียมตัวจะขึ้นไป

ฮันซูเอ่ยขึ้นกับคาร์ฮาลที่รู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย

“เดี๋ยว เรายังไม่จบ ในเมื่อนายคุยกับพวกนั้นเสร็จแล้ว นายก็ควรจะมาคุยกับฉันสักหน่อยเหมือนกัน”

“…อืมม”

คาร์ฮาลมองไปยังฮันซูด้วยสีหน้าหนักอึ้ง

‘ใช่แล้ว จะปล่อยปลาที่จับได้แล้วไป… เขาคงไม่ปล่อยพวกเราไปฟรีๆ’

เขาลืมเลือนคนที่อันตรายที่สุดที่นี่ไปในระหว่างที่รับมือกับพวกชาวนาที่กำลังโกรธแค้น

แม้ว่าพวกชาวนาจะตัดสินใจปล่อยพวกเขาไป ถ้าหมอนี่ต้องการจะฆ่าพวกเขาทั้งหมด งั้นพวกเขาก็จะกลายเป็นแค่เค้กชิ้นหนึ่ง

‘ไอ้ลูกแก้วเวรนั่น’

สีหน้าผ่อนคลายของคาร์ฮาลหายไปและถูกแทนที่ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกดดันอย่างมาก

ถ้าฮันซูตัดสินใจจะฆ่าพวกเขาทั้งหมด?

มันไม่มีเหตุผลให้มาทดลองอะไรแม้แต่น้อย

ชาวนา 200 คนและนักล่า 30 คนก็จะแค่หายไปทั้งหมด

พวกเขาจะถูกบดขยี้ด้วยร่างกายที่ทรงพลังอย่างเสียสติของหมอนั่น

หมอนั่นก็แค่ต้องกินรูนของพวกเขาทั้งหมดแล้วเดินหน้าต่อไป

เขาย่อมไม่อาจอยู่ในหมู่บ้านได้อีกต่อไปถ้าทำแบบนั้น แต่ทำไมเขาจะต้องไปอยู่ด้วยล่ะ?

คนที่อยู่ในระดับของหมอนั่นสามารถผ่านถนนสีเขียวไปได้ง่ายๆ

‘มันดูเหมือนว่าเขาจะมีความคิดอื่นในเมื่อเขายังไม่ทำแบบนั้น…’

“อะไรล่ะ?”

ฮันซูไม่ได้ดูเป็นพวกใจร้อน แต่ว่าเขาย่อมไม่ใช่คนที่หัวอ่อนแน่นอน

และเขาก็ไม่มีอะไรจะเสียเช่นกัน

เขาอาจจะเอ่ยขอบางอย่างที่ใหญ่โต

ฮันซูเอ่ยขึ้นกับคาร์ฮาลที่เตรียมใจเอาไว้

 

 

 

“โอ้ ตายแล้ว เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงๆ เหรอ?”

เอคิดูขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเรื่องราวจากนักล่าและชาวนาที่กลับมา

กับการที่ชาวนาที่ถูกสงสัยว่าถูกฆ่าไปโดยสัตว์อสูรหรือหายสาบสูญได้ถูกขังไว้ที่พื้นที่หนึ่งแบบนั้น

คาริม หัวหน้าการ์ด ผงกศีรษะขณะที่เขามองไปยังเอคิดู

“ดูเหมือนว่านักล่าพื้นที่หนึ่งที่เหลือจะเป็นคนพาคนพวกนั้นกลับมา จะยังไงก็เถอะ เธอจะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปเฉยๆ เหรอ? การที่ไม่สามารถควบคุมหน่วยของตัวเองได้ก็ถือเป็นความผิดเช่นกัน”

เอคิดูมองไปยังคาริมด้วยสีหน้าหนักอึ้ง

“เราเองก็มีความผิดเช่นกันในการที่ไม่รู้เรื่องแบบนี้ และในเมื่อส่วนมากมีชีวิตรอดกลับมา… ก็ปล่อยมันไปแบบนั้นเถอะ โอ้ และคอยดูพวกเขาให้ดีๆ ล่ะ พวกเขาอาจจะปิดปากไว้เพราะถูกข่มขู่”

