บทที่ 151 นั่นพระเจ้า!

เย่เฟิงเดินออกมาจากห้องพิจารณาคดี และไม่นานก็มาหยุดอยู่หน้าทางเข้าศาล

ด้วยทักษะสัมผัสวิญญาณ เขายังคงรับรู้สถานการณ์ภายในห้องนั้นได้อย่างชัดเจน เมื่อเซี่ยหมินและเซี่ยเฉิงเย่ยอมรับสารภาพด้วยตัวเอง สถานการณ์ภายในห้องพิจารณาคดีก็พลันปั่นขึ้นทันที แม้แต่เจ้าหลินเหรินเทียนเองก็ไม่รักษาความเยือกเย็นเอาไว้ได้อีก

เดิมที แผนทุกอย่างได้ถูกจัดเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าอย่างเหมาะสมแล้ว แต่เมื่อทั้งสามคนกลับสารภาพความจริงออกมาด้วยความรู้สึกผิดราวกับคนโง่เง่า พวกเขาก็มีโอกาสสูงที่จะถูกโยนเข้าไปในซังเตหลังจบการพิจารณาคดี

ในเมื่อคนของอัยการยังอยู่ในห้องนี้ หลินเหรินเทียนจึงไม่อาจทำสิ่งใดที่แสดงถึงความลำเอียงได้ ฉะนั้น หลังจากเซี่ยหมินและเซี่ยเฉิงเย่ สารภาพทุกอย่างออกมาด้วยความรู้สึกผิด เขาจึงต้องจำใจบันทึกคำรับสารภาพอย่างไม่อาจแก้ไขอะไรได้อีก เมื่อได้ซักถามทั้งคู่เพิ่มเติมแล้ว หลินเหรินเทียนก็พลันประกาศคำตัดสิน

ตามกฎหมายสากลของประเทศจีน คดีเช่นการจ้างวานฆ่าไม่สามารถประกันตัวได้ ฉะนั้น เมื่อเซี่ยหมินและเซี่ยเฉิงเย่ยอมรับสารภาพด้วยตัวเอง จึงถือเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา มีโทษจำคุกตลอดชีวิต รวมทั้งหมดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิตเช่นกัน

สำหรับคดีเจตนาฆ่าของหลี่ต้าโก่ว รวมทั้งการตัดสินซูซินฉาง ถูกเลื่อนออกไปเป็นวันอื่น เพราะมันไม่ใช่คดีหลัก แต่มั่นใจได้อย่างหนึ่งว่า โทษของหลี่ต้าโก่วอย่างน้อยคือการจำคุกตลอดชีวิต และอาจถึงขั้นประหารชีวิต

สำหรับหลินเหรินเทียน เขาตั้งใจอย่างยิ่งว่าจะแก้แค้นเย่เฟิงและซูเหมิงหานให้ได้ในคดีนี้ แต่สุดท้าย ภาพลักษณ์ที่เคร่งขรึมและน่าเคารพของเขากลับถูกทำลายต่อหน้าสาธารณชน โดยไม่ได้อะไรกลับคืนมาเลยแม้แต่น้อย

คดีนี้ถูกตัดสินแล้ว หลินเหรินเทียนทุกข์ใจอย่างยิ่ง ในขณะที่ลูกชายยังอยู่ที่โรงพยาบาล การแก้แค้นของเขาก็ยังทำไม่สำเร็จ นี่ทำให้ใบหน้าของหลินเหรินเทียนบิ้ดเบี้ยวจนดูน่าเกลียดน่ากลัว……

เมื่อเห็นเซี่ยหมินและเซี่ยเฉิงเย่ถูกจับกุมแล้ว หยาดน้ำตาของซูเหมิงหานก็ไหลรินออกมา เด็กสาวไม่อาจทนความรู้สึกมีความสุขที่ท่วมท้นอยู่ในจิตใจตอนนี้ได้อีกแล้ว เธอรีบวิ่งออกไปจากห้องพิจารณาคดี และตรงไปยังเย่เฟิงเพื่อจะบอกข่าวดีเรื่องนี้แก่ชายหนุ่ม

สำหรับผู้คนมากมายที่นั่งชมการพิจารณาคดีอยู่ในห้อง สีหน้าของพวกเขาทั้งหมดเปลี่ยนไปอย่างมาก

หนึ่งในนั้นคือเซี่ยผิงฮุ่ย เขากำมือแน่นด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดจนมองเห็นเส้นเลือดที่ปูดโปนขึ้นมาได้อย่างชัดเจน คนตระกูลเซี่ยคนอื่นล้วนมีสีหน้าว่างเปล่าราวกับพวกเขายังไม่อาจเข้าใจเหตุการณ์ฉับพลันที่จู่ๆก็เกิดกลับตาลปัตรขึ้นมาได้ ทำไมสองคนนั่นถึงได้ยอมรับสารภาพด้วยความรู้สึกผิดอย่างโง่เง่าแบบนั้น!

การฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาไม่ใช่เรื่องตลก ซ้ำคดีนี้ยังถูกปิดบังซ่อนเร้นมานานถึง 6 ปี มันจึงถือเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงมาก! ถึงแม้ว่าคู่พี่น้องตระกูลเซี่ยยอมรับสารภาพออกมาด้วยตัวเอง และต่อให้เซี่ยผิงฮุยจะมีสัมพันธ์อันดีกับหลินเหรินเทียน เขาก็ไม่อาจปกป้องทั้งสองคนได้

นี่มันเรื่องบ้าชัดๆ!

ทำไมเจ้าโง่สองคนนั่นถึงได้เกิดในตระกูลเขากัน? เวลานี้ เซี่ยผิงฮุ่ยอยากจะขับพวกมันออกไปจากตระกูลไปเสียเดี๋ยวนี้เลย! ถึงแม้จะเป็นตระกูลเซี่ย แต่เงินที่ต้องใช้ในการเอาตัวทั้งสองออกจากคุกนั้นมากมายมหาศาล ซ้ำยังไม่มีอะไรรับประกันว่าจะสำเร็จ 100%ด้วย

หลี่ต้าโก่วเข้าใจว่าสถานการณ์ในตอนนี้เข้าขั้นเลวร้ายแล้ว เพราะงั้น เขาจึงตั้งใจจะรีบหลบหนีไปจากที่นี่ แน่นอนว่าต่อมา หลี่ต้าโก่วถูกเจ้าหน้าที่ของศาลจับตัวไว้ได้ และไม่มีทางจะหลบหนีได้อีกต่อไป จึงทำได้เพียงสาปแช่งเซี่ยหมินและเซี่ยเฉิงเย่ในใจ

สำหรับกลุ่มลูกน้องของเซี่ยเฉิงเย่ พวกเขาต่างจ้องมองกันด้วยสีหน้าทำอะไรไม่ถูก ผลคำตัดสินของคดีนี้ต่างไปจากที่คิดไว้อย่างสิ้นเชิง ในใจของพวกเขานั้น เซี่ยเฉิงเย่ไม่เพียงเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง เขายังเป็นเพื่อนที่แสนดี มีความจงรักภักดีสูง และเป็นที่น่าเคารพ แล้วเขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมเมื่อ 6 ปีก่อนได้อย่างไร?

ทำไมพวกเขาจึงได้มองเซี่ยเฉิงเย่ผิดไปมาตลอด?

ทุกคนต่างคิดว่าตัวเองโง่เง่าจริงๆที่ได้ช่วยเซี่ยเฉิงเย่คุกคามเย่เฟิงและซูเหมิงหานไปถึงสองครั้ง วันนี้ พวกเขาเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่ทำมันผิดมหันต์ เพราะเดิมทีพวกเขาคิดว่าเซี่ยเฉิงเย่กำลังถูกรักแก แต่วันนี้มันชัดเจนแล้วว่าพวกเขาได้ช่วยทรราชย์ทำสิ่งชั่วร้ายมาตลอด!

เด็กที่ชื่อเย่เฟิงคนนั้นเป็นใครกันแน่? ไม่ใช่แค่แข็งแกร่ง แต่ยังทำเหมือนว่าทุกสิ่งตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาหมดแล้ว ในช่วงเวลาคับขันนั้น เพียงแค่เขายืนขึ้นและตะโกนออกมา ซูซินฉางและอีกสองคนถึงได้คุกเข่าสำนึกผิดในทันที……

ผู้ที่ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้แต่ญาติพี่น้องของซูเหมิงหานก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ไม่เพียงเงินสองแสนจะหลุดลอยไปจากมือของหวงอันเต๋อ เขายังถูกปรับจากการเบิกความเท็จอีกด้วย สถานการณ์ในตอนนี้มันไม่ต่างอะไรการเดิมพันในข้างที่ต้องชนะแน่นอน แต่กลับจบด้วยความพ่ายแพ้!

