1/4
Ep.917 – รับผลแห่งปัญญา
ฟีนิกซ์เพลิงไม่รู้ว่าฉินเฟิงกำลังคิดอะไรอยู่ จึงสาธยายข้อมูลของเมืองหลวงแห่งความมืดต่อไป บอกเล่าทุกรายการที่สามารถกำไรได้อย่างรวดเร็ว
จนถึงช่วงท้าย เธอลังเลเล็กน้อย ก่อนตัดสินใจกล่าว “ยังมีอีกสถานที่หนึ่ง เป็นรอยแยกมิติบนเกาะที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ท่านเจ้าเมืองคนก่อน … ดาบอสูรมักเข้าออกที่นั่นเป็นประจำ และมีครั้งหนึ่งกลับมาในสภาพได้รับบาดเจ็บสาหัส ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร”
ดวงตาของฉินเฟิงสว่างวาบทันใด ตระหนักได้ทันทีว่านั่นคงไม่พ้นทางเข้ามิติของพระเจ้า
ฟีนิกซ์เพลิงอธิบายทุกรายการจนเสร็จสิ้น เธอแหงนมองฉินเฟิง คล้ายรอคอยให้อีกฝ่ายออกคำสั่งว่าจะจัดการทรัพย์สินเหล่านี้อย่างไร
“งั้นก่อนอื่นพาฉันไปดูพวกมัน อ้อใช่!” ฉินเฟิงเหมือนเพิ่งคิดอะไรบางอย่างออก เขามองไปยังหวูหยวน “ในเมื่อก่อนหน้านี้พวกไร้ประโยชน์เป็นคนดูแลธุรกิจ แต่ภาระนี้ ปัจจุบันเป็นของคุณแล้ว หวังว่าคุณจะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง!”
คำพูดของฉินเฟิงแม้เป็นการมอบตำแหน่งใหญ่ แต่ยังแสดงให้เห็นชัดเจนถึงบรรยากาศข่มขู่คุกคาม
เม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นบนใบหน้าซีดเซียวของหวูหยวน แต่ในใจเขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะประโยคเมื่อครู่ อย่างน้อยก็ยืนยันได้ว่าเขาได้รับอนุญาตให้มีชีวิตอยู่ต่อ
“ท่านผู้ใหญ่ซวนเฟิง ฉันจะทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด!”
“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น!” ฉินเฟิงแสยะยิ้มเย็น
จากนั้น เขาหันไปมองฟีนิกซ์เพลิง ฟีนิกซ์เพลิงเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายทันที ก้าวนำไปข้างหน้า เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังพาฉินเฟิงไปดูอุตสาหกรรมที่เพิ่งอธิบาย
ส่วนที่เหลืออีกเจ็ดคนไม่กล้าหายใจแรง โค้งตัวก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อม ไม่กล้าแม้จะมองแผ่นหลังของฉินเฟิง เฝ้ารอจนกระทั่งตัวอันตรายหายไปจากสายตา คนเหล่านี้ถึงกล้ายกมือขึ้น ปาดเหงื่อเย็นออกจากหน้าผากพวกเขา
มีคนตายมากกว่า 5 คน ส่งกลิ่นเหม็นฉุนในอากาศ เพียงแต่บรรยากาศตอนนี้ตึงเครียดมาก พวกเขาเลยไม่มีเวลาสนใจมัน
ความหวาดกลัวยังคงสะท้อนอยู่ในแววตา
“น่ากลัวมาก เจ้าบ้านั่นเป็นใครกัน!” ผู้ใช้พลังคนหนึ่งกล่าว
“ถึงจะไม่รู้ว่ามีที่มายังไง แต่อย่าไปยั่วยุมันดีกว่า”
“โชคดีที่ฉันไม่ได้โวยวาย สร้างปัญหาก่อนหน้านี้ ไม่งั้นคงกลายเป็นศพที่นี่”
“หวูหยวน ดูเหมือนจอมมารซวนเฟิงจะชื่นชมนายมาก เขาถึงได้มอบตำแหน่งสำคัญให้”
แต่หวูหยวนไม่ได้มองโลกในแง่ดีเช่นนั้น ตรงกันข้าม เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังแสดงท่าทีคุกคามด้วยซ้ำ จอมมารซวนเฟิงจะน่ากลัวเกินไปแล้ว เมื่อต้องคอยรับใช้คนเช่นนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า หากคิดฉกฉวยผลประโยชน์ คงเป็นไปไม่ได้
