บทที่ 141 บรรลุทักษะ

หลินหงชวนที่กำลังจิบชาพลันตื่นตระหนกทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของเย่เวิ่นเทียน

เย่เฟิงฝึกวรยุทธ์แล้ว?

เด็กคนนั้นไม่ได้เรียนวรยุทธ์ไม่ใช่รึ? เหตุใดจึงเข้าสู่โลกยุทธภพได้

หลินหงชวนรู้รายละเอียดของเย่เฟิงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ชายชรารู้แค่ว่าแม้เย่เฟิงจะเป็นนักเรียนมัธยมปลายธรรมดาทั่วไป แต่เด็กคนนี้ก็สามารถดึงตัวหัวหน้าแก๊งอสรพิษสวรรค์ให้มาช่วยงานได้ เด็กหนุ่มยังไม่มีสีหน้าหวาดกลัวแม้แต่น้อยเมื่อต้องเผชิญกับคนที่น่ายำเกรงแบบเขา ภาวะจิตใจของเด็กคนนี้น่าสนใจมากที่เดียว

หลินหงชวนตกอยู่ในห้วงแห่งการครุ่นคิด

ชายชราเคยเห็นเพียงแค่ด้านหนึ่งของชีวิตเย่เฟิง แต่ก็ยังคงหวังให้หลินชื่อฉิงหลานสาวของเขาแต่งงานกับเด็กคนนี้ แล้วตอนนี้จะทำอย่างไรดี? เรื่องที่เย่เฟิงเริ่มฝึกวรยุทธ์ หากมันกระจายไปทั่วในยุทธภพแล้วล่ะก็ เหล่าตระกูลที่เป็นปฏิปักษ์ต้องตามล่าตัวเขาแน่

คิ้วของเฒ่าถังขมวดแน่น “ถ้าเป็นไปตามที่เจ้าพูด ผู้เฒ่าอย่างพวกเราคงต้องออกหน้าเองแล้ว เฒ่าเย่ เจ้าช่วยจัดการเรื่องนี้ด้วย อย่าปล่อยให้ใครทำอันตรายแก่เด็กคนนั้นได้ แล้วอีกเรื่อง เด็กคนนั้นเข้าสู่โลกวรยุทธ์ได้อย่างไร?”

“เรื่องนี้ข้าบอกไม่ได้”
ในทางตรงกันข้าม เย่เวิ่นเทียนไม่ได้รู้สึกกังวลอะไรแม้แต่น้อย เขากลับเอ่ยขึ้นมาด้วยความพึงพอใจ “เย่เฟิงเริ่มฝึกวรยุทธ์เมื่อไหร่นั้น เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้ แต่เขาสามารถบรรลุทักษะกรงเล็บมังกรของตระกูลเย่ได้โดยใช้เวลาเพียงครู่เดียว พรสวรรค์ของเด็กคนนี้เกินกว่าที่พวกเราจะจินตนาการได้!”

“อะไรนะ!”

เป็นอีกครั้งที่สีหน้าของเฒ่าถังและหลินหงชวนเปลี่ยนไปอย่างมาก

“ที่เจ้าพูดมาเป็นความจริงรึ?”

เฒ่าถังนั้นอยู่ในเส้นทางสายวรยุทธ์มานาน เมื่อเทียบกับหลินหงชวนแล้ว เขาเข้าใจในเรื่องระดับความยากของทักษะกรงเล็บมังกรดี แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงงั้นรึ? การเย่เฟิงอ่านตำราเพียงครู่เดียวก็สำเร็จทักษะนี้ได้ พรสวรรค์ของเด็กคนนี้มีมากขนาดไหนกัน? ในโลกยุทธภพนั้น ผู้ที่มีพรสวรรค์ระดับนี้แทบไม่ปรากฏขึ้นเลยในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา!

“พวกเจ้าคิดว่าเย่เวิ่นเทียนคนนี้จะโกหกหรือไง?”

