จางลั่วเฉินกลับไม่ได้มีอารมณ์อะไรแม้แต่น้อย เขากล่าวอย่างเรียบเรียบว่า“อย่างนั้นก็ยินดีกับน้องด้วย วันหลังก็เราก็นับได้ว่าเป็นญาติสนิทยิ่งกว่าเดิมแล้ว”

 

พอพูดจบ จางลั่วเฉินก็หันหลังเดินจากไป

 

พบหน้ากันครั้งแรก จางลั่วเฉินไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีกับลูกพี่ลูกน้องสาวสวยคนนี้เท่าไหร่นัก ในเมื่อความคิดไม่ตรงกันแล้วก็สู้เงียบไปเลยซะดีกว่า ดังนั้นเขาจึงได้กลับออกไม่อย่างหมดอารมณ์

 

เห็นจางลั่วเฉินไม่มีปฎิกิริยาสักนิด ลูกหลานตระกูลหลินทั้งหลายต่างพากันผิดหวัง

 

ทำไมถึงเป็นอย่างนี้

 

เห็นท่าทางไม่สนใจอะไรของจางลั่วเฉินแล้ว ในใจของหลินหนิ่งซานก็แอบผิดหวัง จ้องไปทางที่แผ่นหลังของจางลั่วเฉินที่เดินจากไป กล่าวอย่างไม่พอใจว่า “พี่ไม่อยากรู้สาเหตุอย่างนั้นหรอ”

 

การที่หลินหนิ่งซานแต่งงานกับองค์ชายเจ็ด จางลั่วเฉยไม่ได้ให้ความสนใจซักนิด แต่เมื่อเห็นท่าทางนางที่อยากจะบอกเขาแล้ว เขาจึงได้จำใจหยุดฝีเท้าลง หยักหน้าเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “ตอนที่พวกเจ้าแต่งงานกัน ข้าจะไปแสดงความยินดีอย่างแน่นอน ถ้าหากว่าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ข้าขอตัวจะไปหาท่านแม่ก่อน”

 

พอพูดจบประโยค จางลั่วเฉินก็เห็นสนมหลินเดินออกมาจากจวนตระกูลหลิน

 

ตาทั้งสองข้างของสนมหลินแดงกร่ำ เห็นได้อย่างชัดว่านางพึ่งร้องไห้มา ถึงแม้จะเช็ดน้ำตาหมดแล้ว แต่ก็ไม่สามารถปิดบังจางลั่วเฉินได้

 

จางลั่วเฉินรีบเดินเข้าไปรับ แล้วถามอย่างเป็นห่วงว่า “ท่านแม่ เกิดอะไรขึ้น ใครรังแกท่าน”

 

สนมหลินส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “ไม่มีอะไร พวกเรากลับกันเถอะ!”

 

เห็นท่าทางของสนมหลิน จะไม่มีอะไรได้ยังไง

 

การมาเจอหลินหนิ่งซานครั้งนี้ จางลั่วเฉินยิ่งไม่มีความรู้สึกดี ๆ กับตระกูลหลินเลย !

 

“ลาก่อน!”

 

หลินเฟิ่งเซียนเอามือไข้วหลัง เดินออกมาจากในจวน แล้วปรายตามองไปที่จางลั่วเฉินนิ่งๆ แล้วหยิบม้วนหนังสัตว์เก่าๆออกมาจากแขนเสื้อ 1 ม้วน พลางพูดว่า “นี่คือคัมภีร์ฝึกฝน ไท่อาเจี๋ย ขั้นปุถุชนระดับต่ำ 1 ชุด สามารถทะลวงจุดชีพจรได้ถึง 7 สาย เอาไปฝึกฝนซะ!ถึงจะใช่คัมภีร์ฝึกฝนชั้นสูงอะไร แต่อย่างน้อยก็สามารถปลัดกระดูกเปลี่ยนเส้นเอ็นได้ สำหรับเจ้าแล้ว แค่นี้คงเพียงพอแล้ว”

 

จากนั้น หลินเฟิ่งเซียนก็สั่งให้คนไปเอาน้ำล้างกระดูกออกมา 2  ชุด แล้วพูดเสียงเย็นว่า “ยังไงในตัวเจ้าก็มีเลือดของตระกูลหลิน น้ำล้างกระดูกสองชุดนี้เจ้าก็เอาไปใช้ด้วยได้เลย!”