“เข้าใจแล้ว”

คาริมผงกศีรษะ

ในเมื่อสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ใช่ตอนที่เขาจะสามารถเสียเวลากับเรื่องแบบนี้ได้

เหตุการณ์ฟาร์มมนุษย์นั้นค่อนข้างสำคัญ แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่าได้มาถึงหน้าประตูของพวกเขาแล้ว

‘ชิ’

คาริมหยุดคิดก่อนจะมองห่างออกไป เลยจากที่พักของเอคิดู

ไปยังตำแหน่งที่เผ่าพันธุ์ชั้นสูงใช้ผ่านหมู่บ้านพักรบ

‘ดาคิดัส…’

คาริมพึมพำอย่างเงียบงันก่อนจะเอ่ยขึ้นกับเอคิดู

“เราต้องเริ่มแล้ว”

“… บ้าเอ้ย”

เอคิดูกัดฟันกรอดเมื่อได้ยินเช่นนั้น

มันเหลือเวลาไม่มากก่อนที่ผู้รวบรวมของอารูคอน เผ่าครึ่งสัตว์ขนาดยักษ์ <ผู้กลืนกินคนเป็น> ดาคิดัส จะมาถึง

พวกเธอต้องเลือกเครื่องสังเวยก่อนหน้านั้น

ด้วยมือของพวกเธอเอง

คาริมส่ายศีรษะขณะที่มองไปยังเอคิดูและเอ่ยขึ้น

ด้วยสีหน้าจนใจ

“เธอจะอยากได้อะไรมากกว่านี้อีกล่ะ? นี่มันก็เป็นประชาธิปไตยมากแล้วนะ การมีชีวิตอยู่แบบนี้ในโลกแบบนี้ก็ดีมากแล้ว เอคิดู จำเอาไว้”

“… แบบนี้งั้นเหรอ”

เอคิดูกัดฟันกรอด

มันคือคำพูดที่เธอเกลียดมากในอดีต

ในเมื่อคำพูดพวกนั้นมันก็แค่ข้อแก้ตัว

แต่ในสถานการณ์แบบนี้ คำพูดพวกนั้นคือคำพูดเดียวที่สามารถปลอบใจเธอได้

เอคิดูถอนหายใจยาวก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าหนักอึ้ง

“โอเค เรียกทุกคนมาที่ด้านในหมู่บ้านแล้วขังพวกเขาเอาไว้ การเลือก… เริ่มต้นได้”

คาริมผงกศีรษะขณะที่นับจำนวนของคนในหมู่บ้าน

“โอเค โอ้ และอีกอย่างหนึ่ง… มันไม่มีสิทธิพิเศษหรือการเลือกปฏิบัตินะ”

“ฉันรู้”

คาริมผงกศีรษะขณะที่เขาเดินออกไป

 

 

 

“… นี่มันให้ความรู้สึกไม่ดีเลย”

อัลแตร์ หนึ่งในผู้มาใหม่ที่มายังหมู่บ้านพร้อมกับฮันซูแสดงสีหน้าเป็นกังวลออกมาขณะที่มองไปยังรอบๆ

ในเมื่อทั่วทั้งหมู่บ้านเต็มไปด้วยความวุ่นวาย

“รีบๆ เข้าไปในหมู่บ้าน!”

“บ้าเอ้ย! แค่พูดก็พอแล้วน่า! เรากำลังเข้าไป!”

“แล้วเราจะไปที่ไหนได้อีกเล่า!”