“นังแพศยาชั้นต่ำ!”

ภรรยาของหวงอันเต๋อตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่งโดยไม่อาจยอมรับความจริงได้ เธอรู้สึกเกลียดซูเหมิงหานมากขึ้นอีกเป็นทวีคูณ! ในความคิดของหญิงวัยกลางคน ซูเหมิงหานเป็นเด็กสาวมีเสน่ห์ที่ไม่เพียงยั่วยวนผู้ชายไปทั่ว แต่ยังทำให้ครอบครัวของเธอพังพินาศอีกด้วย

เธอต้องทำให้ซูเหมิงหานจ่ายค่าชดใช้ก่อนกลับให้ได้!

ที่อีกด้านหนึ่ง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันได้สร้างความตกใจให้คนอีกกลุ่มหนึ่งเช่นกัน พวกเธอคือหลินชื่อฉิงและเสี่ยวฉีที่รู้สึกยินดีกับคำตัดสินที่ออกมา

“นี่มันอะไรกันเนี่ย ง่ายๆแบบนี้เลยหรอ……”

เสี่ยวฉีมองไปยังเซียหมินและเซี่ยเฉิงเย่ที่ถูกพาตัวออกไป เหตุการณ์นี้ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจ และตกใจจนไม่อยากจะเชื่อ

“เธอก็ลองไปถามเย่เฟิงดูสิ”

หลินชื่อฉิงยอมรับว่าถึงแม้ทั้งสามจะสารภาพออกมาด้วยความรู้สึกผิด แต่มันเกิดขึ้นหลังจากที่เย่เฟิงตะโกนออกมา พูดกันตามตรง เย่เฟิงเป็นคนที่ดูแปลกประหลาดมาก และหลินชื่อฉิงก็ยังไม่อาจยอมรับในจุดนี้ได้

ความสงสัยไม่ได้มีอยู่แค่ในใจของหญิงสาวเช่นกัน ทั้งคนตระกูลเซี่ย ตระกูลหลิน ลูกน้องของเซี่ยเฉิงเย่ และคนอื่นๆต่างกำลังคิดถึงเรื่องนี้ เมื่อหลินเหรินเทียนประกาศจบการพิจารณาคดี ผู้คนต่างเดินออกมาไปจากห้องขณะพูดคุยกันเกี๋ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น

……….

เวลานี้ เย่เฟิงยืนอยู่ที่ทางเข้าศาล

คำตัดสินได้ถูกประกาศออกมาแล้ว เขาย่อมไม่มีสิ่งใดจำเป็นต้องทำอีก ชายหนุ่มเพียงแค่ยืนรอซูเหมิงหานออกมา เพื่อกลับบ้านด้วยกัน จากนั้น เขาจะพยายามหาวิธีหลบหนีไปจากการจับตาดูของเย่เวิ่นเทียน และมุ่งไปยังแถบทะเลจีนตะวันออก!

ขณะที่เย่เฟิงยืนรออยู่นั้น จากผลของทักษะสัมผัสวิญญาณ ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าตรงที่จอดรถจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ทำไมรถยนต์คันนั้นถึงได้สั่นไหวอยู่?

เดิมที เย่เฟิงไม่ใช่พวกชอบยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของชาวบ้าน แต่เพื่อความปลอดภัยของตัวเขาและซูเหมิงหาน ชายหนุ่มจึงต้องคอยตรวจสอบสิ่งน่าสงสัยรอบตัวอยู่ตลอดเวลา

“สองคนนั้นมัน!”

เมื่อเย่เฟิงเพ่งทักษะไปทางรถยนต์คันนั้น เขาก็ได้พบกับสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจ

รถยนต์ซีดานคันสีแดงหกที่นั่งคันหนึ่ง มีชายร่างอ้วนรูปร่างน่าเกลียดขยับร่างไปมาเป็นจังหวะจนพุงกระเพื่อม และใต้ร่างของเขาคือผู้หญิงคนหนึ่งในชุดที่ดูเซ็กซี่ คนทั้งคู่ก็คือหูเหมยเหม่ยและลุงสองของเซี่ยหมินที่เย่เฟิงเคยพบครั้งล่าสุดเมื่อตอนอยู่ที่หมู่บ้านเหยียนซี

