…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

(*แก้ไขชื่อตัวละคร ซูเรนเฟย์เป็น เสวี่ยเรนเฟย์(เพื่อนซางหยงจิน) , หลงซูเหยาเป็น หลงเสวี่ยเหยา (ญาติหลงเจิ้งหยู))

กรมตำรวจแผนกอาชญากรรมเมืองสตาร์ซิตี้

แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาหัวรุ่งแต่ที่นี่ก็คึกคักเป็นอย่างมาก เจ้าหน้าที่และรถตำรวจเข้าออกจากสถานที่นี้อย่างไม่ขาดสาย

ที่ชั้นสอง

ห้องที่มีลมถ่ายเทและเต็มไปด้วยกลิ่นของควันบุหรี่ ผู้อำนวยการสำนักรักษาความปลอดภัยของรัฐบาลเด็งเจี้ยนหมินกำลังเขี่ยบุหรี่ด้วยใบหน้าบูดบึ้งอยู่ต่อหน้าเจ้าหน้าที่นับ20คน

“เบื้องบนได้สั่งลงมาแล้วว่าเราจะต้องไขคดีนี้ให้ได้ภายในสามวัน ไม่ว่าเราจะต้องใช้วิธีอะไรก็ต้องหาตัวฆาตกรมาให้ได้ ”

เด็งเจี้ยนหมินได้พูดออกมา

เฉิงเสวี่ยเหม่ยเองก็ได้ฝืนยิ้มออกมาแล้วพูดว่า

“หัวหน้า เราเองก็อยากจะไขคดีนี้ให้เร็วๆเหมือนกันแต่ครั้งนี้มันพิเศษเป็นอย่างมาก เราไม่รู้เลยว่าผู้ตายนั้นเป็นใครและหากว่าพวกเขาเป็นชาวต่างชาติจริงก็จำเป็นต้องส่งข้อมูลไปตรวจสอบ”

เด็งเจี้ยนหมินเองก็ได้ตอบกลับไปว่า

“ฉันได้รายงานไปหมดแล้วและคิดว่าอีกไม่นานก็คงจะได้รับความร่วมมือ ตราบใดที่พวกเขามีสถานะเป็นคนต่างชาตินั้นเราก็สามารถยืนยันได้ว่าพวกเขาเป็นมือสังหารแต่กลับมาตายที่หน้าโครงการเมืองประตูทิศใต้ก็แสดงให้เห็นว่าเป้าหมายของพวกเขาอยู่ในนั้น บันทึกวีดีโอกล้องวงจรปิดนั้นพวกเราได้ก๊อปมาไว้หรือเปล่า ?”

เฉิงเสวี่ยเหม่ยได้ตอบกลับไปว่า

“เรียบร้อยแล้วค่ะ !”

เด็งเจี้ยนหมินเองก็ได้ตอบกลับไปว่า

“งั้นก็ตรวจหาผู้ต้องสงสัยกัน เอามันขึ้นจอ”

“ได้ค่ะ !”

เฉิงเสวี่ยเหม่ยปฏิบัติตามอย่างรวดเร็ว

โปรเจคเตอร์ได้ปรากฏภาพบันทึกของวันนั้นและแสดงให้เห็นถึงภาพที่ถังซิ่วกำลังจูงมือกู่หยินออกไปด้านนอกของโครงการ

“หยุด !”

ท่าทางของเฉิงเสวี่ยเหม่ยเปลี่ยนไปทันทีก่อนที่จะตะโกนออกมา

เด็งเจี้ยนหมินเองก็ถามออกมาด้วยความสับสนว่า

“เธอเจออะไรงั้นหรอ ? ”

เฉิงเสวี่ยเหม่ยได้พูดออกมาว่า

“ย้อนภาพกลับไปถึงตอนที่มีชายและเด็กหญิงอีกหนึ่งคน”

เด็งเจิ้ยนหมินเองก็มองไปที่ภาพเหล่านั้นขณะที่คิ้วของเขาเริ่มขมวดเข้าหากันแล้วพูดว่า

“ฉันรู้สึกว่าเด็กนี่หน้าตาคุ้นๆนะเหมือนว่าจะเคยเจอกันที่ไหน ”

เฉิงเสวี่ยเหม่ยได้พูดขึ้นว่า

“หัวหน้าค่ะ เขาคือถังซิ่ว”

นัยน์ตาของเด็งเจี้ยนหมินหดเล็กลงก่อนที่จะพูดออกมาว่า

“อ่อ คดีที่มีเด็กนักเรียนฆ่าอาชญากรระดับAที่โรงเรียนนี่เอง เขามาโผล่อยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน ?”

