3/3
Ep.130 – น่ากลัวว่าจะเป็นบั๊ค!
ตกเย็น
สีของท้องฟ้าแดงเหมือนเลือด อุณหภูมิในป่าเริ่มลดลง
หลังจากทุ่มเทเดินทางอย่างยากลำบาก ในที่สุดกลุ่มของจ้าวหมิงก็มาถึงที่ตั้งของด่านหน้าบนยอดเขา
ระหว่างทาง พวกเขาสูญเสียสหายไปอีก 6 คน
ก่อนทุกคนจะถึงยอดเขา ทั้งหมดต่างอธิษฐาน หวังว่าด่านหน้าบนยอดเขาจะมีขนาดเล็ก มิฉะนั้นด้วยจำนวนสมาชิกที่มี คงไม่สามารถบุกเข้ายึดได้ เฮ้อ~
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะพวกมนุษย์หมูป่ามันร้ายกาจเกินไป!
ระหว่างทางพวกเขาได้เผชิญหน้ากับ มนุษย์หมูป่าชั้นยอดหลายตัวติดต่อกัน
มนุษย์หมูป่าขนแดงหนังหนาเนื้อหยาบ กว่าจะโค่นลงแต่ละตัวช่างยากลำบาก
มนุษย์หมูป่าขนดำโจมตีรุนแรงดุดัน บางคนโดนเข้าทีเดียวถึงกับตาย
มนุษย์หมูป่าขนเขียวเจ้าพวกนี้แม้พุงพลุ้ยแต่เคลื่อนไหวปราดเปรียว ว่องไวมาก แถมยังใช้ธนูเป็นอาวุธ
สรุปคือพลังรบของมนุษย์หมูป่าพวกนี้แก่กล้าเกินไป!
ครั้งนี้พวกเขาดำเนินภารกิจอย่างเร่งรีบ มีกำลังคนไม่พอ!
หากด่านหน้าบนยอดเขามีขนาดใหญ่ เกรงว่าคงได้แต่พบกับความพ่ายแพ้
ตอนนี้ตกเย็นแล้ว ไม่มีเวลากลับไปค่ายอีก ได้แต่ต้องเข้ายึดค่ายด่านหน้าเท่านั้น
ภูเขามอนสเตอร์หมูป่าแค่ตอนกลางวันก็อันตรายมากแล้ว หากต้องอยู่ท่ามกลางภูเขาในตอนกลางคืน คงเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการได้
สำหรับสถานการณ์ของเหล่าสมาชิกที่กำลังมุ่งหน้าที่ยอดเขา ขณะนี้ทั้งหมดอยู่ในสภาวะกระอักกระอ่วน
หากยึดค่ายบนยอดเขาได้ก็แล้วไป แต่หากล้มเหลว เกรงว่าคงต้องพบกับสถานการณ์น่าอับอายชนิดกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ทุกคนแหงนมองขึ้นไปเบื้องบนด้วยแววตาอ้อนวอน และเมื่อเห็นรั้วของด่านหน้า สีหน้าของทั้งหมดหมองคล้ำลง ตกอยู่ในความสิ้นหวังอย่างสุดขีด
นายน้อยฉงเป็นคนแรกในกลุ่มที่สบถสาปแช่งออกมา “เวรเหอะ นั่นเรียกด่านหน้าซะที่ไหน เป็นค่ายชัดๆ!”
“ด่านหน้าจะใหญ่ขนาดนี้ได้ยังไง!”
“ทั้งๆที่มองจากตีนเขามันมีขนาดเล็กมากแท้ๆ!”
“จบสิ้นแล้ว มันจบแล้ว พวกเราสู้ไม่ไหวหรอก!”
