…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

โรงพยาบาลจีนเมืองสตาร์ซิตี้

ดั่ยซินหยูเองนั้นก็ได้พบกับคนจากตระกูลซูแล้วพร้อมกับเข้าใจถึงสถานการณ์ของพวกเขา เธอรีบวิ่งไปที่ห้องทำงานของหัวหน้าแผนกผู้ป่วยภายในทันที

“ก๊อก ก๊อก….”

“เข้ามา!”

เสียงของหัวหน้าแผนกได้ถูกส่งออกมาจากภายในห้อง

ดั่ยซินหยูเองก็ได้เห็นหัวหน้าแผนกที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงพร้อมสวมเสื้อคลุมสีขาว

“เธอคือ ? ”

หัวหน้าแผนกเองก็ไม่ได้สนใจดั่นซินหยูแม้แต่น้อยแต่เขากลับคิดว่าเธอหน้าตาคุ้นๆถึงได้ถามออกมา

ดั่ยซินหยูเองก็ได้พูดออกมาว่า

“หัวหน้าค่ะ ฉันคือดั่ยซินหยูเป็นนักเรียนฝึกงานของโรงพยาบาลนี้และฉันเองก็มีเรื่องที่จะต้องปรึกษาคุณคะ ”

หัวหน้าแผนกเองก็ได้รู้สึกรำคานอย่างมากเพราะเขายุ่งมาตลอดทั้งวันและเพิ่งได้นอนไป2-3ชั่วโมงเท่านั้นแต่กลับต้องถูกปลุกขึ้นมา ทว่าเขาก็ไม่ได้แสดงอารมณ์หงุดหงิดออกมาทางสีหน้าแต่กลับพยักหน้าแล้วพูดว่า

“มีเรื่องอะไรไหนว่ามาสิ !”

ดั่ยซินหยูจึงได้พูดออกมาว่า

“หัวหน้าคะตอนนี้ได้มีผู้ป่วยมาที่โรงพยาบาลของเราห้าคนแม้ว่าพวกเขาจะได้รับการรักษาแล้วแต่กลับไม่มีห้องพักและกำลังยืนรออยู่ที่หน้าทางเดิน คุณช่วยหาห้องพักให้พวกเขาหน่อยได้ไหมค่ะ ? ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาก็หงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมพร้อมพูดออกมาว่า

“ตอนนี้ได้มีผู้ป่วยเป็นจำนวนมากห้องพักก็ต้องไม่พอเป็นธรรมดา เธอจะให้ฉันช่วยหาห้องให้แล้วฉันจะไปหาให้จากไหน ? นี่เธอมาหาฉันเพราะเรื่องนี้ ? ”

ดั่ยซินหยูเองก็ได้ตอบกลับไปด้วยเสียงเบาๆว่า

“ใช่ค่ะ ”

“ไร้สาระ! ”

หัวหน้าแผนกถึงกับโกรธแล้วพูดอออกมาว่า

“เธอก็ถือเป็นหมอของเราแต่อย่าบอกนะว่าไม่รู้สถานการณ์ของโรงพยาบาลเรา ? นี้เธอมาหาหัวหน้าอย่างฉันเพื่อขอห้องพัก ? อย่าบอกนะว่าเธอไม่รู้จักธรรมเนียมปฏิบัติของโรงพยาบาลเรา ไหนบอกฉันมาหน่อยสิว่าเธอทำงานอยู่ที่แผนกไหน ?”

ดั่ยซินหยูเองก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกมาว่า

“ตอนนี้ฉันกำลังช่วยอยู่ที่แผนกผู้ป่วยภายนอกค่ะ ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ทำให้คิ้วของหัวหน้าแผนกขมวดเข้าหากันก่อนที่จะแสยะออกมาแล้วพูดว่า

“ก็จัดการเรื่องของเธอไปซะแล้วก็อย่าได้มาหาฉันอีกยิ่งไปกว่านั้นไปบอกคนรับผิดชอบเธอ……….อ่อใช่ ใครเป็นคนรับผิดชอบเธอ ? ”

ดั่ยซินหยูเองก็ได้ตอบอย่างขมขื่นว่า

“ถังซิ่ว !”

