บทที่ 123 เสี่ยวฉีถูกลักพาตัว

คำพูดของเย่เฟิงนั้น ไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าคนตระกูลหลินทั้งตระกูล การที่พวกเขาระบุตัวตนใครสักคนเพียงเพราะแค่หน้ากากนั้น มันไม่ต่างอะไรกับความคิดของเด็กประถมเลยสักนิด

แต่ในเมื่อตระกูลหลินเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองเหยียนจิง เพราะฉะนั้น คนตระกูลนี้ย่อมไม่ควรโง่เขลาแบบนี้

สำหรับสมาชิกตระกูลหลินคนอื่นๆที่อยู่ที่นี่ พวกเขาไม่ถือสาอะไรกับคำพูดของเย่เฟิงอยู่แล้ว เพราะอย่างแรก พวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้โดยตรง และอย่างที่สอง พวกเขาไม่ได้พบเจอกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง พวกเขารู้เพียงแค่สิ่งที่ได้ยินจากปากของหลินเต๋อเทียน และหลินเหรินเทียนเท่านั้น

ถึงอย่างนั้นสำหรับหลินเหรินเทียนแล้ว การที่ลูกชายของเขากลายเป็นเด็กปัญญาอ่อนที่มีระดับ IQ ไม่ต่างอะไรจากเด็กทารก เรื่องนี้สร้างความอัปยศอดสูให้เขาอย่างเหลือแสนจนแทบจะกลายเป็นคนไร้เหตุผล

ส่วนหลินเต๋อเทียน ในฐานะที่เป็นหัวหน้าตระกูลหลิน และเป็นผู้นำของหน่วย NSA เขาจึงมีส่วนในการจัดการเรื่องนี้อย่างชัดเจน เขาต้องหาคำตอบมาอธิบายแก่ทุกคนให้ได้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นมาอย่างไรและเกิดอะไรขึ้น ทุกคนที่ว่านี้รวมไปถึงทางเผ่ยเขิงกรุ๊ป และผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่าเขา

สำหรับสถานการณ์ในตอนนี้ ไม่สำคัญว่าไซ่เชาหงจะทำสิ่งที่ผิดกฏหมายหรือไม่ สิ่งสำคัญคือชายสวมหน้ากากเป็นคนลงมือสังหารไซ่เชาหง และนี่คือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้!

ความจริงแล้ว มีเพียงธันเดอร์คนเดียวที่รู้สึกไม่สบายใจกับเรื่องนี้ เขาเป็นคนซื่อสัตย์และเถรตรงที่ไม่ชอบนิสัยนักการเมืองของหลินเต๋อเทียน แต่ด้วยฐานะที่เป็นหัวหน้าหน่วย NSA เขาต้องทำทุกอย่างเพื่อปกป้องความมั่นคงของประเทศชาติ

ด้วยสัญชาตญาณของธันเดอร์ เขาคิดว่าไซ่เชาหงต้องเกี่ยวข้องกับบางสิ่งที่อันตราย และคิดว่าแผนของชายหนุ่มคนนั้นต้องส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศแน่นอน แต่น่าเสียดายที่เขาไม่อาจหาหลักฐานมาพิสูจน์เรื่องนี้ได้เลย

“จริงอยู่ที่ใครก็สามารถกลายเป็นชายสวมหน้ากากได้ แต่ทักษะของชายสวมหน้ากากคนนั้น ไม่ใช่ว่าจะพบเจอได้ทุกที่”

หลินเต๋อเทียนพูดเบาๆ “การที่มันสามารถหลบหนีไปจากห้องลับ สังหารหน่วย NSA ไปถึง 3 คน และยังทำลายหลักฐานจนแทบไม่เหลือ ด้วยไหวพริบและทักษะแบบนี้ แม้แต่โลกยุทธภพเองยังยากที่จะได้เจอคนแบบนี้”

“ในเมื่อคุณยังยืนยันแบบนั้น ถ้างั้นเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกแล้ว แต่ผมล่ะอยากรู้จริงๆว่าถ้าพี่เสี่ยวฉีตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ แล้วอธิบายทุกอย่างจนชัดเจน เวลานั้นคุณจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”

เย่เฟิงยิ้มก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “แต่ว่าก็ว่าเถอะ ใครจะรู้ว่าตระกูลหลินที่เป็นตระกูลอันสูงส่งจะรังแกเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนเดียว จริงไหม?”

