…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ห้องอาหารหลงเมืองสตาร์ซิตี้

ในห้องpresidential suit, ถังเกาเชิงเองกำลังนั่งอยู่ตรงโซฟาในห้องนั่งเล่น เขาที่เป็นคนที่ไม่ได้สูบบุหรี่มาหลายปีก็ได้จุดมันขึ้นแม้ว่าลูกๆของเขาจะห้ามมันก็ตามก็ไม่สามารถทำให้เขาหยุดมันได้ บนใบหน้าเหี่ยวๆของเขานั้นถูกแต้มไปด้วยคิ้วที่กำลังขมวดเข้าหากันพร้อมกับสายตาที่ขดข่ออยู่กับโทรศัพท์ที่วางอยู่ตรงหน้า

กำลังรอ !

เขากำลังรอรายงานจากคำสั่งที่เขาให้ไปหลังจากกลับจากโรงพยาบาล

“ริ้งงงง ริ้งงงงง ริ้งงงงงง”

เสียงเรียงเข้าก็ได้ดังขึ้นพร้อมกับถังเกาเชิงที่รีบกดปุ่มตอบรับทันที

“พูดมา…….”

ถังเกาเชิงเองก็ได้ดับบุหรี่นั้นพร้อมกับพูดด้วยท่าทางที่จริงจังอย่างมาก

เสียงรายงานเองก็ได้ถูกส่งผ่านมาทางปลายสายว่า

“เจ้าหน้าที่อาวุโส, เราได้ทำการสืบประวัติทั้งหมดของถังซิ่วเรียบร้อยแล้ว เขาเป็นเด็กอายุ20ปีซึ่งเป็นคนที่โดดเด่นและปีนี้เองก็ได้คะแนนในการทดสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้านวิทยาศาสตร์อับดับสูงสุดของจังหวัด บ้านเกิดนั้นอยู่ที่เมืองชิงเหอในหมู่บ้านตระกูลซู ไม่มีพ่อซึ่งเป็นแม่ของเขา ซูหลิงหยุนที่เป็นคนชุบเลี้ยงมา บ้านเกิดของยายของเขาอยู่ที่……”

หลังจากที่ถังเกาเชิงได้ยินรายงานของถังซิ่วแล้วพบว่าเขาอายุ20ปีนั้นเขาเองก็ได้ยืนขึ้นทันที หลังจากที่ได้ยินชื่อซูหลิงหยุนนั้นร่างกายชราๆของเขาก็ยิ่งสั่นสะท้าน

เขาสามารถรับรู้ได้ว่าถังซิ่วคือหลานชายแท้ๆของเขา

อายุ ตรง

ลูกกำพร้าพ่อ ตรง

ซูหลิงหยุนซึ่งชื่อก็ตรงกับคำว่าหยุนน้อย

ถังเกาเชิงไม่เชื่อว่าหลายๆสิ่งที่ตรงกันนี้นะเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น

เมื่อได้ยินรายงานแล้วเขาก็ได้นั่งอยู่ที่โซฟาอยู่นานด้วยดวงตาที่เริ่มชื้นขึ้นด้วยความรู้สึกซับซ้อน เขาเข้าใจความรู้สึกโกรธและเกลียดของถังซิ่วดี เรื่องนั้นมันเกิดขึ้นกับลูกชายของเขาอย่างกะทันหันจึงไม่ได้พูดสารภาพกับซูหลิงหยุน

เพียงแค่ ! เขาไม่เข้าใจว่าทำไมตลอดหลายปีมานี้เธอไม่ได้มาที่ตระกูลถัง อย่าบอกนะว่าเธอไม่รู้ว่าเธอได้ตั้งครรภ์ของสายเลือดตระกูลถังแล้วก็ถือว่าเป็นลูกสะใภ้ของตระกูล