หัวหน้าแผนกเองก็ได้พูดออกมาว่า

“อื่ม เธอกลับไปบอกถังซิ่วนะว่าให้ดูแลลูกน้องของตัวเองให้ดีๆมีเรื่องอะไรก็…………”

เสียงของเขาได้หยุดลงก่อนที่จะมีภาพของคนๆหนึ่งปรากฏขึ้นพร้อมกับใบหน้าของเขาที่เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งทันที เขามองไปที่ดั่ยซินหยูพร้อมถามออกมาว่า

“เธอ…. เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ ? ใครเป็นผู้รับผิดชอบเธอนะ ? ”

ดั่ยซินหยูเองก็ได้ตอบกลับไปว่า

“ถังซิ่วคนที่ตรวจโรคให้กับผู้ป่วยภายนอกค่ะ คนที่เพิ่งมาที่โรงพยาบาลของเราไม่นานมานี้”

ท่าทางของหัวหน้าแผนกเปลี่ยนไปทันทีพร้อมกับบีบเอารอยยิ้มออกมาแล้วพูดว่า

“เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่คอยช่วยงานเขาสินะ ? เธอชื่ออะไรแล้วนะ ? ดั่ย…….”

“ดั่ยซินหยู!”

หัวหน้าแผนกเองก็พยักหน้าซ้ำไปซ้ำมาก่อนที่จะยิ้มออกมายิ่งกว่าเดิมแล้วพูดว่า

“ใช่แล้ว ดั่ยซินหยู ! ได้ยินมาว่าถังซิ่วเพิ่งรับคนที่ชื่อดั่ยซินหยูเป็นศิษย์แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเธอ ! อ๊า ที่เธอมาหาฉันนั้นเป็นคำขอของถังซิ่ว ? ”

ดั่ยซินหยูเองก็ได้ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า

“เป็นคำขอของเขาคะ คนที่ได้รับบาดเจ็บเหล่านี้เป็นคนจากบ้านเกิดของเขา”

หัวหน้าแผนกเองก็ได้ยืนขึ้นพร้อมกับพูดว่า

“มากับฉันสิ ! ฉันจำได้ว่าโรงพยาบาลของเรายังมีห้องเหลืออยู่สองห้องไว้ใช้สำหรับผู้ป่วยอาการสาหัส ในเมื่อคนเหล่านี้เป็นคนของถังซิ่วงั้นเราก็ต้องบริการพวกเขา”

เขาไม่ใช่คนโง่ ตอนนี้ชื่อเสียงของโรงพยาบาลนี้ไม่ได้เหมือนแต่ก่อนแล้วเพราะมันเป็นชื่อเสียงของถังซิ่ว อย่าว่าแต่ผู้ป่วยภายในจังหวัดเลยแม้แต่ผู้ป่วยทั่วประเทศเองก็ถึงกับยอมเดินทางมาให้เขารักษา

ถึงขั้นที่ว่าไม่กี่วันก่อนเองก็ยังมีสถานีโทรทัศน์มาขอสัมภาษณ์ถังซิ่วแต่ว่าผู้อำนวยการโรงพยาบาลรู้เขาไม่ต้องการเป็นที่เตะตาจึงได้ระงับเรื่องนี้ไว้ แม้ว่าเขาจะเป็นหัวหน้าแผนกแต่ก็กำลังจะได้รับการเลื่อนขั้นแต่เขาก็รู้ดีว่าตัวเขานั้นไม่สามารถเทียบกับถังซิ่วได้แม้แต่น้อยแม้กระทั่งผู้อำนวยการเองยังปฏิบัติจ่อเขาเหมือนเป็นบรรพบุรุษอย่างไงอย่างงั้น ถังซิ่วได้มาที่โรงพยาบาลนี้ได้ไม่ถึงอาทิตย์แต่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลก็ได้ทานข้าวร่วมกับเขาตั้งหลายมื้อ

