1/3

 

Ep.213 – เริ่มโจมตี

 

ฮังอวี่ต้องการเป็นคนที่เร็วที่สุดในเจียงเฉิง

 

ไม่เพียงเฉพาะในด้านธุรกิจเท่านั้น แต่ยังต้องเร็วในด้านการสำรวจโลกวิญญาณด้วย

 

ฮังอวี่รู้ดีกว่าใครๆ ว่าข้อได้เปรียบของผู้ที่ฝ่าด่านหอคอยเขตแดนเป็นคนแรก และเข้าสู่อาณาเขตวิญญาณอันกว้างขวางได้นั้น จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตในอนาคต

 

อย่างไรก็ตาม ก่อนจะออกเดินทาง

 

ฮังอวี่จำเป็นต้องเตรียมการเล็กน้อย

 

เขาใช้หินสกิลทั้งสองในมือจนหมด

 

หินสกิลศรซุ่มยิงและโจมตีต่อเนื่อง ทั้งสองก้อนนี้เขาได้มาจากการแลกเปลี่ยนในครั้งก่อน

 

ศรซุ่มยิงเป็นสกิลโจมตีระยะไกลที่ยอดเยี่ยม ด้วยดาเมจแบบเจาะทะลุ ตอนนี้ฮังอวี่สามารถใช้ธนูยิงได้ไกลถึง 200 เมตร เหมาะมากสำหรับการลอบโจมตีและสังหารเป้าหมาย

 

โจมตีต่อเนื่องเป็นสกิลระยะประชิดที่ทรงพลัง เขาสามารถเพิ่มความเร็วในการโจมตีได้เป็นสองเท่า สร้างการจู่โจมฉับไหวหลายครั้งแก่เป้าหมาย ซึ่งเป็นส่วนเสริมที่ดีมากในการใช้ต่อสู้จริง

 

แค่ฮังอวี่ยังไม่ได้อัพเลเวลสองสกิลนี้ทันที

 

แม้ทั้งคู่ต้องการแต้มวิญญาณเพียง 300 แต้มในการอัพให้เต็มก็ตาม

 

เพราะต่อให้สกิลทั้งสองจะได้รับการอัพเลเวลจนเต็ม สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาก็มีแค่ระยะโจมตีและพลังโจมตีเท่านั้น ฮังอวี่จึงตั้งใจว่าจะเก็บแต้มไว้อัพเลเวลของตัวเองก่อน เพื่อเสริมแกร่งความสามารถโดยรวม

 

ทุกวันนี้ ฮังอวี่ครอบครองสกิลอยู่มากมาย

 

เขามีทั้งมรดกนักสอดแนม , มรดกคนเถื่อน , ปะทะเดือดเลเวล 3 , วิจัยพลังจิตเลเวล 3 , ศรจู่โจมเลเวล 3 , คลุ้มคลั่งกระหายเลือดเลเวล 1 , ก้าววายุเลเวล 1 , ศรซุ่มยิงเลเวล 1 และโจมตีต่อเนื่องเลเวล 1

 

ประเภทการใช้งานของสกิลค่อนข้างหลากหลาย

 

แต่เมื่อรวมๆกันแล้วสามารถครอบคลุมการต่อสู้ได้ทั้งระยะใกล้ กลาง และไกล ช่วยให้มีตัวเลือกใช้กลยุทธมากมาย

 

ระหว่างฮังอวี่กำลังใช้หินสกิลและตรวจสอบข้อมูลของมัน

 

“พี่มหาเทพ ดูนั่น ลุงฉูกับพี่สาวเฉินมากันแล้ว” ดวงตาของเจียงหนานเป็นประกาย เธอร้องเตือนขึ้นว่า “ดูเหมือนพวกเขาจะพาผู้ใช้วิญญาณมาด้วย คนๆนั้นน่าจะเป็นสมาชิกใหม่ของทีม”

 

ฮังอวี่เหลียวมอง

 

เขาสังเกตเห็นว่าทั้งคู่มีท่าทีที่ต่างกัน

 

ฉูเทียนหัวเห็นได้ชัดว่าใบหน้าบูดบึ้ง

 

ในทางกลับกัน เฉินหยูดูร่าเริงเล็กน้อย

 

ทั้งสองมากับชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งน่าจะอายุพอๆกับฮังอวี่ อย่างไรก็ตาม คนๆนี้ดูธรรมดามาก เป็นคนประเภทจืดจาง หากปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงชนคงไม่สามารถสังเกตเห็นเขาได้

 

โควต้ามีเพียงตำแหน่งเดียวเท่านั้น

 