เฉิงเสวี่ยเหม่ยเองก็ได้แต่ส่ายศีรษะแล้วพูดว่า

“เขาอยู่ที่นั้นและจากการที่เห็นว่าเขากำลังจูงมือเด็กน้อยก็แสดงให้เห็นว่าบ้านพักของเขาก็ต้องเป็นที่นั่น ความห่างกันของช่วงเวลาที่เขาออกมาและเกิดการฆาตกรรมนั้นห่างกันอยู่หนึ่งชั่วโมง”

เด็งเจี้ยนหมินได้พูดต่อว่า

“เปิดภาพวีดีโอต่อไปซะ ”

พร้อมกับการที่วิดีโอเล่นต่อไปนั้นพวกเขาก็พบว่าถังซิ่วได้พาเด็กหญิงกลับเข้าไปในโครงการและไม่เห็นว่าเขาจะออกมาอีกเลยในช่วงเวลาที่เกิดเหตุฆาตกรรม

“ไม่ใช่เขางั้นหรอ ? ”

ตำรวจคนอื่นๆก็ไม่ส่ายศีรษะไปมา

เฉิงเสวี่ยเหม่ยได้แสยะออกมาพร้อมกับพูดว่า

“เท่าที่ฉันรู้มาคือเขามีความสามารถมากและหากว่าเขาแอบปีนกำแพงออกมาฆ่าคนเหล่านั้น ใครจะสามารถบอกได้บ้างว่าคนฆ่าไม่ใช่เขา ? ”

ตำรวจอีกคนก็ได้พูดขึ้นว่า

“หัวหน้าเฉิง เราที่ได้เอาบันทึกวีดีโอรอบๆโครงการนี้มานั้นได้เห็นว่ามีกล้องมากมายอยู่ทั่วทุกมุมและแทบจะไม่มีมุมไหนเลยที่เป็นจุดอับสายตา ถ้าจะให้พูดอีกอย่างคือหากว่าเราไม่เห็นว่าถังซิ่วออกมาจากโครงการก็แสดงว่าเขาไม่ใช่ฆาตกรอย่างแน่นอน”

เด็งเจี้ยนหมินเองก็ได้พูดขึ้นว่า

“ดูต่อไป ”

ตีสามครึ่ง

บันทึกวีดีโอทั้งหมดของโครงการถูกตรวจสอบจนหมดและสามารถยืนยันได้ว่าถังซิ่วไม่ได้ออกไปจากโครงการเลยแม้แน่น้อย

เฉิงเสวี่ยเหม่ยเองก็ได้ถามออกมาด้วยความสงสัยว่า

“หากว่าคดีนี้ไม่เกี่ยวกับถังซิ่วแล้วมันเป็นใครกัน ? ที่อื่นๆเองเราก็ได้ตรวจสอบมาหมดแล้วและพบว่าไม่มีความเกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อย”

เด็งเจี้ยนหมินได้เคาะโต๊ะอยู่พักหนึ่งก่อนที่เขาจะพูดขึ้นว่า

“หัวหน้าเฉิง พรุงนี้ให้เธอไปที่เมืองประตูทิศใต้และขอความร่วมมือจากถังซิ่วซะ”

เฉิงเสวี่ยเหม่ยได้ฝืนยิ้มแล้วพูดออกมาว่า

“หัวหน้า อุปนิสัยของถังซิ่วนั้นเข้าถึงได้ยาก……เขาไม่ค่อยจะให้ความร่วมมือนักและต่อให้เรามีหลักฐานว่าเขาเป็นคนทำจริงๆเราก็ไม่สามารถบุ่มบ่ามเข้าไปสอบปากคำเขาได้ เราในตอนนี้ควรจะหาเบาะแสเพิ่มเติมแล้วตั้งเป้าเพื่อสืบสอนต่อไป”

เธอยังจำได้ดีว่าก่อนหน้านี้เธอเองก็เคยได้สอบปากคำจากถังซิ่วแล้วแต่กลับไม่ได้อะไรกลับมาเลยแม้แต่น้อย เธอเองก็มีความรู้สึกว่าการที่จะไปครั้งนี้ก็ไม่น่าจะได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติมอย่างแน่นอน

เด็งเจี้ยนหมินได้พูดขึ้นว่า

“บอกให้ไปก็ไปเถอะ ! ไม่ว่าเขาจะเป็นฆาตกรหรือไม่แต่เราเองก็ต้องหาเบาะแสมาให้ได้ หากว่าเราไม่สามารถไขคดีนี้ได้อย่าว่าแต่ตำแหน่งของฉันจะสั่นคลอนเลย เธอเองก็จะต้องถูกลงโทษ”

