บทที่ 1

 

ใน ‘หัวเราะอย่างอาจหาญใต้สวรรค์ของโลกที่พลิกกลับ’ คือนิยายฮาเร็มที่ไม่ได้ตกต่ำแต่ก็ไม่ได้โด่งดัง ตัวละครที่แข็งแกร่งที่สุดคือตัวเอก คนที่แข็งแกร่งรองลงมาคือตัวร้าย

ทุกครั้งที่ตัวร้ายทำอะไรอุกอาจก็จะเป็นตัวเอกที่เข้ามาหยุดยั้งเขาเอาไว้ได้ทันเวลาเสมอ

ด้วยลักษณะอย่าง ‘สามีที่สมบูรณ์แบบ’ ตัวร้ายมักจะพยายามตอบโต้กลับครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งใช้ชีวิตของตัวเองเพื่อที่จะคว้าชัยชนะมา เขาติดอยู่ในวังวนของสายสัมพันธ์ที่ทั้งรักทั้งเกลียด ทำร้ายกันและกันกับตัวเอกในทุกๆ คำบรรยาย

วันนี้เป็นวันที่สำคัญอย่างมาก ในฐานะแฟนคลับเดนตายของนิยายเรื่องนี้ หลิงเซี่ยเตรียมตัวจะโต้รุ่งนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ของเขาและรีเฟรชหน้านิยายซ้ำๆ เพื่อรอตอนใหม่ล่าสุด

คนเขียนบอกว่าเขาจะปล่อยตอนสุดท้ายออกมาในคืนนี้ หรืออีกนัยหนึ่งคือ หลังจากติดตามนิยายเรื่องนี้มาหนึ่งปีกับอีกสามเดือน การต่อสู้ระหว่างตัวร้ายกับตัวเอกก็ได้ดำเนินมาถึงบทสรุปอันน่าตื่นเต้นแล้ว!

เพียงแต่ว่า หลังจากที่อ่านตอนสุดท้ายไปสามรอบเต็มๆ ดวงตาของเขาก็แทบจะถลนออกมาด้วยความเหลือเชื่อ เขาพลันกระอักเลือดออกมาด้วยความเคืองแค้น เลือดเหล่านั้นสาดกระจายไปทั่วหน้าจอ…

บ้าอะไรเนี่ย ฉันตามเรื่องนี้มานานขนาดนี้ ลำบากลำบนโหวตให้ทุกเดือน แล้วสุดท้ายมันดันจบแบบที่ตายกันหมดเกือบทุกคนแบบนี้เนี่ยนะ?!

ใช่แล้ว ตอนที่เขียนการเผชิญหน้าครั้งสุดท้ายที่บอสตัวร้ายพ่ายแพ้ให้กับตัวเอก คนเขียนก็เสียสติไปแล้ว!

ในห้าพันตัวอักษรของตอนสุดท้าย อาจารย์ที่สูงส่งงดงามและโคตรแข็งแกร่งของตัวเอกตาย!

สัตว์วิเศษที่แสนน่ารักน่าเอ็นดูและเป็นที่รักของทุกคนก็ตาย!

พี่น้องทั้งกลุ่มของตัวเอกเองก็ไม่ต้องพูดถึง ตายกันหมด!

และส่วนที่เลวร้ายที่สุดคือ สมาชิกฮาเร็มของตัวเอกที่เขาชอบ เทพธิดาที่ยอดเยี่ยมทั้งด้านรูปลักษณ์และความใจดี กระทั่งมู่หรงเซว่ที่แสนมีเสน่ห์ก็ตายตอนที่ปกป้องตัวเอกด้วยร่างกายของเธอ!

หรือจะพูดให้ชัดเจนไปกว่านี้ นอกจากตัวเอกและสาวๆ บางคนในฮาเร็มของเขา คนเกือบทั้งโลกได้ตายไปโดยกองทัพหุ่นเชิดจำนวนมหาศาลของตัวร้าย!

เพราะแผนการทำลายล้างสุดท้ายของตัวร้าย วงจรพลังของโลกได้ถูกแทรกแซงอย่างหนัก ทำให้เกิดความไม่สมดุลขึ้นในสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง สุดท้ายแล้ว ด้วยอาวุธที่โคตรเทพ ทวีปทั่วทั้งโลกเลยแตกสลาย มันคือวันโลกแตกที่เอามาจากการคาดการณ์ในปี 2012 ชัดๆ !