“ตอนนี้พวกเราเหลือสมาชิกไม่ถึง 50 คน แล้วจะไปเอาชนะค่ายมนุษย์หมูป่าที่มีพวกมันรวมอยู่กันเป็นฝูงได้ยังไง? ”
ทันใดนั้นหัวใจของผู้คนเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง แม้ยังไม่เริ่มสู้ แต่ขวัญกำลังใจหดหายแทบไม่มีเหลือ
“เราไม่ควรไปมากกว่านี้ ดึงดันไปก็รังแต่จะเกิดการเสียสละโดยไม่จำเป็น” ฉูเทียนหัวขมวดคิ้ว เอ่ยตรงๆว่า “ตัดสินจากขนาดฐานทัพด่านหน้า ต่อให้เราเข้ายึดสำเร็จ แต่คงมีผู้บาดเจ็บล้มตายเยอะเกินไป ได้ไม่คุ้มเสีย!”
“ลูกพี่ฉูพูดถูก”
“กว่าพวกเราจะอัพเลเวลกันได้มันไม่ง่ายเลย”
“ถึงฉันจะไม่กลัวตาย แต่การตายครั้งเดียว มันสูญเสียมากเกินไป!”
เกิดเสียงโวยวายขึ้นในฝูงชน ผู้ที่เข้าร่วมการบุกยึดในครั้งนี้ ส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้บุกเบิกเลเวล 2 และ 3 ที่ถูกเรียกว่า่ว่าผู้บุกเบิก เพราะสามารถก้าวนำหน้าคนอื่นได้หนึ่งก้าว
แต่ก้าวที่ว่ามันเปราะบางมาก หากตายแค่ครั้งเดียว ข้อได้เปรียบนี้จะหายไป
สำหรับความเสี่ยงที่ไม่สมกับกำไรตอบแทน ไม่มีใครต้องการรับมัน
หากผู้บุกเบิกของทั้งสามค่ายถูกกวาดล้างลงที่นี่ แล้วพวกเขาจะยังแข่งขันกับค่ายอื่นหรือนำหน้าคนอื่นๆได้อีกหรอ? เกรงว่าข้อได้เปรียบคงลดลงอย่างมากในอนาคต
คราวนี้แม้แต่เฉินหยูที่มีอารมณ์ค่อนข้างรุนแรงก็ยังแสดงท่าทีลังเล เธอแม้มีบุคลิกแก่กล้า แต่ไม่ใช่คนโง่ การต่อสู้ที่เห็นได้ชัดว่าต้องพ่ายแพ้ และมีโอกาสที่ทั้งกองทัพถูกทำลาย แน่นอนว่าไม่มีใครอยากฝืนทำ
แต่ทุกอย่างมาถึงขั้นนี้แล้ว
ถ้าขืนยอมแพ้ มันจะไม่น่าเสียดายเหรอ?
ฝูงชนเบนสายตามามองจ้าวหมิง
จ้าวหมิงยังไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ เขาแค่หันไปรอบๆ คล้ายกำลังมองหาบางสิ่ง
จางเสี่ยวเฉียงเดินเข้ามา โน้มตัวลงกระซิบว่า “ไม่เจอลูกพี่ฮังอยู่แถวๆนี้”
คิ้วของจ้าวหมิงขมวดลงเล็กน้อย “ติดต่อเขา ”
“ให้ฉันทำเอง!” เจียงหนานอาสา รีบติดต่อหาฮังอวี่ทันที
ประมาณสองนาทีต่อมา เธอเดินมาหาจ้าวหมิงด้วยท่าทางแปลกๆและพูดว่า “พี่มหาเทพบอกให้เราเข้าไปในค่ายได้เลย”
เข้าไปในค่ายได้เลย?
ไม่มีทางซะล่ะ! แบบนั้นไม่ต่างจากแส่หาที่ตาย!
จ้าวหมิงคิดทบทวนอยู่สองวินาที หันไปพูดกับเฉินหยูและฉูเทียนหัวว่า “ในเมื่อพวกเรามาที่นี่แล้ว ยังไงก็ต้องลองสืบดูก่อน ถึงครั้งนี้จะไม่ได้สู้ อย่างน้อยก็ไปตรวจสอบข้อมูล เพื่อเตรียมรับมือกับการต่อสู้ในครั้งถัดไป”
ฉูเทียนหัวและเฉินหยูมองหน้ากัน
ทั้งสองรู้สึกว่าคำพูดของจ้าวหมิงนั้นสมเหตุสมผล
พวกเขาส่งสมาชิกทีมสองคนที่สามารถพรางตัวได้เดินไปสำรวจเส้นทางข้างหน้าทันที
เมื่อรับทราบว่าปลอดภัย กลุ่มคนที่เหลือค่อยๆเดินเข้าไปยังประตูหลักของค่ายอย่างระมัดระวัง
จะมีหมูป่าข้างในกี่ตัวกันนะ?