หลังจากผ่ายไปไม่กี่นาที

คนของตระกูลซูเองก็ได้ถูกนำไปยังห้องผู้ป่วยสาหัส แต่ละห้องนั้นมีเตียงอยู่3เตียงที่ถูกเพิ่มเข้ามาแต่ห้องนี้ก็ยังดูใหญ่อยู่ดีแม้ว่าญาติผู้ป่วยจะตามเข้ามาถึง7-8คนทว่าพวกเขากลับไม่รู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย

“พวกคุณพักอยู่ที่นี่นะและค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดจะถูกยกเว้นรวมไปถึงจะได้รับการรักษาที่ดีที่สุด ในเมื่อคุณมีญาติๆมาคอยดูแลแล้วงั้นก็คงไม่จำเป็นต้องให้นางพยาบาลมาเฝ้าแต่หากว่ามีเรื่องอะไรก็สามารถติดต่อผมได้ทันที ผมคือหัวหน้าแผนกผู้ป่วยภายในละจะทำตามทุกคำขอของพวกคุณอย่างแน่นอน”

ผู้คนที่ได้รับบาดเจ็บทั้งห้าและญาติคนอื่นๆนั้นก็รู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมากแต่ความสงสัยก็ได้ทวีคูณขึ้นในหัวใจของพวกเขาโดยเฉพาะซูเขวียน เพราะว่าเขาเป็นคนที่ฉลาดและสามารถมองกริยาท่าทางของคนออก เขาสามารถรับรู้ได้ถึงความแตกต่างของการปฏิบัติต่อพวกเขาก่อนหน้านี้และตอนนี้ได้อย่างชัดเจน

เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่สายตาของเขาจะไปตกอยู่ที่ดั่ยซินหยู แม้ว่าอีกฝ่ายนั้นจะดูงามมากแต่ดูจากท่าทางและการวางตัวของเธอแล้วน่าจะไม่มีอำนาจมากนักดังนั้นเขาจึงได้เดินไปข้างๆเธอแล้วถามออกมาด้วยเสียงกระซิบว่า

“สุดสวย ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นงั้นหรอ ? เราไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอยู่ดีๆพวกเขาทั้งห้าคนถึงได้มีห้องพักอย่างฉับพลันพร้อมกันทั้งหมด ? ”

ดั่ยซินหยูเองก็ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า

“เป็นเพราะว่าอาจารย์ของฉันได้สั่งการเรื่องนี้กับหัวหน้าแผนกผู้ป่วยภายใน”

“อาจารย์ของคุณเป็นใครกันงั้นหรอ ? เขารู้จักเราด้วย ? ”

ขณะที่ถามเองเหงื่อก็เต็มไปบนหน้าผากของซูเขวียน

ดั่ยซินหยูเองก็ได้พูดออกมาว่า

“อาจารย์ของฉันคือถังซิ่วและเป็นหมอในโรงพยาบาลแห่งนี้ ”

ถังซิ่ว ?

ซูเขวียนเองก็จ้องมองอยู่พักหนึ่งก่อนที่ใบหน้าของเขาจะแสดงความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อออกมาแล้วถามว่า

“ถังซิ่วที่เธอพูดถึงคือคนที่กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมงั้นหรอ ?”