เย่เวิ่นเทียนพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจ การที่เย่เฟิงมีพรสวรรค์ระดับนี้ ผู้เป็นปู่ย่อมหน้าบานเป็นเรื่องธรรมดา

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ผู้เฒ่าอย่างพวกเราก็ควรเคลื่อนไหวได้แล้ว”

หลังจากขบคิดเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่ง ชายชราหน้ากลมก็เอ่ยขึ้นมา

เฒ่าถัง หรือ ถังเสวี่ยเฟิงถือเป็นยอดยุทธ์ในโลกยุทธภพเช่นเดียวกับเย่เวิ่นเทียน ถึงแม้ว่าเมื่อ 20 ปีก่อน ชายชราคนนี้จะประสบกับการสูญเสียอันใหญ่หลวง แต่ 20 ปีของเขาไม่ได้สูญเปล่า ความแข็งแกร่งที่มีไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย ชายชรายังคงถือว่าเป็นยอดยุทธ์อันดับต้นๆของโลกยุทธภพ

แม้แต่ตอนนี้ มีเพียงผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเก่าอันน้อยนิดที่รู้ว่าแม่ของเย่เฟิงหรือถังชิงหลิง เป็นลูกสาวของถังเสวี่ยเฟิง เมื่อ 20 ปีก่อนในขณะที่ตระกูลเย่ถูกกวาดล้าง ถังเสวี่ยเฟิงและถังชิงหลิงได้หนีไปพึ่งพิงพวกกระบี่จื่อเจิน และพัฒนาความสัมพันธ์จนถือว่าเป็นสหายกัน

“ถึงอย่างไร จะปล่อยให้ใครมารังแกหลานชายข้าไม่ได้”

แววตาของถังเสวี่ยเฟิงเผยประกายเย็นเยียบ

“ฮ่าๆ ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่มีใครรังแกเขาได้หรอก มีแต่เด็กคนนั้นจะไปรังแกคนอื่นเสียมากกว่า”

เย่เวิ่นเทียนยิ้ม “แต่ถึงอย่างไร ถ้ามีใครรู้ว่าเย่เฟิงเริ่มฝึกวรยุทธ์แล้ว ปัญหามากมายคงกระหน่ำเข้าจู่โจมเด็กคนนั้นแน่ พวกเราต้องเตรียมตัวรับมือเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้า”

“ถ้าเวลานั้นมาถึง ข้าจะทำให้คนของวังไท่จี๋ต้องเคลื่อนไหว”

หลินหงชวนที่นั่งอยู่ใกล้ๆเอ่ยขึ้นมา

“เยี่ยมมากเฒ่าหลิน”

ถังเสวี่ยเฟิงจ้องมองมา แล้วจึงพูดต่อไป “ตามจริง เจ้าไม่เห็นต้องบอกว่าจะทำให้วังไทจี๋ต้องเคลื่อนไหว ตระกูลหลินของเจ้าก็มีความสัมพันธ์และความร่วมมือกันคนพวกนั้นอยู่แล้ว……..”

“ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก แต่ข้าจะพยายาม”

หลินหงชวนยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า ก่อนจะพูดต่อไปว่า “เด็กคนนั้น ข้ามองว่าเขาเป็นสามีของหลานสาวข้าอยู่แล้ว และข้าก็ชื่นชอบเขามาเช่นกัน หากข้ายังช่วยเขาไม่ได้ แล้วจะมีใครสามารถช่วยเขาได้กัน?”

ผู้เฒ่าทั้งสามยังคงสนทนากันตลอดทั้งคืน นอกจากคุยถึงเรื่องวันวานแล้ว พวกเขายังคุยกันถึงเรื่องของเย่เฟิง ใจความหลักคือ เมื่อถึงวันที่ความลับของเย่เฟิงเรื่องการฝึกวรยุทธ์กระจายออกไปทั่วโลกยุทธภพ ถังเสวี่ยเฟิงจะออกหน้าปกป้องเด็กหนุ่มด้วยตัวเอง แต่คำถามคือ เมื่อถึงเวลานั้น จะทำอย่างไรกับถังชิงหลิงกัน?

คำถามนี้ทำให้ผู้เฒ่าทั้งสามขบคิดกันอยู่นาน และสุดท้าย พวกเขาก็ได้ข้อสรุป…..

……………….

ณ หมู่บ้านชิงเฟิง เมืองเหยียนจิง

เมื่อแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ซูเหมิงหานพลิกตัวไปอีกด้าน และยืนมือออกมาแตะเตียงนอน แต่ก็ต้องพบกับความว่างเปล่า

“เย่เฟิง?”

ทันใดนั้น เด็กสาวก็ลุกขึ้นนั่งด้วยความตื่นตระหนก เย่เฟิงหายไปไหนกัน?

“มีอะไรหรอ?”