หรือกล่าวอีกความหมายนึงก็คือ หวูหยวนจะไม่สามารถแสร้งแสดงว่าภายนอกยิ้มแย้ม แต่ภายในคิดคด
“พูดตามตรงเลยนะ จอมมารซวนเฟิงน่ากลัวกว่าที่คิดซะอีก ” หวูหยวนเอ่ยเตือนคนอื่นๆ
ขนาดหวูหยวนยังกลัวจนเข่าอ่อน แล้วพวกเขาจะไม่เข่าอ่อนได้อย่างไร? พอได้ฟังทั้งหมดพยักหน้าเห็นด้วย
เมื่อได้ลองย้อนทบทวนสิ่งต่างๆ หวูหยวนก็พบว่า เนื่องจากจอมมารซวนเฟิงได้มอบอำนาจอย่างเต็มที่แก่ฟีนิกซ์เพลิงในการดำเนินกิจการของเมืองหลวงแห่งความมืด ตัวเขาก็ไม่น่าจะถูกขอให้มารับหน้าที่แทนคนตายทั้งห้า ดังนั้นเหลือเพียงจุดประสงค์เดียวที่ทำแบบนี้ นั่นคือจอมมารซวนเฟิงหมายถ่วงดุลอำนาจ
หากอีกฝ่ายไว้ใจและใช้งานฟีนิกซ์เพลิงเพียงคนเดียว หวูหยวนรู้สึกว่า นั่นเป็นความประมาทเลินเล่อ คือการใช้ความแข็งแกร่งของตนสะกดคนอื่นๆให้ก้มหัวเท่านั้น มิใช่ผู้บริหารที่ดี คนแบบนี้หากคิดฉวยผลประโยชน์ เล่นตุกติกยังพอมีโอกาส
แต่สำหรับจอมมารซวนเฟิงในตอนนี้กลับลึกล้ำเกินหยั่งถึง ต่อให้เป็นหวูหยวนก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวผิดสังเกตเล็กๆน้อยๆอีกต่อไป
แต่เมื่อเทียบกับคนในห้องประชุมที่หวาดกลัวฉินเฟิงจับใจแล้ว ในใจของฟีนิกซ์เพลิง รู้สึกชื่นชมและซาบซึ้งฉินเฟิงมาก
ถ้าไม่ใช่เพราะฉินเฟิง ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องยุ่งเหยิงในวันนี้ แต่เกรงว่าฟีนิกซ์เพลิงยังมีแนวโน้มถูกคนอื่นลอบสังหาร และอาจไม่รอดชีวิต
“ท่านผู้ใหญ่ซวนเฟิง นี่คือต้นไม้ปัญญานิรันดร์”
ฉินเฟิงแหงนมองต้นไม้ปัญญานิรันดร์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก เอ่ยปากชื่นชม “เจ้าสิ่งนี้เป็นของดีจริงๆ”
ปัจจุบันเป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว ท้องฟ้ามืดลงเล็กน้อย ต้นไม้ปัญญานิรันดร์เปล่งแสงจางๆออกมา
ฉินเฟิงหลับตาลง เทคนิคเข้าฌานเริ่มทำงาน
เทคนิคเข้าฌานไม่จำเป็นต้องอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ ฉินเฟิงเพียงโคจรแก่นพลังสมาธิไม่กี่ครั้ง และเนื่องจากเขามิได้ลงมืออย่างเปิดเผย บวกกับพลังสมาธิของเขาสูงกว่าฟีนิกซ์เพลิงมาก ฟีนิกซ์เพลิงจึงสัมผัสได้เพียงกลิ่นอายอันลึกลับแผ่ออกมาจากร่างของฉินเฟิง
ช่วงเวลาต่อมา ต้นไม้ปัญญานิรันดร์เปล่งแสงสีขาวสดใส สว่างมากกว่าตอนนี้ไม่รู้ตั้งกี่เท่า ผลไม้ที่อยู่บนต้นของมันแวววาว เปล่งประกายระยับยิ่งกว่าเดิม
ผลไม้สว่างไสวสีขาว ร่วงจากกิ่งเสียงดัง ‘เป๊าะ’ หล่นลงมาหยุดเบื้องหน้าฉินเฟิง
ปากของฟีนิกซ์เฟิงอ้ากว้าง จ้องมองฉากนี้อย่างไม่อยากจะเชื่อ
แต่ไม่นานเธอก็ได้สติ ท้ายที่สุดแล้วจอมมารซวนเฟิงเป็นตัวตนทรงอำนาจเลเวล S ฉะนั้นย่อมเป็นคนมากวาสนา มิฉะนั้นแค่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ปัญญานิรันดร์เพียงระยะเวลาสั้นๆ จะได้รับผลแห่งปัญญาได้อย่างไร?
แต่ที่รู้ก็คือฉากทั้งหมดนี้ ทำให้ความเคารพและชื่นชมที่มีต่อจอมมารซวนเฟิง ลึกล้ำยิ่งกว่าเดิม
ฉินเฟิงมองผลไม้ตรงหน้า ยื่นมือออกไปรับ ในหัวใจอดประหลาดใจไม่ได้ แต่เขาไม่แสดงมันออกมา เพียงพยักหน้าและกล่าว “ไม่เลว!”