ถังหยุนเป็งที่ยืนอยู่ใกล้ๆกับโซฟานั้นก็ได้มองไปที่หน้าตาซับซ้อนของพ่อพร้อมกับถามออกมาหลังจากที่ลังเลอยู่นานว่า

“เป็นอย่างไรบ้างครับพ่อ ? ”

ถังเกาเชิงเองก็ได้มองไปที่หลานและลูกของเขาก่อนที่จะพยักหน้าแล้วตอบว่า

“ใช่แล้ว ถังซิ่วเป็นลูกของน้องชายพวกเธอและเป็นหลานชายแท้ๆของฉัน”

ถังหยุนเป็งเองก็ได้พูดออกมาว่า

“แต่อายุของเขา”

ถังเกาเชิงเองก็ได้ตอบกลับไปว่า

“เขาไม่ต้องการให้เรามีความสัมพันธ์กันจึงได้โกหกออกไป อายุจริงๆของเขานั้น20ปีและมีแม่ชื่อว่าซูหลิงหยุน ไม่มีพ่อ เขาเติบโตขึ้นในย่านชนบทแถบชานเมือง”

ในพริบตานั้น ถังหยุนเป็ง ถังเซี่ยและถังดงเองก็ได้เข้าใจเรื่องทุกอย่างทันที

ถังหยุนเป็งเองก็ได้พูดออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า

“คุณพ่อ ในเมื่อเขาเป็นลูกหลานตระกูลเราก็ช่วยไม่ได้ที่เราต้องเข้าไปก้าวก่ายไม่ว่าเขาจะอยากหรือไม่ก็ต้องกลับไปเมืองหลวงเพื่อคำนับหลุมศพของบรรพชนเพื่อกลับเข้าตระกูลของเรา ยิ่งไปกว่านั้นคือความสามารพด้านการแพทย์ของเขาก็น่าทึ่งเป็นอย่างมาก สามารถรักษาได้แม้กระทั่งโรคหอบหืดที่เป็นมาหลายปีแน่นอนว่าเขาเองกน่าจะปลุกหยุนดี่ขึ้นมาจากการหลับไหลได้ ”

ถังเกาเชิงเองก็ได้พูดออกมาอย่างขมขื่นขณะที่กำลังส่ายศีรษะว่า

“เรื่องเคารพหลุมศพบรรพชนและกลับเข้าตระกูลนั้นเป็นเรื่องที่ต้องทำแน่นอนอยู่แล้วแต่มันจะเป็นสิ่งที่ยากมากๆ เมื่อตอนที่เขามั่นใจในสถานะของเราแล้วพวกเธอก็เห็นความเกลียดชังที่เขาแสดงออกมา ความเกลียดชังที่สะสมกันมานานกว่า20ปีมันไม่สามารถลบล้างได้ง่ายๆหรอกนะยิ่งไปกว่านั้นคือตระกูลถังของเราไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเรียกร้องอะไรจากเขาได้เลย อย่างแรกไม่ใช่แค่เขารักษาอาการหอบหืดของฉันแต่สองแม่ลูกคนนั้นใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวและถูกทอดทิ้งฉันเชื่อว่าหลายปีมานี้คงได้ประสบเรื่องเลวร้ายมามาก”

ถังเซี่ยเองก็ได้คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะถามออกมาว่า

“คุณพ่อจะเอาอย่างไรดีล่ะ ? ”

ถังเกาเชิงเองก็ได้พูดออกมาว่า

“ฉันจะไปที่เมืองชิงเหอด้วยตัวเองในตอนนี้ ไปเตรียมรถซะ”

“ผมไปด้วย!”

“หนูไปด้วย!”