“ถ้าเธอยอมบอกว่าชายสวมหน้ากากอยู่ที่ไหน ฉันก็จะปล่อยตัวเด็กคนนั้นทันที”

หลินเต๋อเทียนพูด

“คุณปล่อยตัวเธอก่อน แล้วผมจะคิดอีกทีว่าผมควรทรยศเพื่อนของผมดีหรือไม่”

เย่เฟิงเงยหน้าขึ้นขณะจ้องมองไปยังหลินเต๋อเทียน เขาพูดต่อไปว่า “คุณน่าจะรู้ว่าการทรยศเพื่อนตัวเองแบบนี้ เป็นใครก็ต้องรู้สึกกดดันเป็นธรรมดา ถ้าผมไม่ได้เห็นซูเหมิงหานก่อน ผมจะไม่บอกอะไรเด็ดขาด”

นี่คือการต่อรองงั้นหรอ? เย่เฟิงถึงกับกล้าทำแบบนี้ด้วย!

“หึ จะคิดมากกับเพื่อนไร้ประโยชน์ไปทำไม?”

หลินเหรินเทียนพูดเย้ยยันขณะดันแว่นตาขึ้น “มันทำอะไรให้เธอบ้าง? แล้วเธอให้อะไรกับมันบ้าง? พวกเธอทั้งคู่ก็แค่เพื่อนที่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้แก่กัน แล้วเธอจะไปคิดมากทำไม ต่อให้เธอไม่ทรยศมัน แล้วคิดว่ามันจะมาที่นี่เพื่อช่วยแฟนสาวของเธองั้นหรอ?”

เย่เฟิงมองไปที่หลินเหรินเทียนด้วยแววตาคมกริบ

“ถ้าคุณไม่ยอมปล่อยตัวซูเหมิงหานออกมา ผมก็จะไม่บอกอะไร สุดท้ายต่างฝ่ายก็ต่างเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์”

เย่เฟิงนั่งไขว้ขาด้วยท่าทางที่ดูหยิ่งยโส ก่อนจะพูดออกไปอย่างลวกๆ

หลินเต๋อเทียนนั้นเป็นคนที่ทำอะไรเด็ดขาด เมื่อเห็นการโต้เถียงที่ดูจะยุ่งเหยิงมากขึ้น สุดท้าย เขาจึงโบกมือให้ธันเดอร์ “ธันเดอร์ ให้คนไปพาเด็กคนนั้นมาที่นี่”

ถ้าหากต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกันแบบนี้ สุดท้ายตัวเขาก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไร อย่างไรก็ตาม การที่เขาจับตัวซูเหมิงหานเพื่อล่อให้เย่เฟิงมาที่นี่ แต่หากเย่เฟิงไม่ยอมให้ความร่วมมือ แผนทั้งหมดของเขาก็ย่อมสูญเปล่า ในความคิดของหลินเต๋อเทียนนั้น เย่เฟิงเป็นเพียงแค่เด็กนักเรียนมัธยมปลายธรรมดา ถึงแม้ว่าเด็กคนนี้จะมีจิตวิทยาที่น่าทึ่ง แต่ในเมื่อมีเด็กสาวคนนั้นอยู่ที่นี่ด้วย การที่เย่เฟิงจะหนีไปจากที่นี่พร้อมกับซูเหมิงหานจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้

หลินเหรินเทียนนั่งลงขณะยังมีความกังวลในใจ บนโต๊ะตรงหน้าเขามีที่เขี่ยบุหรี่ที่เต็มไปด้วยเถ้าบุหรี่มากมาย เมื่อเห็นแบบนี้ ใครก็ล้วนเดาออกว่าเวลานี้ หลินเหรินเทียนรู้สึกกังวลใจเพียงใด

ไม่นานนัก ทหารหน่วย NSA สองคนก็นำตัวซูเหมิงหานลงมา เวลานี้ เด็กสาวสวมชุดเดรสยาวที่ดูน่ารักและสดใส เมื่อมองเห็นเย่เฟิง เธอก็รู้สึกดีใจและรีบวิ่งเข้ามาหาชายหนุ่มทันที

เมื่อเห็นเด็กสาวตรงหน้าเขา เย่เฟิงก็ยิ้มอย่างดีใจก่อนจะสวมกอดเธอไว้ “เธอไม่เป็นไรใช่ไหม?”