มันเป็นเพราะโชคที่มีมากเป็นพิเศษและพลังของตัวเอกเลยทำให้เขาสามารถหลุดรอดจากวิกฤตครั้งนี้ไปได้อย่างเฉียดฉิวและปกป้องดินแดนศักดิ์สิทธิ์รวมทั้งส่วนหนึ่งของฮาเร็มของเขาเอาไว้ได้

เพราะแบบนี้ ตัวเอกจึงหมดพลังและไม่อาจป้องกันการโจมตีต่อไปของตัวร้ายได้ ทำให้เทพธิดาในดวงใจของหลิงเซี่ย มู่หรงเซว่ กระโจนไปด้านหน้าของตัวเอกโดยไม่หยุดคิดเพื่อที่จะป้องกันการโจมตีราวจะผ่าสวรรค์ของตัวร้าย ตัวตนที่แสนงดงามของเธอก็หายไปทั้งแบบนั้น

… บ้าอะไรเนี่ย ไอ้ฉากชวนโมโหนี่มันไร้สาระที่สุด!!!

เผชิญหน้ากับทวีปรกร้างที่ถูกทำลายจนสุดลูกหูลูกตาและภาพน่าเศร้าของซากศพที่ไม่ว่ามองไปทางใดก็พบเห็น ตัวเอกที่แสนใจดีก็แข็งใจขึ้นมาได้ในที่สุด เลือกที่จะจัดการตัวร้ายให้จบสิ้น นี่คือสิ่งที่นิยายอธิบายเอาไว้:

ความมืดมิดได้ค่อยๆ แผ่ขยายออก เสียงระเบิดดังลั่นสะท้านไปทั่วท้องนภาพร้อมกับที่หยาดฝนเม็ดใหญ่เริ่มร่วงหล่น ทว่าเมื่อซ่งเสี่ยวหู (ตัวเอก) ก้มศีรษะของเขาลงและจ้องไปยังอวี้จื้อเจี่ย(ตัวร้าย) ที่นอนอยู่บนกองโคลนหน้าบานประตูแห่งความตายด้วยสายตาว่างเปล่า สีหน้าของเขากลับไร้ซึ่งร่องความแห่งความยินดีใดๆ

อวี้จื้อเจี่ยค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นเผยให้เห็นดวงตาสีดำสนิทเย็นเยียบริมฝีปากของเขายกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง “ในที่สุด… ข้าก็เป็นอิสระ… ไอ้โลกน่ารังเกียจนี่… ควรจะถูกทำลาย…”

ทำลายน้องแกสิ!!!

หลิงเซี่ยแทบจะคว่ำโต๊ะ อยากจะมุดหน้าจอไปพ่นเลือดใส่หน้าของคนเขียน

คนแต่งเขียนแบบนี้เพราะอยากจะขวางโลกรึไง?

ไอ้ตอนจบแบบนี้กำลังจะบอกว่าตัวเอกจะพาฮาเร็มที่เหลือของเขาไปเพิ่มประชากรโลก ย้อนกลับไปเป็นช่วงยุคเกษตรกรรมรึไง?! ในเมื่อเทพธิดาที่เขาชื่นชอบตายไปแล้ว แล้วมันมีเหตุผลอะไรให้ตัวเอกยังรอด? ทำไมไม่ตายๆ ไปด้วยกันให้หมดล่ะ?!

บอร์ดสนทนาที่มักจะสงบเงียบได้ลุกท่วมไปด้วยเปลวไฟ คนแล้วคนเล่า เหล่าแฟนคลับหญิงที่ชื่นชอบตัวร้ายและแฟนคลับชายที่ชอบมู่หรงเซว่ล้วนโพสต์บ่นเกี่ยวกับตอนจบที่ไม่อาจยอมรับได้นี่

หลิงเซี่ยเองก็รู้สึกขมขื่นและขุ่นเคือง จับคีย์บอร์ดและเริ่มพิมพ์อย่างฉุนเฉียวรวดเดียวจบ หลังจากที่ติดตามนิยายเรื่องนี้มานาน สิ่งที่เขาอยากจะอ่านไม่ใช่การทำลายล้างโลกด้วยมือของตัวร้ายเสียสติที่ชั่วร้ายเย่อหยิ่ง! สิ่งที่เขาอยากจะอ่านคือตัวเอกพาฮาเร็มที่สวยงามและกลุ่มพี่น้องของเขา และเหมือนกับที่ชื่อเรื่องบอก หัวเราะอย่างอาหาญในระหว่างที่เดินทางไปทั่วโลก! เมื่อทุกคนตายกันหมด มันจะไปมีเสียงหัวเราะได้ยังไงวะ ไม่ต้องพูดถึงความอาจหาญเลย! มันไม่มีทางที่เขาจะรับตอนจบแบบนี้ได้!

