ซางดี่ขวิน( พี่สาวของซางหยงจิน)
ซางหยงจิน (เจอที่หมู่บ้านเขาล้อม)
ซูเรนเฟย์ (เจอที่หมู่บ้านเขาล้อม)
ฮูหว่านจุน (เจอที่หมู่บ้านเขาล้อม)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ไม่กี่นาทีต่อมาถังซิ่วก็ปรากฏตัวที่หน้าทางเข้าของ ร้านอาหารหลง ในขณะที่พี่น้องหลง, หลงเซ้งหยูและหลงเซ้งหลินกำลังรอถังซิ่วอยู่ที่นั่น
“ลูกพี่ วันนี้ไม่ว่าเราจะได้หมู่บ้านเขาล้อมนี้หรือไม่นั้นมันขึ้นอยู่กับนายแล้ว ”
เมื่อเห็นถังซิ่ว, พร้อมด้วยท่าทางตื่นเต้น, หลงเซ้งหลินพูดขณะที่เขาก้าวไปข้างหน้าและจับมือกับถังซิ่ว อย่างแนบแน่น
ถังซิ่วยิ้มและไม่ได้พูด, แต่สายตาของเขาได้ล็อคไปที่หลงเซ้งหยู
หลงเซ้งหยูเองก็ได้มองถังซิ่ว อย่างเงียบๆในขณะที่ดวงตาของทั้งสองได้ชนกันในอากาศ
“ฉัน หลงเซ้งหยู, พี่ชายของ หลงเซ้งหลิน ขอบคุณที่ช่วยดูแลเขา, ชะตาของเราวันนี้ขึ้นอยู่กับ ปรมาจารย์ ถัง แล้วอย่างแท้จริง ”
เมื่อเขาเห็นว่าถังซิ่ว ไม่ได้ทักทายน้องชายของเขา แต่กลับสังเกตการปรากฏตัวครั้งแรกของเขา, หลงเซ้งหยูได้พยักหน้าให้, เขาเริ่มทำความรู้จัก กับถังซิ่วขณะยื่นมือขวาให้เขา
ความรู้สึกแปลกๆ และแปลกประหลาดเกิดขึ้นในหัวใจของถังซิ่ว เมื่อเขาได้ยินคำพูดของหลงเซ้งหยูและเขาเรียกตนว่าปรมาจารย์แต่ถึงกระนั้นเขาก็เหยียดมือออกมาเพื่อจับกับหลงเซ้งหยู
“คุณหลง จริงๆแล้วผมอาจจะมีความสามารถในการสังเกตและคำนวณได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ แต่ผมไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับเทคนิคและกฎการพนัน โปรดยกโทษให้ผมด้วย วันนี้ผมทำได้แค่พยายามอย่างสุดความสามารถและไม่สามารถรับประกันได้ว่าผมจะชนะหรือไม่ ”
ถังซิ่วจ้องไปที่หลงเซ้งหยูสักครู่ และพูดในขณะที่ยิ้ม
เมื่อเขาพูดคำเหล่านี้, ถังซิ่วกังวลมาก เขากังวลว่าเซ้งหยูจะไล่เขาออกไป
เป็นเพราะหลงเซ้งหลินแสดงออกได้ถึงความเครียดตอนที่โทรมาอย่างเห็นได้ชัด โครงการหมู่บ้านเขาล้อมนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อ ตระกูลหลงแม้ว่าตระกูลหลงจะต้องได้หมู่บ้านเขาล้อมแต่เขาก็ไม่สามารถให้การรับรองได้ว่าเขาจะชนะ
เป็นความจริงที่ว่า เหตุผลที่ทำไมถังซิ่วสัญญาว่าจะมาช่วยพวกเขาเป็นเพราะปัจจัยเรื่องรางวัล แต่สิ่งที่ล่อลวงเขาคือสิทธิในการพัฒนาและการแสวงหาประโยชน์ของหมู่บ้านเขาล้อม
นับตั้งแต่ที่เขาได้ค้นพบเส้นชีพจรวิญญาณบนภูเขานั้น, ถังซิ่วได้ขบคิดและกังวลเกี่ยวกับวิธีการที่ถูกต้องที่จะเป็นเจ้าของสถานที่ที่มีเส้นชีพจรวิญญาณนี้ เขาไม่เคยคิดเลยว่า หลงเซ้งหลินจะเข้ามาหาเขาเอง มันเหมือนกับว่าเขาง่วงนอนและมีคนส่งหมอนมาให้เขา ซึ่งข้อเสนอนี้ถังซิ่ว ไม่สามารถปฏิเสธได้
อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหน้านี้หรือในชีวิตนี้ของเขา, ถังซิ่วไม่เคยพึ่งพาการพนันเพื่อหารายได้ ดังนั้นเขาจึงไม่มั่นใจในทักษะการพนันของเขา นี่คือเหตุผลที่เขาพูดกับหลงเซ้งหยูอย่างจริงจังเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกโยนความผิดเพราะเขาแพ้การพนัน
แต่ถังซิ่วไม่คิดว่าคำสารภาพที่ซื่อสัตย์ของเขา ทำให้ความประทับใจของหลงเซ้งหยูต่อเขานั้นเพิ่มมากขึ้น ความเชื่อมั่นของหลงเซ้งหยูที่ลดลงไปถึงก้นบึ้งดูเหมือนจะได้ฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง
“ท่านปรมาจารย์นั้นถ่อมตัวเกินไป การพนันมักเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและไม่สามารถคาดเดาได้ ไม่มีใครกล้าที่จะตบหน้าอกและอวดตัวว่าจะเป็นผู้ชนะ ”
หลงเซ้งหยูยิ้มและมองไปที่ถังซิ่วด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม
เมื่อเขากำลังทักทายกันอยู่นั้น ได้มีเสียงเบรกรถที่ดังสนั่นอยู่หน้าทางเข้า ตามมาด้วยกลุ่มคนที่รีบออกมาจากรถและรีบเดินมาที่ทางเข้า
เมื่อเขาเห็นคนเหล่านี้ถังซิ่วก็รู้สึกประหลาดใจ
เพราะคนเหล่านี้กลายเป็นคนที่เพิ่งขัดแย้งกับเขามา –ซางหยงจิน , ฮูหว่านจุนและซูเรนเฟย์
เกือบจะในเวลาเดียวกันที่ถังซิ่วเห็นซางหยงจินและทั้งสามคน, ซางหยงจินผู้ที่กำลังเดินมาที่ทางเข้าก็สังเกตเห็นถังซิ่ว เหมือนกัน
ช่วงเวลาที่เขาเห็นถังซิ่ว , ร่างของซางหยงจินก็หยุดลงทันทีพร้อมกับก้าวถอยหลังอย่างไม่สามารถควบคุมได้
คนน่าสงสารอย่างซูเรนเฟย์และฮูหว่านจุน ที่อยู่เบื้องหลังซางหยงจินนั้นไม่สามารถมองเห็นถังซิ่วได้เนื่องจากสายตาของพวกเขาถูกขวางโดยเขา ดังนั้นเมื่อ ซางหยงจินหยุดเดินและก้าวถอยหลัง พวกเขาทั้งสองก็ไม่มีเวลาที่จะหยุดการก้าวเดินของพวกเขา
เสียงดังวูบสองครั้ง เมื่อร่างของซูเรนเฟย์กับร่างของฮูหว่านจุง ชนเข้ากับร่างกายของซางหยงจิน
ร่างกายของซางหยงจินที่เหมือนหอคอยเหล็กที่ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย แต่ซูเรนเฟย์และฮูหว่านจุงที่กระแทกกับเขานั้น ล้มลงพร้อมกับก้นของพวกเขาที่นั่งอยู่บนพื้นดินขณะที่พวกเขาตะโกนด้วยความเจ็บปวดทันที
“นะ-นาย … ทะ ทำไมนายถึงได้มาอยู่ที่นี่ … นะ- นะคงไม่ได้มายุ่ง … ”
ซางหยงจินไม่สนใจความลำบากใจและความอายของเพื่อนของเขา ขณะที่เขามองไปที่ถังซิ่วและพูดด้วยท่าทางที่ตื่นตระหนก
การบาดเจ็บทางจิตที่ถังซิ่วได้สลักตราตรึงไว้ในใจของเขานั้นใหญ่เกินไป ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครที่เขาต้องก้มหัวคาราวะ แต่ถังซิ่วนั้นเป็นคนเดียวที่บังคับให้เขาต้องคุกเข่าและคำนับ
ความจริงนี้ทำให้ซางหยงจินเสียใจและไม่มีที่ทำอะไรได้แท้เพราะเขานั้นได้ถูกจัดการโดยถังซิ่วอย่างราบคาบทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนนั้นคือใคร