 

สนมหลินจ้องหลิงเฟิ่งเซียนด้วยสายตาลึกซึ้ง พร้อมแสดงแววตาซาบซึ้งออกมา รีบดึงแขนจางลั่วเฉินแล้วกล่าวว่า “ลูกเฉิน ยังไม่รีบของคุณลุงเจ้าอีก”

 

จางลั่วเฉินมองไปที่หลินเฟิ่งเซียนที่ทำท่าทีเหมือนให้ทาน ในใจไม่พอใจอย่างมาก มิน่าท่านแม่ถึงได้ตาแดงอย่างนี้ เมื่อกี้ท่านแม่คงจะร้องขอคัมภีร์ฝึกฝนให้ตน แล้วได้รับความอัปยศอดสูอย่างมาก

 

“ไม่ต้องให้ตระกูลหลินมาให้ทานเรา ท่านแม่พวกเราไปกันเถอะ!”

 

จางลั่วเฉินไม่แม้แต่จะมองไปที่คัมภีร์ฝึกฝนกับน้ำล้างกระดูก ดึงมือสนมหลินแล้วออกไปจากจวนตระกูลหลินทันที

 

“ให้แล้วยังไม่เอา หรือคิดว่าตัวเองเป็นชายจริง ๆ ”จอมยุทธ์ลูกหลานตระกูลหลินพากันพ่นลม แล้วยิ้มเย็นชา

 

หลินหนิ่งซานมองไปที่ชายหนุ่มที่เดินออกไปจากจวนตระกูลหลินอย่างเด็ดเดี่ยว ในใจรู้สึกแปลกใจ รู้สึกว่าลูกพี่ลูกน้องที่อ่อนแอมาตั้งแต่เด็กเหมือนจะเปลี่ยนไปแล้ว !

 

“การเปิดผนึกอักษรสวรรค์ได้ เขาก็เลยเข้มแข็งขึ้นมาจากแต่ก่อน แต่ว่า เขากลับไม่รู้ว่าคนที่อายุ 16 ปีแล้วถ้าพึ่งจะเปิดผนึกอักษรสวรรค์ได้ จริงๆแล้วได้ผ่านช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการฝึกฝนไปแล้ว จะคิดมากไปทำไม ยังไงต่อจากนี้พวกเราก็ถูกลิขิตให้อยู่คนละชั้นกันอยู่แล้ว ! ”

 

หลินหนิ่งซานถอนหายใจ เดินกลับเข้าไปในสนามฝึก แล้วเริ่มฝึกต่อ

 

ออกมาจากจวนตระกูลหลิน สนมหลินจึงกล่าวว่า “ลูกเฉิน อย่าวู่วาม ขอแค่ลูกสามารถเป็นจอมยุทธได้ ใช้วิชายุทธ์ฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรง ถึงแม้แม่จะต้องลำบากมากแค่ไหนก็ไม่เป็นไร”

 

จางลั่วเฉินยืนอย่างมั่นคง หันกลับไปจ้องป้ายที่เขียนคำว่า “จวนหลิน”แล้วพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ท่านแม่ วางใจเถอะ!ถึงจะไม่มีตระกูลหลินคอยให้ทาน ยังไงข้าก็ยังสามารถเป็นจอมยุทธ์ได้อยู่ดี แล้วข้ายังจะเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งในเหล่าจอมยุทธ์”

 

สนมหลินถอนหายใจ ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก แล้วก็เหมือนกับจะนึกอะไรขึ้นมาได้ นางกล่าวขึ้นมาว่า “ลูกเฉิน เรื่องที่หนิ่งซานกับองค์ชายเจ็ดจะแต่งงานกัน ลูกรู้แล้วใช่มั๊ย ลูกก็อย่าเสียใจนักเลย!”

 

จางลั่วเฉินยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่ ท่านวางใจเถอะ!ในโลกนี้ผู้หญิงดีๆมีมากมาย คนที่ดีกว่าหลินหนิ่งซานก็ยังมี”

 

“ลูกคิดได้อย่างนี้ แม่ก็วางใจมากแล้ว”สนมหลินยิ้มแล้วกล่าวออกมาอย่าบปลาบปลื้มใจ

 

กลับมาถึงวังอวินอู่หวาง จางลั่วเฉินกินเสวี่ยตันเม็ดสุดท้าย เข้าไปมิติในหินผลึกมิติ แล้วเริ่มฝึกฝ่ามือมังกรคชสารต่อ

 

ฝึกจนกระทั่งหมดแรง เขาถึงได้นั่งลงแล้วพักสักครู่หนึ่ง

 