บ้าอะไรเนี่ย! นี่มันฉิบหายอะไรกัน!

นิยายเรื่องนี้ไม่ได้มีแฟนคลับเดนตายมากมาย และคนเขียนก็มักจะเขียนเพียงอย่างเดียว แทบจะไม่ตอบกับคนอ่าน ทว่าครั้งนี้ คำบ่นของหลิงเซี่ยได้รับการตอบกลับจากคนเขียนในทันที:

อวี้จื้อเจี่ยคือตัวร้ายที่ฉันชอบที่สุด และมู่หรงเซว่เองก็เป็นตัวเอกหญิงที่ฉันชอบ ดังนั้นแล้วมันถึงจบแบบนี้ →_→ตอนแรกฉันแค่เขียนเอาสนุกเฉยๆ ไม่เห็นต้องจริงจังเลย ฮ่าฮ่า *ตบไหล่*

… ‘ฮ่าฮ่า’ น้องแกสิ! *ตบไหล่* เชี่ยอะไร!

แกอาจจะเขียนเอาสนุก แต่ฉันติดตามเรื่องนี้อย่างหลงใหลและจริงจังจนถึงตอนนี้นะโว้ย!

ได้ ทำให้ตัวร้ายที่แกรักเข้าสู่ด้านมืดแล้วล่มสลายไปพร้อมกับโลกก็ได้! แต่คืนเทพธิดาแสนสวยของฉันมาก่อน!

ควรจะรู้ว่าตัวร้ายทุกตัวจนถึงตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นรายใหญ่หรือเล็ก ถ้าไม่พ่ายแพ้ให้กับตัวเอกก็ถูกตัวเอกเปลี่ยนแปลง กลายมาเป็นพวกพ้องของเขาทีหลัง!

อย่างที่คิดสำหรับคนเขียนที่เสียสติไปแล้ว กับการเขียนตอนจบที่ไร้ยางอายเลวร้ายนี่ได้!

ใบหน้าของหลิงเซี่ยแดงซ่านด้วยความโกรธเคือง เมื่อเทียบกับตอนจบที่แสนไร้ยางอายนี่แล้ว เขายอมเป็นพวกผิดปกติที่ให้ตัวร้ายตกหลุมรักตัวเอก แล้วจับมือกันไปค้นพบโลกใหม่ด้วยกันยังดีกว่า! นิยายวายยังดีกว่าโศกนาฏกรรม!

ถึงจุดนี้ อารมณ์ของเขาไม่ได้อยู่ในช่วงที่เรียกว่าใจสลายแล้ว เขาได้ถึงจุดที่เขาอยากจะทำลายล้างทุกอย่างแล้ว!

หัวใจของหนุ่มเนิร์ดคนหนึ่งไม่ใช่อะไรที่จะมาเหยียบขยี้ได้ง่ายๆ นะโว้ย!

หลิงเซี่ยกัดฟันกรอด จ้องมองคำตอบนี้ของนักเขียนอยู่สองสามนาที ก่อนจะเปลี่ยนจากแฟนคลับไปเป็นแฟนขับ(ไล่)อย่างรวดเร็ว

ทั้งหัวใจและดวงวิญญาณของเขาเจ็บปวด มันเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาที่เขาเริ่มเขียนรีวิวความเกลียดชังอันยาวเหยียด ยิ่งไปกว่านั้น เขายังทิ้งท้ายไว้ด้วยคำขอที่มาจากใจของเขา:

ถึงคนเขียนที่เสียสติไปแล้ว ขอให้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทุกซองของนายไม่มีเครื่องปรุง!

ตอนที่เข้าห้องน้ำ สิ่งเดียวที่นายจะใช้เช็ดได้ก็มีแค่ซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป!

ผู้หญิงทุกคนที่นายตามจีบเป็นเลสเบี้ยน! นายจะกลายเป็นคนโสดไปตลอดชีวิต!

ขอให้นายโดนทะลวงตูดเป็นพันๆ ครั้ง!

ขอให้ข้ามโลกไปเป็นตัวประกอบ! กลายเป็นโล่เนื้อให้ตัวหลักแล้วตายให้เร็วที่สุด!