ถังหยุนเป็งและถังเซี่ยเองก็ได้ตอบกลับไปทันที

ถังดงเองก็ต้องการที่จะพูดออกมาเช่นกันแต่เขากลัวว่าลุงของเขาจะปฏิเสธจึงได้แต่อกกลั้นเอาไว้

ถังเกาเชิงเองก็ได้ส่ายศีรษะพร้อมกับพูดว่า

“เซี่ยน้อยไปกับพ่อ หยุนเป็งกลับไปที่ตระกูลซะเพราะตระกูลของเรากำลังสั่นคลอนจากเรื่องอาการป่วยของฉัน ลูกต้องกลับไปช่วยลุงสามจัดการเรื่องต่างๆให้เข้าที่เข้าทางและยิ่งไปกว่านั้นคือต้องจัดการเรื่องของทงน้อยให้เร็วที่สุดต่อให้ต้องแลกด้วยผลประโยชน์บางอย่างก็ต้องให้เธอได้รับตำแหน่งนั้นให้ได้ มันจะเป็นทางรอดสุดท้ายของตระกูลเราหากเราเกิดปัญหาขึ้น”

“นี่……ก็ได้ครับ”

ถังหยุนเป็งเองก็ได้ลังเลก่อนที่จะปฏิบัติตาม

เมืองชิงเหอ หมู่บ้านตระกูลซู

ถังซิ่วที่เดินเข้ามาในบริเวณบ้านนั้นก็ได้เห็นแม่ของเขากำลังซักผ้าปูที่นอนของคุณยายในขณะที่ซูเชียงเฟยเองก็กำลังช่วยเธอตากผ้า

“เอิ่ม ? ซิ่วน้อย ไม่ใช่ว่าลูกบอกว่าจะไม่รีบกลับมาเร็วๆนี้งั้นหรอ ? ทำไม…….”

เมื่อซูหลิงหยุนเห็นถังซิ่วนั้นเธอก็ได้ประประหลาดใจเป็นอย่างมากก่อนที่จะถามออกมา

ถังซิ่วเองก็ได้มองไปที่ซูเชียงเฟยพร้อมกับพูดกับซูหลิงหยุนว่า

“คุณแม่ ผมมีเรื่องที่สำคัญมากที่ต้องพูดคุย เราไปหาที่เงียบๆคุยกันดีกว่า”

ซูหลิงหยุนเองก็ได้ตอบออกมาด้วยความสับสนว่า

“เรื่องสำคัญอะไร ? ”

ถังซิ่วเองก็ได้เดินไปที่ห้องข้างๆของห้องเขาก่อนที่จะพูดออกมาว่า

“แม่ เดินตามมาแล้วเดี๋ยวก็รู้อย่างไรก็ตามแม่ต้องเตรียมสติเอาไว้ให้ดี ไม่ว่าจะได้ยินอะไรจากผมก็ต้องไม่ตื่นเต้นนะ”

ซูหลิงหยุนเองก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาแล้วพูดว่า

“เจ้าลูกคนนี้นี่ทำตัวลึกลับจริงๆ โอเคแม่ไม่รับประกันหรอกนะว่าจะตื่นเต้นหรือไม่ ”

ในห้อง

ถังซิ่วได้ปิดประตูพร้อมกับปลดปล่อยจิตสัมผัสออกไปแล้วพบว่าซูเชียงเฟยไม่ได้กำลังแอบฟังอยู่แต่เขากำลังนั่งซักผ้าอยู่ที่เดิม ถังซิ่วได้พยักหน้าพร้อมกับมองไปที่ซูหลิงหยุนแล้วพูดว่า

“แม่ วันนี้ผมได้ไปเจอใครบางคนเข้า ”

ซูหลิงหยุนเองก็ได้พูดออกมาด้วยความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีว่า

“นี่ลูกไปเจอกับใครบางคนก็ต้องมารายงานให้แม่ฟัง ? หรือว่าเป็นแมวมองจากมหาลัยที่ต้องการเชิญลูกเข้าร่วมเพราะได้คะแนนสอบเข้าด้านวิทยาศาสตร์สูงสุดในจังหวัด ? แม่ได้ยินมาว่าผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดในแต่ละปีนั้นจะมีแมวมองมากมายมาติดต่อให้เขาเข้าเรียน”

ถังซิ่วเองก็ได้พูดออกมาด้วยใบหน้าที่จริงจังว่า

“คุณแม่ ที่ผมเจอไม่ใช่คนจากมหาวิทยาลัย พวกเขามี………สกุลว่าถัง!”