การที่คนผู้นี้ถูกเลือก แสดงว่าได้ผ่านการแข่งขันจากทั้งสองค่ายมาแล้ว

 

แม้พลังรบส่วนบุคคลของฉูเทียนหัวจะน่าทึ่ง แต่ดูเหมือนผู้ใช้วิญญาณที่อยู่ในมือเขาจะอ่อนแอ ถ้าเดาไม่ผิด เด็กหนุ่มคนนี้คงมาจากค่ายลิซาร์ดแมนของเฉินหยู

 

เป็นอย่างที่คาดไว้

 

ทันทีที่เฉินหยูเดินเข้ามา เธอก็เอ่ยปากแนะนำทันที

 

“สวัสดีบอสฮัง บอสจ้าว นี่คือฉินมู่จากค่ายลิซาร์ดแมน เป็นผู้ใช้วิญญาณเลเวล 5 ที่จะมาเข้าร่วมปฏิบัติการกับพวกเราในครั้งนี้”

 

ฉูเทียนหัวพ่นลมหายใจ

 

สีหน้าของเขาดูไม่มีความสุข

 

แต่ไม่ได้โต้แย้งอะไร

 

ผู้ใช้วิญญาณเลเวล 5 ? ไม่ธรรมดานี่นา!

 

แม้เป็นเพราะฮังอวี่ ผู้คนที่นี่จึงสามารถบุกโจมตีค่ายหมูป่าได้ค่อนข้างเร็ว ดังนั้นโดยเฉลี่ยแล้วเลเวลของพวกขาจะสูงกว่าที่อื่น ทว่าชายที่ชื่อฉินมู่ผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย กลับสามารถขึ้นเป็นเลเวล 5 ได้ในเวลาอันสั้น

 

ฮังอวี่ได้รับข้อมูลเล็กน้อยเกี่ยวกับสกิลของฉินมู่

 

ฉินมู่ครอบครองอยู่สามสกิล : โรงละครแห่งความเงียบ , สร้างภาพหลอน และอัญเชิญโครงกระดูก

 

ทั้งหมดล้วนเป็นมรดกสายผู้ใช้วิญญาณ

 

คนผู้นี้ไม่มีมรดกที่ครบสมบูรณ์

 

จากมุมมองนี้เขาแย่กว่าอาจารย์ซู

 

แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฮังอวี่รู้สึกสนใจมากๆก็คือสกิลพรสวรรค์ของฉินมู่

 

สกิลพรสวรรค์ของฉินมู่เรียกว่า ‘มนตร์วาจาต้องห้าม’ ซึ่งมีผลบังคับใบ้ ในระหว่างต่อสู้ เขาสามารถผนึกสกิลของคู่ต่อสู้ได้ในทันที และคงสถานะนี้ไว้เป็นเวลานาน

 

ความสามารถขั้นเทพ!

 

นี่จัดได้ว่าเป็นตัวแปรสำหรับเวลาสู้กับ BOSS!

 

เรียกได้ว่าเป็นความสามารถที่ทรงพลังมาก!

 

ฮังอวี่พอใจมาก “ยินดีต้อนรับสู่ทีมผู้บุกเบิก”

 

“ขอบคุณ”

 

ฉินมู่ดูจะเป็นคนประเภทพูดไม่ค่อยเก่ง

 

ท่าทางที่แสดงออกมาค่อนข้างขี้อาย

 

อย่างไรก็ตาม ฮังอวี่เชื่อว่ารูปลักษณ์และบุคลิกที่เห็นนี้เป็นเพียงเรื่องหลอกลวง เพราะคนที่มาถึงเลเวล 5 ได้เร็วเช่นนี้จะเป็นคนธรรมดาไปได้อย่างไร?

 

เมื่อเทียบกับตอนบุกโจมตีค่อยมนุษย์หมูป่า สมาชิกที่เหลืออีกห้าคนตอนนี้ก็แกร่งขึ้นมากเช่นกัน

 

เพื่อที่จะได้สั่งการเวลาต่อสู้ได้เต็มที่และดียิ่งขึ้น ฮังอวี่จึงทำความเข้าใจเกี่ยวกับพื้นฐานของแต่ละคนเสียก่อน

 

คนแรกคือฉูเทียนหัว บุคคลที่มีพลังรบมากที่สุด

 

สกิลของฉูเทียนหัวไม่ค่อยซับซ้อนอะไรมากมายนัก

 

เขามีสองมรดกไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น

 

มรดกแรกคือ ‘พลรบกระบี่’ ซึ่งมีสกิลได้แก่ : เฉือนพริบตา, เฉือนสามครั้งต่อเนื่อง , เฉือนลมกรด ทั้งสามเป็นสกิลประเภทโจมตีทั้งสิ้น