ว่าจบก็เก็บผลไม้ไป เขาไม่นึกเลยว่าจะเพียงทดสอบเล็กๆน้อยๆ แต่กลับได้รับผลแห่งปัญญาจริงๆ
นี่เท่ากับว่าในจักรวาลแห่งจิตสำนึกของฉินเฟิง จะสามารถสร้างดาวเคราะห์ได้อีกหนึ่งดวง สามารถใช้งานอบิลิตี้ได้อีกหนึ่งธาตุ
ถือเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง
ฟีนิกซ์เพลิงไม่รู้ว่าฉินเฟิงกำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงเพียงกวาดมองผลแห่งปัญญา แล้วเก็บไปด้วยท่าทีไม่แยแส เธอก็ยิ่งรู้สึกว่าจอมมารซวนเฟิงผู้นี้มีภูมิหลังไม่ธรรมดา เกิดความเคารพยิ่งกว่าเดิม
“ไปที่อื่นต่อ”
ฟีนิกซ์เพลิงนำฉินเฟิงไปดูทรัพย์สินอื่นๆ ต้องขอบอกว่า ในฐานะตัวตนทรงอำนาจเก่าแก่ ทรัพย์สินของเหอเทียนสิง มหาศาลจนน่าตกใจ
หากฉินเฟิงไม่อยู่กลุ่มเฟิงหลี ไม่เคยได้สัมผัสความมั่งคั่งที่เกิดจากความยิ่งใหญ่ของเทคโนโลยีมาก่อน เกรงว่าตอนนี้เขาคงมีความสุขจนแทบคลั่งตาย
ทรัพย์สินของเหอเทียนสิง ปัจจุบันมันมากกว่าของกลุ่มเฟิงหลีเป็นสิบเท่า อย่างไรเสียกลุ่มเฟิงหลีเพิ่งก่อตั้งขึ้นเพียงสามปี หากคิดเพิ่มพูนทรัพย์สินยังต้องใช้เวลาในการสะสม
“วันนี้พอแค่นี้แล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยพาฉันไปดูรอยแยกมิติที่ว่านั่น!”
“เจ้าค่ะท่านผู้ใหญ่” ฟีนิกซ์เพลิงรับคำคราหนึ่ง “ท่านผู้ใหญ่ต้องการพักผ่อนหรือไม่ ฉันได้จัดเตรียมคฤหาสน์ใหม่เอาไว้ให้แล้ว”
“อืม” ฉินเฟิงพยักหน้าอย่างสงบ ฟีนิกซ์เพลิงเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ดีมาก อย่างน้อยก็ในเรื่องปรนนิบัติผู้คน สายตาของเธอดีกว่าลูกน้องคนอื่นๆของฉินเฟิงอยู่หลายขุม
ฟีนิกซ์เพลิงนำฉินเฟิงไปยังคฤหาสน์ใหม่ ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นทิวทัศน์ , สถาปัตยกรรม , อาหาร , สาวงาม ล้วนมีทุกสิ่ง
“ฉันไม่ชอบผู้คนพลุกพล่าน บอกให้เจ้าพวกนั้นออกไป รวมถึงคุณด้วย!”
เพราะยังไงซะฉินเฟิงยังคงสวมชุดเกราะทมิฬ หากมีคนอยู่รอบๆ ฉินเฟิงคงต้องใช้โอบกอดทมิฬห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ และเขาไม่อยากทำแบบนี้ตลอดเวลา
“เจ้าค่ะท่านผู้ใหญ่”
ฟีนิกซ์เพลิงปฏิบัติตามประสงค์ของฉินเฟิง เธอเกิดความคิดว่าตัวตนทรงอำนาจคนนี้ไม่ใช่คนที่หลงระเริงไปกับผู้หญิง ในใจทั้งรู้สึกยินดี แต่ขณะเดียวกันก็เสียดายเล็กน้อย
รอจนกระทั่งฟีนิกซ์เพลิงจากไป ฉินเฟิงค่อยคลายเสื้อคลุมออก เขาอยู่ในสภาพงอแขนข้างหนึ่งเข้าหาลำตัว โอบกอดจิ้งจอกน้อยตัวเล็กที่กำลังหลับใหลเอาไว้ นี่เองคือเหตุผลที่ฉินเฟิงต้องใช้มือเดียวและนิ้วเดียวในการสังหารคนเหล่านั้น
จิ้งจอกน้อยในอ้อมแขนอ้าปากหาว ยืดตัวขี้เกียจ สะบัดขนเล็กน้อย กระโดดลงมา
ในพริบตา มันเปลี่ยนรูปกลายร่างเป็นมนุษย์
“นึกไม่ถึงเลย ว่าเหอเทียนสิงจะมีสมบัติมากมายเช่นนี้”
“นั่นสิ ขนาดฉันยังไม่ทันคิดเลยว่าเขามีของพวกนี้ด้วย อ้อ ฉันเอาพวกมันมาแล้วนะ เธอต้องการดูดซับตอนนี้เลยไหม?”
สมบัติที่ไป๋หลีและฉินเฟิงกล่าว แน่นอนว่าเป็นแก่นเทวะเลเวล A !