ดั่ยชินหยูเองก็ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า

“มันเป็นอดีตไปแล้ว ตอนนี้เขาได้เรียนจบแล้วและเพิ่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยไปหยกๆ ”

ริมฝีปากของซูเขวียนเองก็ได้ขดไปมา เขาพบว่าเพื่อนวัยเด็กของเขาได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคนแล้ว เขาได้มาเป็นหมอของโรงพยาบาลนี้แถมยังมีลูกศิษย์ที่หน้าตาสวยงามขนาดนี้ เขาเพียงแค่พูดไม่กี่คำหัวหน้าแผนกผู้ป่วยภายในถึงกับเตรียมห้องพักฟื้นให้พวกเขาด้วยตัวเอง

ดั่ยซินหยูได้มองไปที่ท่าทางตกตะลึงของซูเขวียนพร้อมกับพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า

“จริงๆแล้วคุณควรจะโทษอาจารย์ฉันเรื่องที่ไม่สามารถหาห้องพักฟื้นได้เพราะหากว่าไม่มีเขาคุณก็คงสามารถเข้าพักที่นี่ได้ตลอดเวลา”

ซูเขียนเองก็จ้องมองอย่างงุนงงพร้อมถามออกมาว่า

“หมายความว่าอย่างไร ? ”

ดั่ยซินหยูเองก็ได้พูดด้วยรอยยิ้มว่า

“คุณรู้หรือเปล่าว่าทำไมโรงพยาบาลของเราถึงได้วุ่นวายขนาดนี้ ?”

ซูเขวียนเองก็ได้พยักหน้าพร้อมกับพูดออกมาว่า

“ผมเองก็ได้ไปสอบถามมาแล้วและได้ยินมาว่าที่นี่มีหมอเทวดาปรากฏตัวขึ้น เขาสามารถรักษาคนไข้ได้ทุกรายในช่วงไม่กี่วันมานี้ดังนั้นผู้คนจากทั่วทั้งประเทศถึงได้มาที่นี่ เธอ…..ความหมายของคุณคือ …..?”

ดั่ยซินหยูเองก็ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า

“คุณฉลาดมากๆ ! คนที่สร้างความตกตะลึงนั้นก็คืออาจารย์ของฉันเอง ”

ริมฝีปากของซูเขวียนเองก็ได้กระตุกหลายครั้ง ทันใดนั้นเขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรออกมาดีทว่าเขากลับรู้สึกอบอุ่นและขอบคุณอยู่ในใจ เขาเข้าใจดีว่าหากไม่ใช่เพราะถังซิ่วพวกเขาคงจะต้องนอนอยู่ที่หน้าทางเดินอย่างแน่นอน

“อาจารย์ของคุณอยู่ที่ไหน ? ผมขอเจอเขาหน่อยได้ไหม ? ”

ดั่ยซินหยูเองก็ได้พูดออกมาว่า

“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านอาจารย์ไปอยู่ที่ไหน ”

ซูเขวียนเองก็ได้แสดงท่าทางผิดหวังออกมาก่อนที่ท่าทางของเขาจะเปลี่ยนไปอีกครั้ง เขาคิดว่าถังซิ่วจะต้องอยู่กับคุณยายเพราะหากว่าเขารู้เรื่องที่คนจากหมู่บ้านนั้นได้รับบาดเจ็บก็แสดงว่าเขาได้ไปที่ชิงเหอ ทันใดนั้นเขาก็ได้หยิบโทรศัพท์ออกมาทันทีพร้อมกับโทนไปหาซูเปิ่น

“สวัสดีพี่ชายเปิ่น พี่พบกับถังซิ่วหรือเปล่า ?”

หมู่บ้านตระกูลซู

ซูเปิ่นเองก็เพิ่งจะคุยกับถังซิ่วจบไปและได้รับสายของซูเขวียนจึงได้ตอบกลับไปว่า

“เจอแล้ว เพิ่งคุยกับเสร็จเนี้ย ”

ซูเขวียนเองก็ได้พูดออกมาอย่างรวดเร็วว่า

“เอาโทรศัพท์ให้เขาหน่อย ผมต้องการพูดกับเขา !”