 

มรดกที่สองคือ ‘ผู้กล้า’ ซึ่งมีสกิลได้แก่ : รวมปราณสะบั้น , รวมปราณเกราะ , เทคนิคเหี้ยมหาญ มีทั้งรุกและรับ เป็นมรดกที่ดีมาก

 

นอกจากนี้เขาคือนักรบเลเวล 6

 

และยังมีสกิลพรสวรรค์อย่างปรมาจารย์อาวุธ

 

ช่วยให้สามารถใช้งานอาวุธเกินกว่าเลเวลตัวเองได้

 

นอกจากนี้ มันยังช่วยเสริมพลังให้การโจมตีด้วยอาวุธอีกด้วย

 

ฐานคุณสมบัติของฉูเทียนหัวเองก็ค่อนข้างสูง เขาเป็นรองเพียงฮังอวี่เท่านั้น

 

สมกับที่เป็นพี่ใหญ่ในกองทัพ เหมาะสมแล้วที่ได้รับการฝึกฝนเป็นนักรบของประเทศ ด้วยพลังรบของฉูเทียนหัว แม้ยังห่างชั้นกับฮังอวี่ แต่เขาทรงพลังยิ่งกว่าจ้าวหมิงและเฉินหยูไม่น้อย

 

แน่นอน

 

สองคนหลังที่เอ่ยถึงก็ใช่ว่าจะอ่อนแอ

 

ปัจจุบันจ้าวหมิงมีสกิลทั้งหมด 6 สกิล

 

หนึ่งคือสกิลพรสวรรค์เกราะเหล็กศักดิ์สิทธิ์

 

นอกจากนี้ยังมีมรดกนักรบโล่ที่สมบูรณ์ ซึ่งได้แก่ : โล่กระแทก , โล่จู่โจม , โล่เสริมแกร่ง

 

และยังมีอีกสองสกิลคือ รัศมีกบฏและพลรบคำราม ทั้งคู่เป็นมรดกขั้นหนึ่งของอาชีพ ‘จอมกบฏ’ และคาดว่าอีกไม่นาน เหล่าจ้าวคงสามารถครอบครองมรดกที่สมบูรณ์อย่างที่สอง

 

สกิลพรสวรรค์ของเฉินหยูคือหนังสือแห่งพลังงาน

 

สกิลนี้ช่วยให้เธอใช้พลังงานเวลาร่ายคาถาลดลง และได้รับความสามารถในการฟื้นฟูพลังจิตอ่อนๆ แต่เมื่อใช้งานร่วมกับโพชั่นแล้ว ผลลัพธ์เป็นอะไรที่น่าทึ่ง เธอไม่จำเป็นต้องกังวลว่าพลังจิตจะหมดลงเลย

 

นอกจากนี้ เธอยังมีมรดกของผู้ใช้ศาสตร์สายฟ้าฝึกหัด อันได้แก่สกิล : ศรประกายสายฟ้า , ลวดประกายสายฟ้า และประกายสายฟ้าฟาด นอกเหนือจากนี้ก็มีเทคนิคหอกน้ำแข็ง และเทคนิคกรงอัคคี

 

เจียงหนานกับจางเสี่ยวเฉียงเองก็ไม่เลวเช่นกัน

 

ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ในเลเวล 5 แล้ว

 

นอกเหนือจาก ‘พันธสัญญาเทพธิดาแห่งรุ่งอรุณ’ ที่เป็นสกิลพรสวรรค์ เจียงหนานยังมีสกิลรักษาบาดแผลขั้นต้น , แสงแห่งการรักษา , พรแห่งชีวิต ซึ่งเป็นมรดกที่สมบูรณ์ของผู้รักษา และสกิลคำพิพากษาซึ่งเป็นหนึ่งในมรดกของหมอผี

 

สกิลพรสวรรค์ของจางเสี่ยวเฉียงคือ ‘หัวใจแห่งไฟ’นี่คือสกิลสายโจมตีและเสริมพลังแก่การโจมตีด้วยไฟ ปัจจุบันเขาครอบครองมรดกของอาชีพนักวางเพลิงสองสกิล อันได้แก่ ลูกไฟแผดเผาและลูกไฟระเบิด ซึ่งทั้งคู่ได้รับการอัพเลเวลเต็ม 3 ขั้นแล้ว

 

นอกจากนี้ก็มีสกิลอิสระอย่าง ‘ลูกศรอากาศ’ และ ‘เทคนิคหนามปฐพี’’ แม้ผลลัพธ์โดยรวมจะไม่ดีเท่าเฉินหยู แต่เฉพาะดาเมจนั้นสูงกว่าเฉินหยู