เฉิงเสวี่ยเหม่นถึงกับต้องปวดหัว เธอทำได้แค่พยักหน้าตามคำสั่ง

ชีวิตส่วนใหญ่ของผู้คนธรรมดานั้นก็ปกติแต่ก็มีบางคนที่ประสบความสำเร็จ แน่นอนว่าก็ต้องมีคนที่ได้รับความพ่ายแพ้ มีคนที่โชคดีก็ต้องมีคนที่โชคร้าย

ถังซิ่วที่ได้กลับมาจากดินแดนแห่งนิรันด์นั้นได้รับประสบการณ์มากมายในช่วง1-2เดือนมานี้ บางครั้งเขาเองก็อยากจะหยุดพักแต่ชะตาของเขาเองก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง มันผลักดันให้เขาก้าวต่อไป อย่างไรก็ตามเพราะว่าเขาเป็นคนที่กล้าหาญและมีจิตใจที่แข็งแกร่งจึงไม่มีอะไรที่ต้องกังวลมากนัก

ในโกงดังของวิลล่า

ถังซิ่วกำลังกลั่นยาชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า ผงขจัดซากศพ

ยาตัวนี้มีผลทำลายซากศพไม่ให้เหลือร่องรอย ตราบใดที่ยาตัวนี้ถูกโปรยลงไปบนศพก็จะพบว่ามันจะค่อยๆละลายกลายเป็นน้ำและไม่ทิ้งไว้แม้กระทั่งเสื้อผ้าของศพเหล่านั้น

เขาทำมันจนถึงช่วงเช้าและกลับไปที่ห้องเพื่อพักผ่อน พอถึงช่วงบ่ายเขาก็ตื่นขึ้นแล้วกลับลงมาที่ชั้นหนึ่งก็ต้องพบกับหลงฮานเหวินที่กำลังนั่งดื่มชาและมีหลงเจิ้งหยูที่กำลังนั่งอ่านเอกสารที่อยู่ในมืออยู่ตรงกันข้ามกับเขา

“ลุงหลงมาตั้งแต่ตอนไหนกัน ? ”

ถังซิ่วได้เดินออกไปทักทาย

หลงฮานเหวินได้หรี่ตาของเขาลงก่อนที่จะเฝ้าสังเกตุถังซิ่วพร้อมพูดขึ้นว่า

“เพิ่งมาได้ไม่นาน เมื่อเช้านี้เองก็ได้ส่งคนไปหาข้อมูลมาแล้วจึงรีบนำมาที่นี่โดยทันที ! บ้านนี้ก็ดูดีน่ะ ชินกับมันหรือยัง ? ”

ถังซิ่วก็ได้ตอบกลับไปว่า

“ก็อยู่สบายดี !”

หลงเจิ้งหยูได้ส่งเอกสารที่อยู่ในมือไปให้ถังซิ่วแล้วพูดว่า

“สิ่งที่นายต้องการนั้นพวกเราได้ไปสืบมาให้หมดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือพวกเราได้เตรียมการเอาไว้แล้ว นายลองดูข้อมูลพวกนั้นสิ”

ถังซิ่วได้หยิบข้อมูลพวกนั้นไปแล้วตั้งใจอ่านมัน เขาเองก็ต้องยอมรับและชื่นชมว่าตระกูลซางเองก็เก่งใช้ได้เพราะพวกเขามีมูลค่าทรัพย์สินเกินกว่า2หมื่นล้านไปแล้วและจากข้อมูลที่หลงฮานเหวินสืบสวนมาเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าตระกูลซางจะมีไพ่ตายอะไรซ่อนอยู่บ้าง

หลังจากนั้น

ขณะที่เขาได้อ่านข้อมูลเหล่านั้นก็ได้มองไปที่หลงฮานเหวินแล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า

“โอกาสจะมาถึงผู้ที่เตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ แม้ว่ามันจะดูเหมือนว่าจะน้อยเหลือเกิน ! สัญญาที่ลุงหลงได้เตรียมไว้นั้นผมเองก็ไม่เข้าใจมันสักเท่าไหร่แต่เห็นได้ชัดว่าหากพวกเขายอมเซ็นสัญญานี้และเกิดพวกเขามีปัญหาด้านเงินทุนก็จะสร้างปัญหาให้พวกเขาอย่างมหาศาล”

คิ้วของหลงฮานเหวินขมวดเข้าหากันก่อนที่จะถามออกมาว่า

“เธอมองออกด้วยงั้นหรอ ? ”

ถังซิ่วได้ตอบกลับไปว่า

“สิ่งที่ผมพูดนั้นมีแค่ในสัญญาฉบับนี้ เรื่องอื่นผมเองก็ยังไม่อยากพูดแต่ผมมีข้อสงสัย ตระกูลหลงและตระกูลซางเองก็เป็นคู่แข่งกันมานานและความขัดแย้งของคนรุ่นหลังเองก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ลุงคิดว่าพวกเขาจะยอมเซ็นมันจริงๆ ? ”

หลงฮานเหวินตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า

“เมื่อโลกของเราฟื่องฟู ผลประโยชน์ทั้งหมดก็จะเข้ามาและหากโลกตกอยู่ในความโกลาหลผลประโยชน์ก็จะหายไป พ่อค้าคืออะไร ? พ่อค้าคือคนที่ไล่ตามผลประโยชน์และหัวหน้าตระกูลซาง ซางเฟิงเซี่ยนเองเองก็เป็นคนที่กลับกลอกและไม่มีความยุติธรรมแม้แต่น้อย หากว่าเราให้ผลประโยชน์เขามากพอเขาก็จะยอมแม้กระทั้งขายญาติพี่น้องของตัวเองและหากว่าสัญญานี้ลุล่วง ผลกำไรที่พวกเขาจะได้ก็ไม่ต่ำกว่าพันล้านอย่างแน่นอน เธอคิดว่าเขาจะไม่สนใจ ? ยิ่งไปกว่านั้นคือในสัญญานี้เป็นแค่เฟสแรกของการร่วมมือกันเท่านั้นและโครงการก่อสร้างหลักจากนั้นเองก็จะให้ผลประโยชน์มากมาย หากว่าเขาไม่โง่ก็จะต้องยอมเซ็นอย่างแน่นอน ”

ถังซิ่วได้ตอบกลับไปว่า

“สิ่งที่ลุงพูดมาก็ฟังดูมีเหตุผล แต่ผมเองก็ยังมีเรื่องที่อดคิดไม่ได้คือเรื่องของตระกูลฮูและตระกูลเสวี่ย ผมได้ยินมาว่าถึงแม้พวกเขาเองจะไม่สามารถเทียบกับตระกูลซางได้แต่หากว่าพวกเขาร่วมมือกันก็คงจะสร้างปัญหาให้พวกเราได้ไม่น้อย”

หลงฮานเหวินเองก็พูดต่อว่า

“นี่ก็เป็นปัญหาที่ฉันกังวลอยู่เหมือนกันและเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันมาหาเธอ ฉันต้องการจะฟังแผนการของเธอเพราะเมื่อเธอต้องการที่จะหลอกพวกเขาก็คงจะต้องมีไอเดียอยู่ในสมองแล้วอย่างแน่นอน”

ถังซิ่วได้ส่ายศีรษะพร้อมพูดว่า

“ผมไม่ค่อยจะรู้เรื่องสงครามทางธุรกิจสักเท่าไหร่แต่ผมเองก็มีวิธีที่จะทำให้ชื่อเสียงของตระกูลซางเสื่อมถอยลงในเวลาสั้นๆ ไม่ใช่ว่าซางกรุ๊ปเองก็มีหุ้น ? หากว่าชื่อเสียงของพวกเขาถดถอยมันก็จะต้องทำให้ราคาหุ้นของพวกเขาดิ่งลงอย่างรวดเร็วและผมเองก็สามารถรับประกันได้ว่าแผนของเราจะเป็นไปอย่างราบรื่นเพราะว่าหัวหน้าตระกูลและผู้นำคนอื่นๆจะหายตัวไป ผมคิดว่าแผนของเราจะเป็นไปได้อย่างราบรื่นหากว่าพวกเขาขาดจ่าฝูงไป”

หลงฮานเหวินเองก็ได้ถามออกมาว่า

“เธอมั่นใจงั้นหรอ ? ”

ถังซิ่วได้ตอบกลับไปว่า

“ไม่100%แต่ก็99%”

หลงฮานเหวินได้พูดต่อว่า

“ในเมื่เป็นกรณีนี้ ตระกูลหลงของเราก็จะเข้าร่วมด้วย ตอนนี้เธอก็น่าจะบอกพวกเราได้แล้วว่านอกจากตระกูลของเราแล้วยังมีขุมพลังไหนเข้าร่วมอีก ? ”

ถังซิ่วได้ตอบกลับไปว่า

“ผมไม่สามารถยืนยันเรื่องของตระกูลโอหยางได้แต่สามารถยืนยันได้ทั้งหมดสี่กลุ่ม ตระกูลหลง เฉินซีซ่งและเพื่อนของผมอีกสองคน เหมี่ยวเหวินถังและเซ่าหมิงเจิ้ง”

หลงฮานเหวินถามออกมาด้วยความตกตะลึงว่า

“เธอรู้จักเหมี่ยวเหวินถัง ? หัวหน้าตระกูลเหมี่ยวและนายใหญ่ของเหมี่ยวกรุ๊ปด้วยงั้นหรอ ? ”