เสียงพิมพ์ แกร่ก แกร่ก อย่างกราดเกรี้ยวดังขึ้นติดต่อกันครึ่งชั่วโมงไม่มีหยุด หลังจากที่กดปุ่ม [ตอบกลับ] แล้ว หลิงเซี่ยก็มองไปยังหน้าจอที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายอัศเจรีย์แสดงความโกรธแค้น เทเบียร์เย็นๆ ลงแก้ว แล้วรู้สึกว่าเขาได้ระบายความเศร้าโศกขุ่นเคืองในใจไปบางส่วนในที่สุด ก่อนที่เขาจะไปนอนทั้งๆ อย่างนั้น

แน่นอนว่าถ้าเขารู้ว่าชะตากรรมแบบไหนเฝ้ารอเขาอยู่ เขาย่อมเลือกที่จะตัดไอ้มือไม่รักดีนี่แทนที่จะตอบรับความหายนะจากการเขียนรีวิวนั่น อย่างน้อย เขาคงไม่เขียนคำสาปแช่งเกี่ยวกับการข้ามโลกไปเป็นตัวประกอบหรือการถูกทะลวงก้น

 

เช้าวันต่อมา หลังจากที่ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงอื้ออึง หลิงเซี่ยก็ขยี้ตาของเขาอย่างเซื่องซึมและคิดว่าเขายังคงฝันอยู่ เขายันตัวเองขึ้นอย่างเชื่องช้าก่อนจะค้นพบว่าเขานอนอยู่บนกองฟางในมุมหนึ่งอย่างน่าประหลาดใจ ในเวลาเดียวกัน สุนัขที่ร่างเต็มไปด้วยฝุ่นตัวหนึ่งก็กำลังยกขาฉี่

หลิงเซี่ยก้มหน้ามองก่อนจะตระหนักขึ้นได้ในตอนนี้ว่าร่างกายของเขามันผิดปกติ เบื้องหน้าเขาคือมือที่สกปรกทว่าผอมบางคู่หนึ่ง นี่มันไม่ใช่มือของเขาอย่างแน่นอน!

“… ความฝันนี่มันแปลกมากจริงๆ” หลิงเซี่ยพึมพำกับตนเองในขณะที่นวดขมับ ทว่าหลังจากที่เขาหยิกตัวเองอย่างแรงและแทบสะดุ้งเพราะความเจ็บปวด—เชี่ยอะไรเนี่ย นี่ฉันข้ามโลกมาเหรอ?!

หนุ่มเนิร์ดคนหนึ่งที่ชอบอยู่บ้านตลอดปี หลิงเซี่ย ย่อมรู้จักนิยายข้ามโลกจำนวนมาก แม้ว่าเขามักจะเหยียดหยามตัวเอกแสนกระจอกที่ข้ามไปยังอีกโลกแล้วเหยียบย่ำทุกอย่างด้วยความ OP แสนโกงของพวกเขาก็ตาม นี่ยังเป็นสาเหตุให้เขาชอบ ‘หัวเราะอย่างอาจหาญใต้สวรรค์ของโลกที่พลิกกลับ’ เพราะว่าตัวเอกไม่ใช่คนที่ข้ามโลกไป

มันบัดซบที่สุดกับการที่ข้ามโลกมาแล้วจะสามารถเปลี่ยนไอ้พวกขี้แพ้ให้กลายเป็นคนชนะได้! ตอนที่หลิงเซี่ยอ่านพล็อตแบบนั้นก่อนหน้านี้ เขาหัวเราะออกมาสองสามครั้ง แต่ตอนนี้ที่เขาเองก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในนั้น เขาไม่อาจที่จะเค้นเสียงหัวเราะ ‘ฮ่าฮ่า’ ออกมาได้สักคำ

แม้ว่าจะกำลังอยู่ท่ามกลางความสบสัน หลิงเซี่ยก็ยังคงตั้งตัวได้อย่างรวดเร็ว เขาต้องยืนยันก่อนว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ตอนที่เขาเห็นสภาพเสื้อผ้าที่ฉีกขาดราวกับผ้าขี้ริ้ว สีหน้าของเขาก็ว่างเปล่า—ชัดเจนว่าสถานะของร่างที่เขาใช้อยู่ไม่ได้ดีนัก