ซางหยงจินต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับเอกลักษณ์ ของถังซิ่วอย่างช้าๆและค่อยๆแก้แค้นเขา
มันไม่เคยแม้แต่จะอยู่ในความฝันของเขาด้วยซ้ำที่คิดว่าถังซิ่วจะปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็วต่อหน้าเขา โดยไม่ทันได้เตรียมพร้อมจิตใจที่จะเผชิญหน้ากับเขาอย่างรวดเร็วแบบนี้ ซางหยงจินรู้สึกหงุดหงิดในขณะที่เขาสูญเสียความสงบเพราะความกลัว
“น้องชาย ถัง,นี้มันเรื่องอะไรกันงั้นหรอ ?”
เมื่อหลงเซ้งหยูเห็นว่าทั้งสามคนนั้นมาถึง เขาอยากจะไปหาที่ซ่อนตัว แต่เขากลัวที่จะออกไป ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำใจให้แข็งเข้าไว้และยืนเคียงข้างถังซิ่ว
ตอนแรกหลงเซ้งหยู คิดว่าเมื่อทั้งสามคนนั้นเห็นเขา พวกเขาจะต้องเยาะเย้ยและเย้ยหยันเขาและ เขาจะไม่สามารถออกไปจากสถานการณ์นี้ได้ แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าความสนใจของซางหยงจิน จะถูกดึงดูดไปโดยถังซิ่วที่อยู่ข้างหลังเขาและสูญเสียบุคลิกภาพของเขา ซึ่งทำให้หลงเซ้งหยูนั้นประหลาดใจอย่างมาก
เขาตระหนักดีถึงสถานะของซางหยงจินในแวดวงสังคมของเขา ทุกคนรู้ดีถึงเรื่องที่ว่าซางหยงจินนั้นเขาเป็นคนที่ไร้เหตุผล
แต่เมื่อเห็นคนๆนั้นกลัวถังซิ่วหลงเซ้งหยูนั้นสงสัยเป็นอย่างมาก เกี่ยวกับความเป็นมาของถังซิ่วในขณะที่ความมั่นใจในตัวของเขานั้นเพิ่มมากขึ้นในเวลาเดียวกัน ทัศนคติของเขาเกี่ยวกับถังซิ่วนั้นก็ได้เปลี่ยนไป
“ไม่มีอะไรที่เขาเข้าใจผิดว่าผมเป็นคนอื่น”
ถังซิ่วกวาดสายตาไปที่ซางหยงจินเบาๆ เมื่อซางหยงจินนั้นยังคงคิดอยู่ว่าถังซิ่วจะเปิดเผยเรื่องที่น่าอับอายของเขา ถังซิ่วได้ส่ายศีรษะและถอนสายตาของเขา
ในขณะนี้ซูเรนเฟย์และฮูหว่านจุนั้นได้เห็นถังซิ่วพร้อมกับหลงเซ้งหยูและหลงเซ้งหลิน เช่นกัน
เมื่อเห็นว่าถังซิ่วกำลังยืนอยู่พร้อมกับพี่น้องหลง การแสดงออกที่ประหลาดใจก็เกิดขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา ในขณะที่หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย
พวกเขามีได้เผชิญหน้ากับถังซิ่วถึงสองครั้ง และทั้งสองครั้งที่เผชิญหน้ากันนั้น ผลลัพธ์คือความล้มเหลวและความพ่ายแพ้ของพวกเขา นี่ไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย พวกเขากลัวว่าถังซิ่วจะเปิดเผยเหตุการณ์ที่น่าอายเหล่านั้นและจะเปลี่ยนพวกเขาเป็นตัวตลก
ทั้งสามคนก็รู้สึกสบายใจเมื่อถังซิ่วไม่ได้พูดถึงเรื่องราวที่น่าอับอายของพวกเขาแถมยังทำเป็นไม่รู้จักกัน นี้เป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกขอบคุณและโกรธในเวลาเดียวกัน
พวกเขาทั้งสามมองไปที่ถังซิ่วด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบายอยู่ในดวงตาของพวกเขา ก่อนที่พวกเขาจะรีบวิ่งเข้าไปในห้อง
“จำคนผิด ?”