“ท่านแม่ได้รับความอัปยศในตระกูลหลิน ยังไงข้าจะต้องตอบแทนตระกูลหลินกลับไปอีกเท่าหนึ่งแน่ สามปีก่อน จริง ๆแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ดูแล้วคงต้องไปหาพี่อวินถามดูสักหน่อยแล้ว ยังไงก็ตาม ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องพยายามฝึกฝนให้ไปถึงขั้นอเวจีระดับกลางให้ได้ ”

 

อยากจะไปให้ถึงขั้นอเวจีระดับกลาง ยังไงก็จำเป็นต้องใช้น้ำล้างกระดูก

 

น้ำล้างกระดูก 1 ชุด ต้องใช้เงินอย่างน้อย 200 เหรียญเงินถึงจะซื้อได้ 200 เหรียญเงิน สำหรับจางลั่วเฉินนั้นไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ เลย

 

นอกจากนี้ เขาที่ฝึกฝนคือเก้าวีถีจักรพรรดิ์หมิง ถ้าอยากจะไปให้ถึงขั้นอเวจีระดับกลาง ใช้น้ำล้างกระดูกชุดเดียวคงไม่พอ …

 

“รู้แล้ว!”

 

จางลั่วเฉินตบหน้าผาก แล้วด่าตัวเองที่โง่เกินไป ทั้งๆที่ตัวเองมีขุมสมบัติขุมใหญ่แท้ ๆ ยังจะมาเสียแรงคิดเรื่องเก็บเงินอีก

 

จางลั่วเฉินชีวิตที่แล้วเขาเป็นถึงโอรสของจักรพรรดิ์หมิง อ่านคัมภีร์ฝึกฝนและเพลงยุทธ์ชั้นสูงมาก็มาก แล้วจำไว้ในสมองทั้งหมด แค่เขียนคัมภีร์ฝึกฝนหรือเพลงยุทธ์ออกมาซักเล่มก็ได้ราคาไม่รู้เท่าไหร่

 

ในโลกคุนหลุน เก้าวิถีจักรพรรดิ์หมิง กับ ฝ่ามือมังกรคชสาร ล้วนเป็นของล้ำค่าระดับเทพ ยังไงก็เอาออกมาขายไม่ได้

 

ในความทรงจำของเขายังมีคัมภีร์ฝึกฝนและเพลงยุทธ์ระดับต่ำอยู่บ้าง ถ้าเขียนออกมาซักเล่ม คงสร้างความตื่นเต้นให้กับประเทศอวินอู่จวินไม่น้อย !

 

จางลั่วเฉินรีบหยิบพู่กันและหมึกออกมา เขาแล้วเขียนเคล็ดลับและกระบวนท่าของ “เพลงดาบเทียนซิน”ขั้นวิญญาณลงบนกระดาษ ! เพลงดาบเทียนซิน เป็นเพลงยุทธ์ที่ระดับต่ำสุดที่มีอยู่ในความทรงจำของจางลั่วเฉินแล้ว

 

นั่นก็คือขั้นวิญญาณระดับต่ำ

 

“เพลงยุทธ์ขั้นวิญญาณระดับต่ำ ในประเทศอวินอู่จวินน่าจะนับได้ว่าเป็นเพลงยุทธ์ระดับสูงแล้ว แม่แต่ตระกูลใหญ่อย่างตระกูลหลินเอง เพลงยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุด ก็น่าจะเป็นเพลงยุทธ์ที่อยู่ในขั้นวิญญาณระดับต่ำ แล้วก็คงมีมากที่สุดแค่ 1 หรือ 2 ชุดเท่านั้น แค่มีเอาไว้เป็นของตระกูลไม่ได้เอาไว้ศึกษา”

 

ในประเทศอวินอู่จวินนั้น มีจอมยุทธ์มากมายไม่ได้มีโอกาสฝึกฝนเพลงยุทธ์ ถึงจะเป็นแค่เพลงยุทธ์ขั้นปุถุชนระดับต่ำก็ตาม สำหรับพวกเขาแล้วก็นับว่าเป็นของล้ำค่าอย่างที่สุดแล้ว

 

ราคาเพลงยุทธ์ขั้นปุถุชนระดับต่ำนั้น ราคาต่ำที่สุด อย่างน้อยก็ต้องขายได้ 300 เหรียญเงิน ซึ่งในบรรดาเพลงยุทธ์ขั้นปุถุชนระดับต่ำเหล่านี้ ถ้าเป็นเพลงยุทธ์ที่แข็งแกร่งขึ้นมาหน่อย ก็อาจจะขายได้ราคามากกว่า 1000 เหรียญเงิน เพื่อแย่งชิงเพลงยุทธ์ขั้นปุถุชนระดับต่ำซักเล่ม บรรดาจอมยุทธ์นั้นล้วนสู้กันอย่างไม่คิดชีวิต