น้ำเสียงอันแสนคุ้นเคยของเย่เฟิงดังขึ้นมา กลายเป็นว่าชายหนุ่มตื่นก่อนเธอ ตอนนี้เขากำลังนั่งอ่านตำราทั้ง 4 เล่มอยู่

เย่เฟิงหันหน้าไปมองซูเหมิงหาน และทันใดนั้น เขาก็พบกับไหล่บางอันขาวเนียนดั่งหิมะของเด็กสาว ภาพนี้ทำให้ชายหนุ่มอดจะคิดถึงเรื่องเมื่อคืนไม่ได้ ช่วงเวลาที่ทั้งสองอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา และสัมผัสของกลิ่นอันแสนหอมหวาน…..

เมื่อเห็นสายตาของเย่เฟิงที่จ้องมองมา ซูเหมิงหานก็พลันแก้มขึ้นสี เด็กสาวรีบคว้าผ้าห่มมาคลุมร่าง “อย่ามองมาทางนี้นะ! นายรีบออกไปเลย ฉันจะใส่เสื้อ”

“อะไรเนี่ย เธอเขินหรอ?”

เย่เฟิงหัวเราะร่าและวางตำราลง ชายหนุ่มเดินเข้ามาหยิกแก้มเด็กสาวเบาๆจากนั้นจึงเดินออกจากห้องไป

สิ่งนี้ทำให้ซูเหมิงหานหน้าแดงไปถึงติ่งหู แต่เมื่อเห็นแผ่นหลังของเขาที่เดินออกจากห้องไป สัมผัสแห่งความหวานก็เอ่อล้นขึ้นมาในใจ นับจากวันนี้ ชายคนนี้คือคนที่เธอจะฝากชีวิตไว้กับเขาตลอดไป……

เย่เฟิงก้าวออกมาจากห้องนอนแล้วจึงสลัดความคิดเรื่องเมื่อคืนออกไปจากหัว

หลังจากลงบันไดมาได้สามก้าว เขาก็เปิดตำรา‘ย่างก้าววิญญาณเงาภูติ’ขึ้นมาอ่าน ด้วยอาศัยตำราเล่มนี้  เขาอาจบรรลุทักษะย่างก้าวไร้เงาขึ้นเป็นระดับสอง!

ย่างก้าววิญญาณเงาภูติ หากใช้ผสานกับทักษะความเร็วของวิถีอสุราแล้วล่ะก็ มันอาจเพิ่มความเร็วขึ้นได้มากก็จริง แต่ข้อเสียคือมันไม่อาจใช้ได้นานนัก

สิ่งที่ยังคงย้ำเตือนเย่เฟิงคือเมื่อครั้งที่ซูเฟยหยิ่งแสดงทักษะย่างก้าวไร้เงาขั้นสองออกมา ความเร็วในการเคลื่อนไหวนั้นเทียบได้กับความเร็วของสายฟ้าเลยทีเดียว น่าเสียดายที่เย่เฟิงไม่มีเวลาพอจะได้สำเร็จทักษะในระดับสองเมื่อตอนนั้น

“อืมม…การโคจรตามเส้นลมปราณแบบนี้ รวบรวมเอาไว้ที่ขาสองข้าง……”

เย่เฟิงพลิกหน้าตำรา‘ย่างก้าววิญญาณเงาภูติ’อ่านอย่างรวดเร็ว แล้วความคิดบางอย่างก็แล่นแวบเข้ามาในใจ

โดยไม่เสียเวลาอันมีค่า ชายหนุ่มเริ่มโคจรเจินชี่จากจุดตันเถียนไปยังขาทั้งสองข้าง และทันใดนั้น พลังบางอย่างก็ปะทุขึ้นมาใต้ฝ่าเท้า!

ฟุบ!

เพียงชั่วพริบตา ร่างของเขาพุ่งออกไปนอกประตูบ้านโดยทิ้งภาพติดตาไว้เบื้องหลัง เย่เฟิงสามารถเคลื่อนที่ได้ถึง 100 เมตร ในเวลาแค่ 2 วินาที ซึ่งมีความรวดเร็วยิ่งกว่าทักษะย่างก้าวไร้เงาถึง 2 เท่า!