ตอนนี้มันยังเช้าอยู่ คนเพียงน้อยนิดเดินไปมาบนถนนกว้างที่ว่างโล่ง หลิงเซี่ยเสยผมที่ลงมาปรกหน้าของเขาไปด้านหลัง หมุนตัว และบังเอิญเห็นร้านร้านหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลพร้อมกับป้ายขนาดใหญ่ที่เขียนว่า ‘แพนเค้กหลงเฟ่ย’

หัวใจของหลิงเซี่ยบีบรัด ตอนนี้เขามั่นใจในข้อสันนิษฐานของเขาอย่างสิ้นเชิง เนื้อเรื่องเริ่มต้นขึ้นด้วยตอนที่ตัวเอกออกจากภูเขาในทะเลทรายก่อนที่จะเดินทางไปยังเมืองเล็กๆ แห่งนี้ที่มีชื่อแสนกระชับและองอาจบนโลกมนุษย์—หลงเฟ่ย (มังกรโผบิน) สถานที่ที่ตัวเอกและตัวร้ายเจอกัน

ตอนนี้ เขาควรจะเลือกที่จะหลีกหนีออกไปจากเส้นเรื่องหรือว่าอยู่กับมันดี? ควรจะรู้ว่าการอยู่ข้างตัวเอกคือการเผชิญหน้ากับอันตรายอย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่าเจ้านั่นเป็นโคนันเบอร์สอง ทุกที่ที่เขาไปจะเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นเสมอ ดังนั้นถ้าไม่ได้มีโล่ศักดิ์สิทธิ์ในฐานะของตัวเอก มันจะดีกว่าในการอยู่ห่างๆ แต่ถ้าเขาเมินตัวเอกและไม่สนใจเส้นเรื่อง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจุดจบย่อมเป็นการตายไปพร้อมกับการทำลายล้างทวีปของตัวร้าย…

ยิ่งไปกว่านั้น จุดที่สำคัญที่สุดคือ เนื้อเรื่องมันดำเนินไปแค่ไหนแล้ว?

เวรเอ้ย! เขาเป็นแค่โปรแกรมเมอร์ที่เลือกจะอยู่บ้าน อ่านนิยายในเวลาว่าง และค้นหาบางอย่างบนอินเตอร์เน็ตเหมือนกับผู้ชายคนอื่นๆ มันไม่ใช่ว่าเขาทำอะไรผิดหรือว่าไปลบหลู่สวรรค์สักหน่อย! ไม่ใช่ว่ามันก็แค่คำวิจารณ์เล็กๆ น้อยๆ ถึงคนแต่งไร้หัวใจและไม่น่าเชื่อถือคนหนึ่งเหรอ ท่านเทพแห่งการข้ามโลก ทำไมถึงต้องทำขนาดที่โยนใครบางคนมายังนิยายฮาเร็มอันตราย ทรยศคนอ่าน และเต็มไปด้วยโศกนาฏกรรมแบบนี้ด้วย?

ตอนนี้ ท้องของเขาเริ่มร้องไม่หยุด ไม่รู้ว่าไม่ได้กินข้าวมานานแค่ไหนแล้วถึงขั้นที่ท้องเขาเริ่มบิดเป็นเกลียว หลิงเซี่ยลูบท้องอันว่างเปล่าของเขาอย่างซึมกะทือ ในเวลาสั้นๆ ไม่รู้ว่าตนเองควรจะทำอย่างไรดี

“เอ้อตัน เจ้าหิวใช่ไหม? นี่แพนเค้ก” มือสกปรกข้างหนึ่งพลันยื่นมาหาเขาพร้อมกับแพนเค้กสีซีดที่มีรอยนิ้วมือสีดำชัดเจนจำนวนหนึ่งอยู่

หลิงเซี่ยเงยหน้าขึ้นแล้วชะงักไป เห็นร่างของเด็กอายุราวๆ 10 ขวบยืนอยู่ แม้ว่าใบหน้าของอีกฝ่ายจะดำและสกปรก ปิดบังรูปลักษณ์ของเขาเอาไว้ ดวงตาที่ดำราวกับหมึกของเขากลับส่องประกายเจิดจ้าเป็นพิเศษ บนแก้มกลมของเขาปรากฏลักยิ้มเล็กๆ ขึ้นสองข้าง ตอนที่หลิงเซี่ยเห็นจี้รูปสายฟ้าห้อยด้วยเชือกสีแดงบนลำคอของเด็กชาย เขาก็พลันนิ่งอึ้งไป—ฉิบหาย ตัวเอก!