หากโจมตีประตูแล้วพวกเขาจะโดนรุมยำไหม?
ความรู้สึกของทุกคนดูไม่สบายใจมาก บรรยากาศแทบกลายเป็นหยุดนิ่ง
และในตอนนั้นเอง ประตูค่ายค่อยๆแง้มออก
นักเวทย์เตรียมร่ายสกิล นักรบกำอาวุธในมือแน่น ทำหน้าตาขึงขังประหนึ่งพบศัตรูตัวฉกาจ
และเมื่อบรรยากาศตึงเครียดถึงขีดสุด หัวของผู้อยู่หลังประตูก็โผล่ออกมา
แต่เป็นหัวหมา!
เจ้าหมาแลบลิ้น เอียงศีรษะ สองตาเล็กๆดูน่าขบขัน บ่งบอกว่าเป็นฮัสกี้พันธุ์แท้!
ฝูงชนเห็นฉากนี้ ทั้งหมดตะลึงงันไปชั่วขณะ
ฉันตาฝาดไปรึเปล่า นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน??
ทุกคนต่างฟันฝ่าอย่างยากลำบากจนมาถึงยอดเขา ทั้งหมดเตรียมใจที่จะต่อสู้ แต่ไม่นึกฝันเลย ว่าสิ่งมีชีวิตตัวแรกที่โผล่ออกมาจากด่านหน้าบนยอดเขาจะเป็นฮัสกี้!
ห้วงอารมณ์ของทุกคนตอนนี้พลิกตลบ ราวกับว่ากำลังประสบเหตุการณ์ดังต่อไปนี้
ฝึกฝนมา 20 ปีจนกลายเป็นนักรบที่แก่กล้าที่สุด ได้รับมอบดาบจากกษัตริย์ สวมเกราะที่ดีที่สุดในประเทศ ก่อตั้งกลุ่มผู้กล้า ไล่สังหารปีศาจไปตลอดทาง จนในที่สุดมาถึงปราสาทของราชาปีศาจ และกำลังจะตบเท้าเข้าท้าทายมัน
แต่กลับพบว่า … ราชาปีศาจในตำนานเป็นเพียงปลาดาว!
“ฮ่ง! ยินดีต้อนรับทุกท่าน เป็นยังไงกันบ้าง ทำไมถึงมาช้ากันแบบนี้?” ฮัสกี้ก้าวออกมา ดันหัวน้อยๆของมันเปิดประตู ส่ายขนสุนัขเบาๆให้ดูสง่างาม
“เปิ่นหวังกับเจ้านายรอจนเกือบหลับอยู่แล้ว”
“เจ้าหมาหวังเอ๋อ!”
เจียงหนานและหวังฉงร้องออกมาพร้อมกัน
ทุกสายตามุ่งความสนใจมาที่พวกเขาทันที
เจียงหนานอธิบายว่า “ทุกคนไม่ต้องกังวล หมาหวังเอ๋อเป็นมิตรกับพวกเรา มันคือสัตว์ววิญญาณของพี่มหาเทพ”
หวังฉงลอบด่าในใจ ‘เป็นมิตร มิจฉาชีพเถอะ!’
“หวังเอ๋อ ทำไมนายถึงไปอยู่ข้างในนั้น? มหาเทพฮังหายไปไหน?” เจียงหนานตะโกนใส่สุนัขหน้าประตู “แล้วสถานการณ์ในค่ายเป็นยังไงบ้าง? ยังมีมอนสเตอร์อยู่ข้างในอีกไหม?”
“ฮ่ง! ทุกคนมาช้าเกินไป มอนสเตอร์ข้างในถูกเปิ่นหวังกับเจ้านายเก็บกวาดหมดแล้ว เจ้านายกำลังรออยู่ เข้ามาได้เลย!”