“พลังระดับนี้ ถึงจะใช้ได้เพียงไม่กี่วินาที แต่ในช่วงวิกฤตก็คงมีประโยชน์ไม่น้อย”

เย่เฟิงอารมณ์ดีขึ้นทันตา สาเหตุมาจากการที่เขาบรรลุทักษะย่างก้าวไร้เงาขั้นสองอย่างง่ายดาย ความเร็วระดับนี้จะทำให้เขาสามารถเข้าจู่โจมหรือล่าถอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในตอนนี้ ความเร็วของเขารวดเร็วยิ่งกว่าชายวิปริตหลี่ฮวา และอาวุธคุ้มกันจุยหุนแล้ว หรือแม้แต่ในโลกยุทธภพ ความเร็วของเขายังเทียบกับ‘หวงเผยหรง’แห่งเขาเทียนจูได้เลย

(หวงเผยหรง คือคนที่เคยโผล่มามาตอนงานจัดแสดงสินค้าประมาณบทที่30 นะครับ)

สำหรับเย่เฟิงแล้ว การที่เขามีทักษะเซียน‘ย่างก้าวไร้เงา’จึงทำให้ไม่จำเป็นต้องฝึกทักษะย่างก้าววิญญาณเงาภูติอีก และอีกอย่าง ทักษะนี้จะแสดงประสิทธิภาพสูงสุดต่อเมื่อใช้คู่กับแกนวรยุทธ์ตามวิถีอสุรา

เวลานี้ เย่เฟิงเดินกลับไปยังห้องนอนเพื่อจะศึกษาตำราเล่มอื่นต่อ

วิถีอสุรานี้ถือเป็นแกนวรยุทธ์ดั้งเดิมที่ต้องใช้พลังชี่ภายในผสานกับโลหิตในร่าง และร่างกายต้องรับภาระอย่างหนัก แต่เมื่อผ่านการปรับแก้กระบวนการโดยเย่เฟิงแล้ว มันไม่จำเป็นต้องผสานพลังชี่ภายในกับโลหิตอีก ถึงแม้ว่าร่างกายจะต้องรับภาระหนักขึ้นกว่าเดิมก็ตาม ซึ่งมันเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการฝึกวรยุทธ์ของหน้าบาก

นอกจากนี้ หากใช้ทักษะดาบล่าวิญญาณพันลี้ควบคู่กับย่างก้าววิญญาณเงาภูติ ก็จะให้ผลที่น่าทึ่งเช่นกัน

สำหรับ‘คลื่นอสุราปราบวิญญาณ’ ทักษะนี้ไม่น่าสนใจเท่าไหร่นัก เพราะหากไม่ถึงขั้นที่สามารถปลดปล่อยพลังชี่ภายในออกมาใช้ภายในออกจากร่างได้ ทักษะนี้ก็ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง แต่อย่างไรก็ตาม หากผู้ฝึกอยู่ในขั้นที่ปลดปล่อยพลังชี่ภายในออกมาใช้ภายนอกได้แล้วล่ะก็ คำว่า “สั่นสะเทือนไปถึงขุมนรก”ก็ไม่ใช่สิ่งฟังดูเกินเลยแม้แต่น้อย

เย่เฟิงตัดสินใจจะเรียนรู้ทักษะคลื่นอสุราปราบวิญญาณนี้ บางที มันอาจจะมีประโยชน์ในวันข้างหน้า แต่สำหรับทักษะดาบแล้ว ชายหนุ่มไม่รู้สึกสนใจเลยแม้แต่นิดเดียว

ในขณะที่เย่เฟิงกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งการครุ่นคิด ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ในบ้านก็ดังขึ้นมา

ชายหนุ่มไม่ได้สนใจอะไรกับเสียงนี้ ไม่นาน ซูเหมิงหานก็เดินไปรับโทรศัพท์ “สวัสดีค่ะ?”

“สวัสดี ขอสายเย่เฟิงหน่อยได้ไหม?”

เสียงของหญิงสาวดังขึ้นในสายอย่างไม่คาดคิด และด้วยผลของทักษะสัมผัสวิญญาณ เย่เฟิงก็ได้ยินเสียงในสายเช่นกัน ซึ่งหญิงสาวในสายก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากหลงหวางเอ๋อนั้นเอง!

ชิ-หาย ซูเหมิงหานรับสายโทรศัพท์ของหลงหวางเอ๋อ!

…………………………………….

แปลโดย Solar Spark

Solar Spark: เตรียมข้ออ้างไว้ได้เลยพี่เย่