หลงเซ้งหยูเมื่อเขาได้ยินคำตอบของถังซิ่ว เขาเกิดแรงกระตุ้นที่จะถามออกมา แต่เขาก็ได้กลืนคำถามเหล่านั้นกลับไป
“พี่ การพนันกำลังจะเริ่มแล้ว เรารีบขึ้นไปชั้นบนกันเถอะ ”
หลงเซ้งหลินพูดอย่างกระวนกระวายพร้อมความรู้สึกกังวล
ห้องอาหาร หลง ตั้งอยู่ในถนนการค้าที่รุ่งเรืองที่สุดของเมืองสตาร์ซิตี้ ทั้งอาคารมี 49 ชั้นและมีรูปคล้ายกับมังกรทองสองตัวพันล้อมรอบตัวอาคาร
ห้องอาหาร หลง เป็นอาคารรูปแบบตึกระฟ้าที่เป็นอาคารสูงและมีความสำคัญทางธุรกิจที่สำคัญของเมืองสตาร์ซิตี้ ในขณะที่ได้สร้างตำนานมากมายในวงการธุรกิจทั่วในโลก
สำหรับนักธุรกิจและดาราในจังหวัดชวนฉิงนั้น การที่สามารถพักอาศัยอยู่ที่นี่นั้นถือว่าเป็นเกียรติและศักดิ์ศรีของพวกเขา เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ราคาของห้องพักก็สูงเสียดฟ้า
ตอนนี้ที่ห้องนั่งเล่นของร้านได้มีคนสองคนนั่งอยู่
หนึ่งในนั้นคือหญิงสาวอายุ 30 ปีในชุดจีนรัดรูปทำให้เห็นรูปร่างที่งดงามของเธอ หน้าที่ขาวผ่องและแว่นตากันแดดที่ทำให้เธอนั้นดูลึกลับ
อีกคนหนึ่งเป็นผู้ชายวัย 60 ปีในชุดเสื้อกล้ามจีนสีขาว ด้วยท่าทางจริงจัง หน้าทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสและดวงตาที่ลึกซึ้ง ขณะที่ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นถึงความรู้สึกสงบ
ปรมาจารย์ เจี่ย วันนี้เรานั้นต้องพึ่งคุณแล้ว ตราบใดที่คุณสามารถชนะได้ คุณจะได้เป็นผู้ถือหุ้นของเขตนั้นตลอดไป “
หญิงสาวคนนั้นพูดขึ้นพร้อมจุดบุหรี่
“คุณผู้หญิง ซาง คุณสามารถมั่นใจได้ว่าเมื่อตาเฒ่าคนนี้เล่นพนันเมื่อไหร่ การพนันนั้นเลือกได้เลยว่าจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ไม่มีใครในจังหวัดชวงฉิง นี้ที่กล้าพนันแข่งกับเฒ่าคนนี้ “
คนแก่คนนั้นพยักหน้าและยิ้มบนใบหน้าของเขา
หลังจากที่ได้ยินคำนั้นซางดี่ขวินกรอกตานิดนึงและกลับเป็นเหมือนเดิม
ซางดี่ขวินไม่ชอบคนที่พูดจาใหญ่โต แต่เมื่อนึกถึงความสามารถในการพนันของ ปรมาจารย์ เจี่ย ที่ผ่านมานั้นพร้อมกับชื่อเสียงของเขาในจังหวัดนี้ เธอรีบกลืนคำพูดของเธอกลับลงท้องทันที
นับตั้งแต่ซางดี่ขวินได้เผยแพร่ข่าวและประกาศว่า เจี่ยหลุยเดาจะช่วยในการเล่นพนันในห้องอาหารหลง นักพนันเกือบทั้งหมดนั้นไม่กล้าที่จะไปเป็นตัวแทนการเล่นพนันของฝั่งตระกูลหลง นี้เป็นสิ่งยืนยันถึงชื่อเสียงของเจี่ยหลุยเดา