ซูหลิงหยุนเองก็นิ่งค้างพร้อมกับท่าทางที่เปลี่ยนไปทันที

ถังซิ่วเองก็ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า

“มีชายแก่ๆคนหนึ่งที่มีชื่อว่าถังเกาเชิงและลูกชายคนโตชื่อถังหยุนเป็ง ลูกสาวชื่อถังเซี่ยหลานชื่อถังดง พวกเขามาจากเมืองหลวงเป็นตระกูลถังจากเมืองหลวง”

ซูหลิงหยุนนั้นได้ทรุดตัวลงกับพื้นทันทีพร้อมกับท่าทางที่ตื่นตระหนก

ถังซิ่วได้พยุงตัวเธอขึ้นไปนั่งที่เตียงพร้อมกับพูดว่า

“คุณแม่ ผมคิดว่าแม่จำเป็นต้องบอกเรื่องบางอย่างกับผม แน่นอนว่าผมเองก็มีหลายเรื่องที่จะบอกแม่เหมือนกันยกตัวอย่างเช่น……เรื่องของเขา !”

เขา……

เรื่องของเขา ?

นัยน์ตาของเธอหดลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ

เขา…..

เขายังมีชีวิต ?

ถังซิ่วเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อเพราะเขารู้ว่าแม่ของเขาต้องใช้เวลาในการย่อยข้อมูลต่างๆที่ได้พูดออกไป

หลังจากผ่านไปนาน

ซูหลิงหยุนเองก็ได้พูดด้วยเสียงตำในบางจุดบางครั้งก็พูดด้วยเสียงสูงว่า

“เขา……เขาอยู่ที่ไหนกัน ? ”

ถังซิ่วเองก็ได้ตอบกลับไปว่า

“เมืองหลวง”

ใบหน้าของเธอนั้นแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกตกต่ำพร้อมกับสายธารแห่งน้ำตาได้ไหลรินออกมา เธอได้กัดไปที่ริมฝีปากก่อนที่จะถามออกมาว่า

“เขา..เขายังไม่ตาย…แล้วทำไมถึงไม่มาหาเรา ?…เขารู้ว่าในอดีตแม่หวงแหนเขา……..”

ถังซิ่วได้ขัดคำพูดของเธอพร้อมกับตอบไปว่า

“เขากลายเป็นเจ้าชายนิทราไป20ปี”

“อะไรนะ ? ”

ซูหลิงหยุนเองก็ได้สั่นสะท้านหลังจากได้ยินคำพูดของถังซิ่วโดยทันทีพร้อมกับมองไปที่เขาด้วยความไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

20ปี ?

เจ้าชายนิทรา ?

เขา…

ในพริบตานั้นเธอเองก็ได้ร้องไห้มากกว่าเดิมพร้อมกับความรู้สึกผิดในหัวใจว่าทำไมถึงไม่ไปที่เมืองหลวงทั้งๆที่รู้ว่าตระกูลของเขาอยู่ที่นั่น ทำไมถึงไม่ได้ไปดูแลเขา

ถังซิ่วเองก็ได้จับเธออย่างอ่อนโยนก่อนที่จะตบไปที่หลังของเธอเบาๆแล้วพูดว่า

“คุณแม่ ผมรู้มาตั้งแต่เด็กว่าแม่เป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งแม้ภายนอกจะดูเหมือนอ่อนแอแต่จิตใจของแม่นั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แม่ไม่จำเป็นต้องร้องไห้แล้วบอกเรื่องในอดีตให้ผมฟังเถอะ”

ซูหลิงหยุนเองก็ได้ปาดน้ำตาของเธอพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดอย่างขมขื่นว่า

“ก่อนหน้านี้เขาได้พูดว่าเพื่อนของเขาชวนออกไปดื่มและแม่เองก็ไม่ได้ใส่ใจในตอนนั้นได้แต่รอ รออยู่หนึ่งวัน สองวัน สามวัน…..”