 

ข้างต้นคือสถานการณ์พื้นฐานของทีม

 

แต่ละคนล้วนทรงพลัง

 

ฮังอวี่พอใจกับพลังรบของทีมนี้มาก

 

ด้วยทีมที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ภายใต้คำสั่งของฮังอวี่ เป็นไปได้มากทีเดียวที่จะบุกไปถึงส่วนลึกสุดของเขาวงกตในครั้งนี้ แต่ก่อนออกเดินทาง ต้องแจกจ่ายหน้าที่ให้ชัดเจน

 

เพราะอย่างไรเสีย ฉูเทียนหัว เฉินหยู และฉินมู่ต่างก็พึ่งร่วมทีมกับฮังอวี่เป็นครั้งแรก

 

พวกเขาไม่ได้เชื่อฟังโดยสนิทใจเหมือนกับเหล่าจ้าว เสี่ยวเฉียง และเจียงหนาน

 

“การผจญภัยครั้งนี้ หวังเอ๋อเป็นตัวตนที่ขาดไม่ได้”

 

“ผมขอนับมันรวมเป็นหนึ่งในสมาชิกของทีม และจะแจกจ่ายแต้มวิญญาณตามค่าเฉลี่ย นอกจากนี้ ผมขอสินสงครามเป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 30% ของมูลค่าโดยรวม ส่วนที่เหลือ60% ถึง 70% จะถูกแบ่งเท่าๆกันกับอีก 6 คนที่เหลือ”

 

“ทุกคนมีคำถามอะไรไหม?”

 

เหล่าจ้าว เจียงหนาน และเสี่ยวเฉียงปราศจากข้อโต้แย้งใดๆ

 

ฉูเทียนหัวกับเฉินหยูนิ่งคิดพักหนึ่งก่อนได้ข้อสรุปว่าก็สมเหตุสมผล

 

เขาวงกตนั้นอันตรายมาก จมูกสุนัขจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้

 

แล้วอีกอย่าง น้องหมาเองก็ไม่อ่อนแอ มันเป็นถึงชนชั้นยอดขั้นโกลด์เลเวล 4!

 

นอกจากนี้ ฮังอวี่คือผู้บุกเบิกที่มีประสบการณ์สำรวจเขาวงกตมาแล้ว และพลังรบของเขาก็แก่กล้าที่สุดในกลุ่ม ดังนั้นสมเหตุสมผลที่จะได้รับสินสงครามมากกว่าคนอื่นๆ

 

“ก็ฟังดูเข้าท่า”

 

“โอเค งั้นอย่ามัวเสียเวลากันอยู่เลย ไปกันเถอะ”

 

ฮังอวี่รู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้หนักหนาสาหัสมาก ดังนั้นเขาไม่ต้องการเสียเวลาแม้ซักนาที นำคนทั้งหกไปยังแผ่นศิลาเทเลพอร์ตเบื้องหน้า และเข้าสู่เขาวงกตทันที

 

“นี่น่ะหรอหอคอยเขตแดน?”

 

“ช่างยิ่งใหญ่ อลังการ และน่าเหลือเชื่อ!”

 

เจียงหนานกับเสี่ยวเฉียงเมื่อเห็นหอคอยเขตแดนอันใหญ่โตและสูงตระหง่านเชื่อมต่อแผ่นฟ้ากับผืนดิน ทั้งสองก็เผยท่าทีตกใจออกมา

 

มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ภาพดังกล่าวจะปรากฏขึ้นในโลกจริง

 

เกรงว่าคงมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถสร้างสถานที่อันน่าเกรงขามและตระการตาเช่นนี้ได้

 

จ้าวหมิง ฉูเทียนหัว และเฉินหยูต่างให้ความสำคัญกับการสำรวจเขาวงกตในครั้งนี้มาก เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ทั้งหมดขมวดคิ้วพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย … เขาวงกตมีพื้นที่กว้างใหญ่และซับซ้อนกว่าที่พวกเขาคาดไว้ นึกไม่ออกจริงๆว่าครั้งก่อนฮังอวี่สำรวจมันเพียงลำพังได้อย่างไร

 

“ไปกันเถอะ”

 

ฮังอวี่นำทีมผู้บุกเบิก เจ็ดมนุษย์และหนึ่งสุนัขเข้าสู่เขาวงกต

**เรื่องนี้แปลจบแล้วว ผมลงตอนจบ (ตอน 529) ไว้ในเพจ : นิยาย by Muntra ถ้าอยากอ่านตอนจบ เข้าไปดูในเพจได้นะครับ