“ฉันชื่นชอบการเล่นพนันของปรมาจารย์ เจี่ย ไม่อย่างนั้นคงไม่เชิญให้คุณมาจัดการเรื่องนี้ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่และสำคัญมาก ดังนั้นจะดีกว่าถ้าจะระมัดระวังเสมอ ”
หลังจากเงียบนานแล้วซางดี่ขวินได้พูดขึ้น
หลังจากได้ยินซางดี่ขวินพูดถึงการครอบครองหมู่บ้านเขาล้อมนั้น การแสดงออกของเจี่ยหลุยเดานั้นได้เปลี่ยนไปเป็นจริงจังทันที
เมื่อเจี่ยหลุยเดากำลังจะพูดถึงความมั่นใจของเขาและการรับประกันผลว่าเขาจะชนะ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกทันทีโดยซางหยงจิน, ฮูหว่านจุน และซูเรนเฟย์และเดินเข้ามาตามๆกัน
“พวกเธอนี้ทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อยเลยจริงๆ ถ้าเกิดว่ามันเป็นวันปกตินั้นฉันจะไม่ว่าเลยที่จะมาสายกัน แต่พวกเธอกลับเกืออบมาสายในวันสำคัญนี้ พวกเธอคิดว่าฉันจะรู้สึกโล่งใจที่จะมอบหมู่บ้านนี้ให้พวกเธอไหม ? ”
ขณะที่เธอได้เห็นซางหยงจินและทั้ง 3 คน ท่าทางก่อนหน้านี้ของเธอที่ดูสง ได้กลายเป็นเสือที่ดุร้ายขณะที่เธอเผชิญหน้ากับซางหยงจินและทั้งสามคน เธอพูดกับพวกเขาด้วยเสียงคำราม
“พะ…พี่สาว … ผะ ผะ … ระ ระหว่างทางที่เรามานั้น, คือเราเกือบจะได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์ ดังนั้นเราจึงล่าช้าและมาสาย ”
ภายใต้การจ้องมองที่คมชัดและรุนแรงของซางดี่ขวิน , ซางหยงจินราวกับว่าเป็นนักเรียนระดับประถมที่ทำผิดพลาดขณะที่เขาก้มหัวลงและขอโทษ
ซูเรนเฟย์และฮูหว่านจุนที่ยืนอยู่เบื้องหลังซางหยงจิน นั้นไม่กล้าที่จะเอ๋ยอะไรออกมา
เมื่อเธอได้ยินมาว่าซางหยงจินเกือบจะได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์ ซางดี่ขวินที่นั่งอยู่ได้ลุกจากเก้าอี้และขึ้นยืนพร้อมกับมาถึงหน้าซางหยงจิน ใน 3 ก้าว เธอวนรอบตัวเขาสองรอบด้วยท่าทีประหม่าและเธอถามขั้นว่า
“ยงจินบอกพี่มาว่าเกิดอะไรขึ้น? ร่างกายของเธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ”
ในเวลานี้ลักษณะของเธอจากก่อนหน้านี้เปลี่ยนไปเป็นตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นเหมือนผู้หญิงธรรมดาที่เต็มไปด้วยความรักดั่งที่แม่มีให้กับลูก