อะไรนะ?
มอนสเตอร์ถูกเก็บกวาดหมดแล้ว??
ยึดค่ายสำเร็จแล้ว???
ฝูงชนต่างสับสนมึนงง
ด้านฮัสกี้ เมื่อพูดจบก็หันกลับเข้าไปในค่าย
คนอื่นๆมองหน้ากันซักพัก จิตใจว้าวุ่นอยู่พักหนึ่ง หลังจากตั้งสติได้ ก็เดินตามสุนัขเข้าไป
ภายในค่ายสะอาดมาก ราวกับไม่เคยมีสงครามครั้งใหญ่มาก่อนเลย
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีกลิ่นเหม็นไหม้ลอยอยู่ในอากาศ
ซากศพของพวกมนุษย์หมูป่ากลายเป็นสสารวิญญาณระเหยไปหมดแล้ว หอคอยและสิ่งปลูกสร้างต่างๆถูกแทนที่ด้วยแผ่นศิลาโลกวิญญาณที่ตั้งอยู่ตรงกลาง มันได้กลายเป็นสถานที่ว่างเปล่าไม่ต่างจากค่ายพักแรม
เป็นไปได้ไหมว่าบนค่ายด่านหน้าจริงๆแล้วจะไม่มีสิ่งใด?
แม้จะเกิดความคิดนี้แวบเข้ามา แต่ทุกคนต่างรู้ดี ว่าเรื่องนั้นไม่มีทางเป็นไปได้
หรือจะเป็นอย่างที่เจ้าฮัสกี้พูด? มนุษย์หมูป่าทั้งหมดถูกกวาดล้าง?
แทบทุกสายตา ทั้งหมดจดจ่อไปยังร่างๆหนึ่งที่นั่งอยู่หน้าแผ่นศิลาโลกวิญญาณ
อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่ม สวมชุดเกราะสีเขียวดูประณีตละเอียดอ่อน แต่จงใจสวมเสื้อคลุมที่ขาดวิ่นทับไว้
เขาไม่ได้สูงมาก แต่เมื่อนั่งอย่างโดดเดี่ยวอยู่กลางค่ายยามอาทิตย์อัสดง กลับทำให้ดูลึกลับเป็นพิเศษ
ทุกคนไม่มีใครเห็นหน้าตาของชายหนุ่มผู้นี้ นั่นเพราะเขาสวมหน้ากากอยู่
แต่สิ่งนี้กลับทำให้เขายิ่งดูลึกลับอย่างไม่ต้องสงสัย
เขานั่งเงียบๆอยู่บนพื้น ตั้งแผงลอยเล็กๆ และมีไอเท็มกว่า 30 รายการกองอยู่บนพื้นดิน เกือบครึ่งหนึ่งเรืองแสงสีขาว ทำให้ผู้คนไม่อาจละสายตาไปจากมันหลังจากได้มองเพียงครั้งเดียว
อุปกรณ์!
อุปกรณ์มากมาย!
ตั้งแต่เริ่มเข้าสู่โลกวิญญาณ คนกลุ่มนี้ไม่เคยเห็นอุปกรณ์ล้ำค่ากองรวมกันเยอะแยะขนาดนี้มาก่อนเลย!
หรือมนุษย์หมูป่าทั้งค่ายนี้จะถูกชายเบื้องหน้าฆ่าทิ้งทั้งหมดจริงๆ?
แต่จะให้เชื่อได้อย่างไร!
มันจะเว่อร์เกินไปแล้ว! เว้นแต่เจ้าหมอนี่จะเป็นบั๊คของโลกวิญญาณ!
อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์ที่วางเรียงรายอยู่เบื้องหน้านั้นคือสิ่งที่สามารถช่วยยืนยันได้อย่างแท้จริง
เนื่องจากรายละเอียดของอุปกรณ์ที่แสดง ทุกคนสามารถเห็นโบนัสค่าคุณสมบัติของมันได้
ทั้งหมดคืออุปกรณ์เลเวล 5 อา …. คนเบื้องหน้าเกรงว่าคงไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นเทพเจ้า!