ควรจะรู้เอาไว้ว่าในขณะที่ตัวเอกเปิดตัวมาในฐานะของขอทานตอนเริ่มเรื่อง ในตอนหลังของนิยาย สถานะของเขาได้ไปถึงจุดที่น่าตื่นตะลึงและมีชื่อเสียงเทียบเท่าได้กับลูฟี่! จี้นี้คือหลักฐานสำคัญในการบ่งชี้ถึงัวตนของเขา และตอนหลังที่หลิงเซี่ยติดตามนิยายเรื่องนี้มา การเปิดเผยเรื่องนี้ได้ทำให้เขาตื่นเต้นจนแทบเสียสติ ทำให้เขาต้องตบโต๊ะและตะโกนออกไปอย่างยินดี

รูปลักษณ์ของตัวเอกอาจจะด้อยกว่าเมื่อเทียบกับตัวร้าย แต่เขามีดวงตาที่ลึกล้ำและสามารถทำให้หัวใจของเหล่าเทพธิดาและปีศาจสั่นไหวได้ด้วยสายตาที่ทิ่มทะลวงนั้น เมื่อเผชิญหน้ากับดวงตาสีดำไร้ที่สิ้นสุดราวกับอัญมณีนั้น หลิงเซี่ยก็ไม่อาจพูดอะไรออกไปได้

“เขาเป็นคนเสียสติ ไม่รู้กระทั่งว่าต้องกินตอนที่หิว ให้ไอ้นั่นเขาไปก็เปล่าประโยชน์” เสียงใสที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งของเด็กชายดังขึ้นจากเบื้องหลัง น้ำเสียงปะปนไปด้วยความหงุดหงิด

หลิงเซี่ยหันหลังไปกลับไปอย่างแข็งๆ และอย่างที่คาดเอาไว้ มีเด็กชายอีกคนที่กำลังจ้องเขาอยู่ ไม่เหมือนกับรูปลักษณ์แสนสกปรกของตัวเอก แม้ว่าเสื้อผ้าของเขาจะเก่ามาก ทว่าพวกมันก็เรียบและสะอาดเป็นพิเศษ กระทั่งใบหน้างดงามเปราะบางของเขายังถูกล้างจนสะอาด เมื่อเขาเห็นปานแดงที่ใต้ตาขวาของเด็กชาย หลิงเซี่ยก็หน้ามืดไปชั่วขณะ—ฉิบหาย ตัวร้าย!

แฟนคลับหญิงที่ติดตามนิยายไร้ยางอายนี่ค่อนข้างจะเห็นพ้องกันว่าแม้ว่าตัวร้ายจะชั่วร้ายในทุกมุม เขาก็ยังน่ารักในหลายๆ มุม เป็นพวกบ้าความสะอาด เสียสติ กระตือรือร้น สูงส่งสง่างาม และกระทั่งยอดเยี่ยมในทั้งด้านวรรณกรรมและศิลปะ เมื่อรวมกับปานที่แสนทรงเสน่ห์นั่น เขาก็เต็มไปด้วยเสน่ห์เหลือร้ายในทุกๆ ทาง! (หลิงเซี่ย: ทำไมฉันถึงได้อยากจะวิจารณ์ไอ้ชื่อ อวี้จื้อเจี่ย(1)ตลกๆ นั่นจัง!)

เมื่อมองไปยังตัวเอกและตัวร้ายในร่างน่ารักแก้มกลมป่องด้านหน้าเขาแล้ว หลิงเซี่ยก็ครุ่นคิดอย่างเงียบเชียบ—กับการเข้ามาในเส้นเรื่องเร็วขนาดนี้ ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้!!!

ดูเหมือนว่าเทพแห่งโชคชะตาได้ตัดสินใจให้เขาแล้ว และอย่างที่คิด เป้าหมายในการถูกส่งข้ามโลกมายังนิยายเรื่องนี้คงเป็นการเฝ้ามองตัวเอกกับตัวร้ายรักและเกลียดกันด้วยตาตนเอง…

 

(1): อวี้ (御) หมายถึงการปกครอง,จักรพรรดิ จื้อ(之) หมายถึง การเป็นเจ้าของ เจี่ย (絕) หมายถึง หายไป และยังเป็นส่วนหนึ่งของคำว่าสิ้นหวัง (絕望)

 


TL: สุดท้ายก็ได้แปลนิยายวายแท้ๆ ซะทีค่ะ//ปาดน้ำตา