“อื้ม ฉันไม่เป็นไร พวกเขาจับฉันเพราะ…..จริงๆแล้วเขาต้องการตัวนาย…..”

ซูเหมิงหานหยุดพูดไปพักหนึ่งขณะมองไปรอบๆ สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวล

“สบายใจเถอะ พวกเขาไม่ทำอะไรเราหรอก”

เย่เฟิงปลอบขวัญซูเหมิงหานด้วยรอยยิ้ม และวางมือบนไหล่เด็กสาว

“เอาล่ะ ตอนนี้เธอก็บอกมาได้แล้วว่าชายสวมหน้ากากอยู่ที่ไหน?”

โดยไม่รอช้า หลินเหรินเทียนเคาะบุหรี่ในมือ และจ้องมายังเย่เฟิง

“ขอโทษทีครับ ผมไม่รู้จริงๆว่าเขาอยู่ไหน เมื่อกี้ผมแค่หลอกคุณเฉยๆ”

เย่เฟิงตอบกลับไปอย่างห้วนๆ ราวกับไม่เกรงกลัวฝ่ายตรงข้ามแม้แต่น้อย

“แก!”

หลินเหรินเทียนทุบโต๊ะอย่างแรงขณะยืนขึ้น แม้แต่แว่นตาของเขาเองยังเกือบร่วงลงพื้น

ไอ้เด็กเวรนี่ ทำไมถึงได้หน้าด้านแบบนี้?

“เย่เฟิง เธอคิดว่าเพราะตัวเองเป็นหลายชายผู้เฒ่าเย่หรือไงถึงกล้าทำแบบนี้”

ใบหน้าของหลินเต๋อเทียนกลายเป็นเยียบเย็น “จากที่ฉันเห็น เธอดูไม่เกรงกลัวที่จะสร้างความวุ่นวายที่นี่เลยสักนิด แต่ฉันขอเตือน! ต่อให้เป็นปู่ของเธอ เขาก็ไม่สามารถปกป้องเธอจากฉันได้!”

“กลัวสิครับ ผมกลัวเอามากๆเลย เพราะงั้น คุณควรจะปล่อยพวกเราไปเร็วๆ ผมจะได้ไม่สร้างปัญหาให้พวกคุณอีก”

เย่เฟิงดึงมือของซูเหมิงหานเบาๆขณะยิ้ม

“อย่าฝันไปหน่อยเลย”

หลินเหรินเทียนดันแว่นตาขึ้น และตะโกนขึ้นมาด้วยความโมโห “ห้ามปล่อยเด็กคนนี้ไปเด็ดขาด ถ้าเขากับชายสวมหน้ากากมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นละก็ เจ้าหน้ากากนั่นมันต้องมาติดกับพวกเราแน่!”

หลินเหรินเทียนต้องการจับตัวเย่เฟิงไว้เป็นตัวประกัน

เย่เฟิงยักไหล่ ราวกับแสดงให้เห็นว่าเขาไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว การพูดคุยอันไร้สาระเหล่านี้ เย่เฟิงทำไปเพื่อถ่วงเวลาจนกว่าเสี่ยวฉีจะตื่นขึ้นมาเท่านั้น เมื่อหญิงสาวคนนั้นตื่นขึ้นมาอธิบายทุกอย่างให้ชัดเจน ความจริงทั้งหมดก็จะปรากฏออกมาเอง ในเมื่อชายสวมหน้ากากช่วยเธอไว้ถึงสองครั้ง หญิงสาวคนนั้นคงไม่พูดอะไรใส่ร้ายเขาหรอก จริงไหม?