 

สำหรับเพลงยุทธ์ขั้นวิญญาณระดับต่ำ ถ้าหากเอาออกไปขาย จะต้องทำให้บรรดาตระกูลใหญ่ทั้งหลายก็คงอดใจไม่ไหวเป็นแน่ ไม่ว่าต้องแลกกับอะไรก็ต้องซื้อเพลงยุทธ์กลับไปให้ได้ !

 

ถ้าตระกูลไหนมีเพลงยุทธ์ระดับวิญญาณเพิ่มขึ้นอีกเล่ม ความสำคัญของตระกูลก็จะเพิ่มขึ้นมาอีกระดับ

 

พอเขียนเคล็ดลับเพลงดาบเทียนซินเสร็จ จางลั่วเฉินยังวาดทุกกระบวนท่าของเพลงดาบเล็ก ๆ เอาไว้อีกด้วย

 

จางลั่วเฉินรวบรวมเอาลมปราณในร่างกายทีมีไม่มาก ไปรวมไว้ที่ปลายปากกา แล้วคิดถึงกระบวนท่าดาบกับลมปราณ และผนึกกันเป็นภาพวาด วิธีออกกระบวนท่าดาบ

 

ทั้ง ๆ ที่ใช้ลมปราณในร่างกายจนหมดแล้ว แต่กลับวาดเสร็จแค่ภาพเดียวเท่านั้น

 

จางลั่วเฉินรีบนั่งขัดสมาธิ แล้วโคจรเก้าวิถีจักรพรรดิ์หมิง ฝึกฝนลมปราณให้เต็มบ่อลมปราณ แล้วเริ่มวาดภาพที่สองต่อ

 

ใช้เวลาไปทั้งหมดครึ่งวันเต็ม ๆ ถึงจะสามารถวาดภาพกระบวนท่าดาบของ“เพลงดาบเทียนซิน”ออกมาได้จนครบทั้ง 12 กระบวนท่า

 

ถึงแม้เขาจะไม่มีกำลังภายในแล้ว แต่สายตาเขายังดีอยู่ ยังสามารถเข้าใจวิถีการฝึกยุทธ์ได้ดี ทุกกระบวนท่าที่วาดออกมานั้นวาดอย่างประณีต ไม่ได้แตกต่างไปจากภาพวาดกระบวนท่า“เพลงดาบเทียนซิน”ของฉบับเดิมเลยแม้แต่น้อย

 

“จากความเข้าใจในเพลงยุทธ์ของข้าในตอนนี้ วาดภาพเพลงยุทธขั้นวิญญาณระดับต่ำ ก็ถึงขีดจำกัดแล้ว ถ้าหากให้ข้าวาดเพลงยุทธ์ขั้นวิญญาณระดับกลาง คงจะวาดภาพได้แค่ 1 ใน 3 ของกระบวนท่าเท่านั้น”

 

เพลงยุทธ์ที่มีคุณค่า ไม่ใช่จะสามารถลอกออกมาได้ง่าย ๆ

 

คนธรรมดา ถึงจะท่องเคล็ดลับและกระบวนท่าของ“เพลงดาบเทียนซิน” ได้แล้วเขียนลงบนกระดาษ ถึงแม้ว่าจะมีทั้งวิธีฝึกและภาพกระบวนท่า แต่คนที่ฝึกได้สำเร็จกลับไม่สามารถแสดงอานุภาพของขั้นวิญญาณระดับต่ำออกมาได้

 

ชีวิตที่แล้วจางลั่วเฉินคือผู้ที่แข่งแกร่งถึงขั้นเทพระดับสูงสุด แต่ก็สามารถวาดได้แต่เพียงจิตวิญญาณของเพลงดาบขั้นวิญญาณระดับต่ำเท่านั้น ถ้าเป็นเพลงยุทธ์ที่ระดับสูงกว่านี้ เขาเองก็ไม่สามารถวาดจิตวิญญาณออกมาได้ทั้งหมด

 

“เพลงดาบขั้นวิญญาณระดับต่ำ คงจะสามารถขายได้ราคาที่ไม่เลวแล้ว”

 