ซูเปิ่นเองก็ได้ทำตามพร้อมกับส่งโทรศัพท์ไปให้ถังซิ่วแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า

“ซูเขวียนต้องการคุยกับนายน่ะ”

ถังซิ่วเองก็ได้ยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาและซูเปิ่นมีความสัมพันธ์กันเพราะญาติฝ่ายแม่ ถังซิ่วเองก็ได้เล่นด้วยกันกับเขามาตั้งแต่ยังเล็กแต่เขาสนิทกับซูเขวียนก็เพราะว่าพวกเขามีอายุเท่ากันและอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ เขาได้ออกไปหาปลา ปีนต้นไม้หรือจับนกด้วยกันตั้งแต่เด็กๆ

“นายต้องการคุยกับฉันหรอ ? ”

ถังซิ่วเองก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

ซูเขวียนเองก็ได้พูดออกมาว่า

“ถังซิ่ว เป็นนายจริงๆงั้นหรือที่ได้จัดการเรื่องการดำเนินการที่โรงพยาบาลแห่งนี้ ? ”

ถังซิ่วเองก็ได้ถามออกมาด้วยรอยยิ้มว่า

“พวกเขาจัดการให้แล้ว ? ฉันแค่โทรไปเท่านั้นไม่ได้ลำบากอะไรหรอก ”

ซูเขวียนเองก็พูดออกมาด้วยความตกตะลึงว่า

“สุดยอด นายนี่มันสุยอดจริงๆเพียงแค่โทรศัพท์มาก็สามารถสั่งให้หัวหน้าแผนกผู้ป่วยภายในจัดหาห้องให้ด้วยตัวเองได้แต่สิ่งที่ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยคือนายคือหมอเทวดาที่ลึกลับของที่นี่”

ถังซิ่วเองก็ได้พูดหยอกล้อออกไปว่า

“เอาล่ะ เด็กน้อยนายไม่ต้องร้องออกมาหรอก จะกลับมาที่นี่เมื่อไหร่ ? ”

ซูเขวียนเองก็ได้ตอบกลับไปว่า

“ฉันจะกลับไปเลยเพราะพวกผู้บาดเจ็บเองก็ได้มีญาติๆคอยดูแลอยู่ที่นี่แล้วหน้าที่ของฉันคือการมาส่งพวกเขาเท่านั้น นายรอฉันก่อนนะเราไม่ได้เจอกันมาตั้งสองปีเพราะงั้นต้องดื่มฉลองกันหน่อย”

“ดี แล้วฉันจะรอนาย”

เมื่อพูดจบแล้วถังซิ่วก็ได้ยื่นโทนศัพท์กลับไปให้ซูเปิ่น

เมื่อเห็นว่าการสนทนาสิ้นสุดลงแล้วซูเปิ่นเองก็ได้รับโทรศัพท์กลับมาพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มว่า

“พวกนายโตมาพร้อมกันตั้งแต่เด็กดังนั้นความสัมพันธ์ถึงได้แน่นแฟ้นขนาดนี้ นายเองฉลาดส่วนซูเขวียนเองก็ฉลาดเหมือนกัน พวกนายมักจะวิ่งไปทั่วหมู่บ้านเสมอ ”

ถังซิ่วเองก็ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า

“พี่ชายเปิ่น สิ่งที่พี่พูดนั้นไม่ถูกต้อง หากว่าไม่มีพี่แล้วผมจะเล่นกับใคร ? จำไม่ได้หรอว่าตอนเด็กๆพวกเราวิ่งตามก้นใคร ? ”

ซูเปิ่นเองก็อดไม่ได้ที่จะไม่หัวเราะออกมา

เขาและถังซิ่วเองก็ได้แต่ยืนยิ้ม

ถังซิ่วเองก็ได้สูบบุหรี่พร้อมเปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า

“พี่ชายบอกเรื่องของหมู่บ้านมาให้ผมฟังหน่อยได้ไหม ? ใครเป็นตัวการที่นำคนมาข่มเหงคนในหมู่บ้านของเรา ? ฝ่ายนู้นเองก็เหิมเกริมและถึงกับมีเส้นสายทางภาครัฐก็แสดงว่ามันพอมีพื้นหลังอยู่บ้าง”