ยิ่งกว่านั้น เสี่ยวฉียังถูกพาตัวมาที่ห้องใต้ดินของไซ่เชาหงจนเกือบจะถูกสังหาร และเธอก็ได้เห็นความลับของไซ่เชาหงมากมาย อย่างเช่นเจ้าตัวประหลาดพวกนั้น

สำหรับเย่เฟิงแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นหลักฐานชั้นดีที่จะทำให้เขาพ้นข้อกล่าวหา

อย่างไรก็ตามเวลานี้ ทั้งสองฝ่ายต่างหยุดชะงักลงเมื่อเสียงโทรศัพท์ของหลินเต๋อเทียนดังขึ้นอย่างฉับพลัน เขารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับทันที

“แย่แล้วค่ะพ่อ”

เสียงหวานใสอันคุ้นเคยที่เต็มไปด้วยความร้อนใจดังขึ้น คนที่โทรศัพท์มาคือหลินชื่อฉิงนั่นเอง “เมื่อกี้นี้ เสี่ยวฉีถูกชายสวมหน้ากากพาตัวไปจากโรงพยาบาลค่ะ!”

เย่เฟิงยังคงเปิดใช้งานทักษะสัมผัสวิญญาณ เพราะฉะนั้น เขาจึงได้ยินทุกอย่างชัดเจน สิ่งที่ได้ยินนั้นทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่น

ถูกต้อง เป็นไปตามที่เขาคิดไว้ ในเมื่อผู้สมรู้ร่วมคิดของไซ่เชาหงพยายามทำลายหลักฐานทุกอย่าง เพราะฉะนั้น มันย่อมไม่ไว้ชีวิตเสี่ยวฉีแน่!

โง่เง่าจริง!

เย่เฟิงรู้สึกดูถูกตระกูลหลินที่ไม่ได้ดูแลพยานปากเอกเอาไว้ให้ดี

“แต่ว่า มันทิ้งที่อยู่เอาไว้ด้วยค่ะ”

หลินชื่อฉิงพูดต่อ

“ถ้างั้นบอกพ่อมา”

หลินเต๋อเทียนเอ่ยขึ้นอย่างไม่ลังเล

หญิงสาวบอกที่อยู่ตามที่ถูกเขียนไว้อย่างรวดเร็ว ที่นั่นคือโรงงานร้างซึ่งตั้งอยู่แถวชานเมืองอันห่างไกลและไร้ผู้คนของเมืองเหยียนจิง อย่างไรก็ตาม เย่เฟิงรู้สึกสงสัยว่าทำไมชายสวมหน้ากากที่ว่านั่นถึงทิ้งที่อยู่เอาไว้ด้วย

“ธันเดอร์ ไปสั่งคนของเราให้เตรียมตัวให้พร้อม”

หลินเต๋อเทียนกวาดมือออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว และหันไปมองชายหนุ่มคนหนึ่งที่อายุประมาณ 27 ถึง 28 ปี ซึ่งยืนอยู่ไม่ไกล “ซิวหวู่ เธอเองไปเตรียมคนให้พร้อมสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินด้วย”

“ครับผม!”

ชายหนุ่มที่ดูฮึกเหิมผิดปกติคนนั้นมีชื่อว่าหลินซิวหวู่ เขาเป็นผู้บังคับการกรมทหารรักษาความมั่นคงภายในที่ 4 ของเมืองเหยียนจิง ทหารกลุ่มนี้ถูกเรียกว่าหน่วยทหารราบเบาซึ่งพร้อมปฏิบัติภารกิจในทุกสถานการณ์ เดิมที พวกเขามีหน้าที่รักษาความปลอดภัยในเมืองเหยียนจิง และมักส่งออกไปเป็นกลุ่มเล็กๆ

“ธันเดอร์ คุมตัวเจ้าหนูนี่แล้วพาเขาไปกับเราด้วย พวกเราจะไปกันเดี๋ยวนี้”

หลินเต๋อเทียนเอ่ยขึ้น เขาหันมามองเย่เฟิงพร้อมกับคิดว่า ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามจับตัวเสี่ยวฉีไว้เป็นตัวประกัน เขาก็จะจับตัวเย่เฟิงไว้เป็นตัวประกันเช่นกัน

เย่เฟิงไม่ได้ขัดขืนอะไร

ความจริงแล้ว ตัวเขานั้นอยากรู้ใจจะขาดว่าชายสวมหน้ากากคนนั้นเป็นใคร แล้วฝ่ายนั้นต้องการอะไรกันแน่

………………….

แปลโดย Solar Spark