“เขาหายตัวไปแบบไม่มีข่าวคราวแม้แต่น้อย แม่ก็ได้ไปแจ้งความแล้วแต่ก็ไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย แม่เชื่อว่าเขาจะไม่ทิ้งเราสองแม่ลูกแน่ๆดังนั้นจึงคิดว่าเขาตายไปแล้ว หลังจากนั้นแม่ก็ได้กลับไปอยู่ที่บ้านกับซูชางเหวินซึ่งเขาเป็นคนเลี้ยงดูลูกหลังจากที่คลอดออกมา แม่เองก็อยากจะไปที่ตระกูลถังแต่แม่ไม่กล้า แม่กล้าว่า……”

ถังซิ่วเองก็ได้ถอนหายใจออกมาแล้วพูดว่า

“แม่กลัวว่าผมจะถูกเอาตัวไปใช่ไหม ? ”

ซูหลิงหยุนเองก็ได้พยักหน้าของเธอ

“ตระกูลถังนั้นเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่และมั่งคั่งเป็นอย่างมาก หากว่าพวกเขารู้ว่าแม่มีลูกชายของถังหยุนดี่และมีสายเลือดเดียวกันกับพวกเขาแม่ก็กลัวว่าเขาจะแย่งตัวลูกไปจากแม่ แม่เสียสามีไปแล้วแม่จะเสียลูกไปอีกไม่ได้”

ถังซิ่วเองก็ได้ถามออกมาว่า

“แล้วตลอดหลายปีมานี้แม่ไม่ได้ไปที่เมืองหลวง ? ”

ซูหลิงหยุนเองก็ได้พูดออกมาอย่างขมขื่นว่า

“ซิ่วน้อย ลูกยังจำตอนชั้นประถมได้หรือไม่ ? ทุกๆปีที่แม่บอกว่าจำเป็นจะต้องไปที่บ้านญาติที่จังหวัดใกล้ๆแต่จริงๆแล้วแม่ไปหาข่าวเกี่ยวกับพ่อของลูก ก่อนหน้านี้แม่ได้ไปทุกปีและไปในที่ที่เต็มไปด้วยคนตระกูลถังพร้อมกับแอบฟังการสนทนาของพวกเขาแต่แม่ก็ไม่เคยได้ยินใครพูดถึงพ่อของลูกหรือพบตัวเขาเลย”

ถังซิ่วเองก็ได้พูดออกมาว่า

“คุณแม่ ผมคิดว่าแม่ทำถูกแล้วนะ ผมเติบโตขึ้นมากับแม่นั้นผมรู้สึกมีความสุขและได้รับความรักเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม…..”

ซูหลิงหยุนเองก็ได้หยุดร้องไห้ก่อนที่จะถามออกมาว่า

“อะไรหรอลูก ? ”

ถังซิ่วเองก็ได้ถามออกมาว่า

“แล้วแม่จะทำอย่างไรต่อ ? ”

ซูหลิงหยุนเองก็ได้ตอบกลับแบบไม่ลังเลเลยว่า

“ไปหาตัวพ่อของลูก ! ตราบใดที่เขายังไม่ตายแม่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น เขาหมดสติไปกว่า20ปีและเป็น20ปีที่ต้องนอนอยู่บนเตียงเย็นๆที่แม่ไม่ได้คอยดูแลเขาดังนั้นตราบใดที่เขายังคงมีชีวิตแม่ก็จะใช้อีกครึ่งชีวิตที่เหลือของแม่เพื่อดูแลเขา”