ทุกคนกำลังไหลเข้าไปในประตูไม้ทั้ง 52 บานรอบๆ หมู่บ้าน

ทุกคนรวมทั้งนักล่าและชาวนา

และคนเหล่านั้นก็เริ่มมุ่งหน้าไปยังพื้นที่พักอาศัยหลังจากเข้ามาในหมู่บ้านแล้ว

สำหรับการที่พวกเขาเคลื่อนไหวเป็นผลัด การถูกยัดเข้าไปด้านในพร้อมๆ กันทำให้เกิดความวุ่นวายไม่น้อย

‘ปัญหาคือ… ทำไมจู่ๆ มันถึงได้กลายเป็นแบบนี้?’

โดยปกติแล้ว ความวุ่นวายแบบนี้เป็นบางอย่างที่ยากจะพบเจอ

ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ระบบของหมู่บ้านที่ใช้ในการทำให้หมู่บ้านคงอยู่ต่อไปได้จะหยุดชะงัก

เหตุการณ์แบบไหนกันที่ทำให้ทุกชั่วโมงที่พวกเธอใช้ในอีกโลกอย่างสบายๆ คือชั่วโมงที่พาพวกเขาเข้าใกล้สู่ความตาย?

พวกเธอกระทั่งคิดที่จะหนีออกไปเพราะบรรยากาศน่าสงสัยนี่ แต่พวกเธอจะทำอะไรได้?

ในตอนนั้นเอง

ครืดดดด

ประตูไม้ทุกบานเริ่มที่จะปิดตัวลงหลังจากที่คนทั้งหมดเข้าไปด้านในแล้ว

ประตูทุกบานตั้งแต่กำแพงชั้นนอกสุดและป้อมปราการที่แบ่งเขตทั้งสามเอาไว้

“หือ?”

ประตูไม้บนกำแพงไม้ทุกบานได้ถูกปิดผนึก

ในเวลาเดียวกัน คนจำนวนหนึ่งได้เดินออกไปพร้อมกับป้ายเตือนที่ถูกตั้งเอาไว้เหนือกำแพง

อัลแตร์ขมวดคิ้วขณะที่มองไปยังผู้คนรอบกายเธอ มันราวกับว่ามันไม่มีใครสักคนที่นี่ที่จะสามารถหนีออกไปได้

‘พวกเขา…’

การ์ด

คนที่ยากจะพบเจอตัวตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทำไมพวกเขาถึงได้เคลื่อนไหวกันใหญ่โตแบบนั้น?

ในตอนนั้นเอง

คาริม ผู้ที่ยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ที่สูงที่สุดได้ตะโกนขึ้นเสียงดัง

“การเลือกเริ่มต้นขึ้นในตอนนี้! จำกัดเวลาคือ 3 วัน จะทำอะไรก็ได้… หาคำแนะนำให้ได้จากคนสามคน! เป็นการยืนยันว่าพวกคุณมีประโยชน์ต่อหมู่บ้าน พวกที่ได้คำแนะนำไม่ครบจะถูกส่งไปเป็นเครื่องสังเวย!”

“… เครื่องสังเวย?”

“แน่นอนว่าพวกเราจะไม่ห้ามให้คุณเสียสละตัวเองเพื่อเพื่อนของพวกคุณ พิสูจน์คุณค่าของคุณถ้าคุณไม่อยากจะกลายเป็นเครื่องสังเวย! เพื่อเพื่อนของคุณ! หาให้ได้สามคะแนนไม่ว่ายังไงก็ตาม!”

ในเวลาเดียวกัน สีหน้าของทุกคนก็แบ่งออกเป็นสองส่วน

ระหว่างพวกที่มีสีหน้าสบายๆ และสีหน้ากดดัน

“บ้าเอ้ย! ครั้งที่แล้วยังเป็นแค่สองเลย! ทำไมครั้งนี้ถึงเป็นสามแล้วล่ะ!”

“อ๊ากกกก!”

“ช่วยไม่ได้ ความสมดุลหายไปเพราะช่วงนี้ไม่มีคนใหม่ขึ้นมาเลย เริ่มได้!”

ทุกคนมองไปยังอัลแตร์และฮันซูด้วยสีหน้าชั่วร้ายเมื่อได้ยินคำว่าคนใหม่

 

 

 


TL: หมดมุกง่ะ