เมื่อรับรู้ได้ดังนั้นเย่เฟิงก็เลิกสนใจอีก ผ่านไปครู่หนึ่ง รถยนต์คันนั้นก็หยุดสั่นซึ่งหมายความว่ากิจกรรมระหว่างสองคนนั้นคงเสร็จสิ้นแล้ว ไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาก็ก้าวลงจากรถ และในทันทีที่มองเห็นเย่เฟิง แววตาดูถูกก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าทั้งคู่

“ตอนนี้ สาวน้อยคนนั้นคงโดนข้อหาฟ้องเท็จไปแล้ว ฮี่ ฮี่”

ชายร่างอ้วนเอ่ยขึ้นมาขณะคิดถึงรูปร่างอันงดงามของซูเหมิงหาน และนั่น ทำให้เขากลืนน้ำลายเสียงดัง “อึก”

“ใช่ค่ะ ในเมื่อยังยืนกรานฟ้องร้องตระกูลเซี่ย หล่อนย่อมต้องมีจุดจบไม่สวยอยู่แล้ว”

หูเหมยเหม่ยกล่าวอย่างเอาอกเอาใจขณะควงแขนชายร่างอ้วนไว้

แน่นอนว่าเย่เฟิงย่อมไม่ลดตัวไปต่อล้อต่อเถียงกับคนพวกนั้น

ชายร่างอ้วนและหูเหมยเหม่ยเลิกสนใจเย่เฟิงและเดินตรงเข้าไปในศาล แต่ทันใดนั้น ก็มีเสียงหวานใสดังออกมาจากห้องพิจารณาคดี

“เย่เฟิง! เย่เฟิง!”

ซูเหมิงหานวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว

ทันทีทั้งสองคนมองเห็นร่างของซูเหมิงหาน สายตาของพวกเขาก็เบิกกว้างราวกับได้เห็นในสิ่งที่น่าตื่นตกใจ

“โอ้พระเจ้า! นั่น พระเจ้า!”

ชายร่างอ้วนและหูเหมยเหม่ยอุทานเสียงดัง และรีบคุกเข่าลงต่อหน้าซูเหมิงหานอย่างรวดเร็ว!

เมื่อเห็นดังนั้น มุมปากของเย่เฟิงก็โค้งขึ้นเพราะมันเป็นไปตามที่คาดไว้ เมื่อครั้งยังอยู่ที่หมู่บ้านเหยียนซี เขาได้ใช้ทักษะสะกดจิตใส่ทั้งสองและสร้างเมล็ดพันธุ์แห่งเจตจำนงเอาไว้ว่า เมื่อใดที่เห็นซูเหมิงหาน พวกเขาต้องทำเหมือนกับได้เห็นพระเจ้า!

ซูเหมิงหานที่วิ่งออกมาจากห้องพิจารณาคดี รู้สึกมึนงงเมื่อได้เห็นภาพอันน่าประหลาดใจ

นี่มันอะไรกันเนี่ย! ทั้งหูเหมยเหม่ยที่เป็นเลขาของซูซินฉาง และลุงสองของเซี่ยหมิน พวกเขาทั้งคู่จู่ๆก็คุกเข่าลงแล้วเรียกเธอว่าพระเจ้า!

หลินชื่อฉิง เสี่ยวฉี และคนอื่นๆที่ได้เดินออกมาจากห้องพิจารณาคดีแล้วเช่นกัน เมื่อเห็นสถานการณ์อันน่าประหลาดใจนี้ พวกเขาก็เบิกตากว้างโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เซี่ยผิงฮุ่ยที่รู้สึกโมโหจนแทบกระอักเลือด

ก่อนหน้านี้ เซี่ยหมินและเซี่ยเฉิงเย่ที่ยอมรับความผิดในศาลก็ทำให้ตระกูลเซี่ยขายขี้หน้าพอแล้ว แล้วทำไมคนตระกูลเซี่ยอีกคนต้องมาคุกเข่าลงต่อหน้าเด็กคนนั้นแล้วร้องเรียกเธอว่าพระเจ้าด้วย?

โลกนี้มันบ้ากันไปหมดแล้ว!

เซี่ยผิงฮุ่ยที่ไม่อาจยอมรับความจริงได้พลันเป็นลม สลบไปในทันที

………………………….

แปลโดย Solar Spark , Tan Tan