จางลั่วเฉินไม่ได้รีบเอา“เพลงดาบเทียนซิน”ไปขายที่เมืองอู่ แต่รอกระทั่งให้ฟ้ามืด แล้วจึงเดินออกไปจากวัง

 

“องค์ชายเก้า ดึกขนาดนี้ยังจะออกนอกวังอีกหรือ”ทหารยามที่ยืนเฝ้าประตูสองนายถามขึ้น

 

ทหารยามทั้งสองนายนี้เองก็รู้ว่าองค์ชายเก้าและสนมหลินนั้นถูกขับออกมาอยู่ที่ตำหนักทั่วไป นั่นหมายถึงในวังหวางพวกเขาไม่มีอำนาจแล้ว ดังนั้นใบหน้าของทหารทั้งสองนายถึงไม่ได้มีสีหน้าที่มีความเกรงกลัวและเคารพอยู่เลย ซ้ำยังไม่ได้แสดงความเคารพต่อจางลั่วเฉินอีกด้วย

 

จางลั่วเฉินไม่ใช่จางลั่วเฉินที่เคยอ่อนแอคนนั้น สายตาอันคมกล้าจ้องไปยังทหารทั้งสองนายนั้น แล้วยืดหน้าอกขึ้นพลางกล่าวว่า “ข้าจะไปตระกูลหลินหาน้องหนิ่งซาน ยังไม่รีบเปิดประตูอีก”

 

ไม่ว่ายังไงจางลั่วเฉินก็เป็นลูกหลานตระกูลฮวางที่สูงศักดิ์ ทหารทั้งสองนายเองก็ไม่ได้อยากจะล่วงเกินเขา พวกเขาเปิดประตูวัง ใช้สายตามองจางลั่วเฉิน

 

“จะเสียงแข็งอะไรนัก ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นลูกของฮ่องเต้อวินอู่จวิน ก็ไม่รู้ว่าจะต้องตายไปซักกี่ครั้งแล้ว”หนึ่งในทหารยามสบถออกมา

 

“หลินหนิ่งซาน หัวกะทิของตระกูลหลินเองก็กำลังจะแต่งงานกับองค์ชายเจ็ด เขายังไม่ยอมตัดใจ โง่เง่าจริง ๆ ” ทหารอีกนายก็พูดออกมาอย่างดูถูก

 

จางลั่วเฉินเองก็ไม่ได้ไปหาหลินหนิ่งซานจริง ๆ แค่หาข้ออ้างออกนอกวังที่จะไม่ทำให้คนอื่นสงสัยเท่านั้น!

 

ออกมาจากวัง จางลั่วเฉินก็หยิบเอาเสื้อคลุมสีดำออกมาจากหินผนึกมิติ คลุมร่างทั้งร่างไว้ แล้วเดินเมืองหวางที่มีแสงไฟสว่างไสว

 

ในความมืด ไม่มีใครสามารถมองหน้าของเขาได้ชัดเจน

 

ผ่านไปไม่นาน จางลั่วเฉินก็เดินผ่านถนนที่ครึกครื้น แล้วเข้าไปในเมืองอู่

 

สถานที่อื่น ๆ ของเมืองหวาง ก็มีเพียงแค่เขตของ“เมืองสู”และ“เมืองอู่” ซึ่งมีขนาดเพียงแค่ 1 ใน 10 ของเมืองหวางเท่านั้น แต่กลับเป็นเมืองที่เจริญที่สุดของอวินอู่จวิน

 

เมืองอู่แบ่งออกเป็น 5 เขตคือ ตลาดค้ายา ตลาดค้าอาวุธ ตลาดค้าสัตว์ ตลาดค้าทาส และตลาดศูนย์กลางค้าขาย

 

เมืองอู่สามารถตัดสินความเจริญและความเสื่อมโทรมของประเทศอวินอู่จวินได้ ดังนั้น ประเทศจวินจึงค่อนข้างเข้มงวดกับการจัดการในเมืองอู่มาก

 

ทุกคนที่เข้ามาในเมืองอู่จะต้องถูกทหารตรวจสอบ มีเพียงแค่จอมยุทธหรือผู้ที่มีฐานะสูงส่งเท่านั้น ถึงจะมีสิทธ์เข้าไปในเมืองอู่

 

(จบแล้วครับ)

สามาอ่านก่อนใครได้ที่เพจ BOXKINGS หรือเพจหลัก WGSD  เทพจักรพรรดินิรันดร์กาล – จีนแปลไทย  ฝากกดไลค์เพจกันด้วยนะครับ