บทที่ 33: เกาะกลาง (6)

 

 

‘ไหนดูสิ’

แทจิน หนึ่งในลอร์ด พึมพำอยู่ในใจ

เขาไม่รู้ว่าปราสาทจอมมารนั้นอันตรายหรือไม่

แต่เขาเพียงแค่ต้องตัดสินใจระหว่างทั้งสองตัวเลือก

ระหว่างว่าลูกกิลด์ของเขาจะสามารถเป็นหนึ่งใน 500 คนที่จะขึ้นไปได้หรือไม่

หากมันเป็นไปได้ มันก็ไม่มีเหตุผลให้เขาไปยังปราสาทจอมมาร

‘ฉันคงต้องควบคุมการจราจรสักหน่อย’

<มาคุยกันเถอะ>

มันเป็นสถานที่ที่พวกเขาได้รวบรวมลูกกิลด์ของพวกเขาเพื่อที่จะสื่อสารได้อย่างรวดเร็วระหว่างสถานการณ์ฉุกเฉิน

และพวกเขาสามารถเอ่ยผ่านผู้คนเหล่านี้และฟังความคิดเห็นของพวกเขาได้

มันถูกสร้างขึ้นเพื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน และหากสถานการณ์นี้ไม่ฉุกเฉิน เช่นนั้นมันจะเป็นเมื่อไหร่กัน?

และการตัดสินใจของพวกเขาได้มติเอกฉันท์ผ่านความคิดเห้นของลอร์ด

<อย่างแรก เราจะไม่สู้กันเอง เมื่อเราขึ้นไป เราจะขึ้นไปหลังจากที่สร้างพันธมิตรระหว่างกิลด์แล้ว>

ถ้าพวกเขาสู้กับกิลด์อื่นเพื่อที่จะพาลูกกิลด์ของพวกเขาขึ้นไป พวกเขาก็จะตายหมด

หากเป็นแบบนั้น กระทั่ง 300 คนจาก 500 ยังไม่นับว่ามากเกินไป

ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการที่ทั้งสิบสองกิลด์เติมเต็มที่ทั้ง 500 ที่ทีล่ะคนเพื่อขึ้นไป

หากมันเป็นแบบนั้น พวกเขาจะสามารถนำคนของพวกเขาขึ้นไปได้อย่างน้อย 40-50 คน

พวกเขาไม่ชอบความจริงที่ว่าทั้งสิบสองกิลด์จะมีคนขึ้นไปได้ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน แต่มันก็ยังคงมีประโยชน์

พวกเขาได้แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยการเข้าสู่ดันเจี้ยนใต้ดิน และได้ติดอาวุธตนเองด้วยอาร์ติแฟค

พวกเขาไม่รู้ถึงสถานการณ์ในเกาะอื่น แต่หากพวกเขาสามารถนำลูกกิลด์ยอดฝีมือขึ้นไปได้ 40-50 คน งั้นพวกเขายังคงสามารถใช้พวกเขาให้เป็นข้อได้เปรียบได้ในเกาะข้างบน

‘นี่คือทางแก้ในตอนนี้’

เมื่อความคิดเห้นของพวกเขาสอดคล้องกัน คำตอบก็ปรากฏขึ้น

<ป้องกัน>

ถ้าพวกเขาป้องกัน มันย่อมไม่มีเหตุการณ์ที่เหล่าลอร์ดและลูกกิลด์ยอดฝีมือของพวกเขาไม่อาจขึ้นไปได้

เมื่อปัญหาระหว่างกิลด์ได้ถูกแก้แล้ว ปัญหาในตอนนี้ก็คือพวกที่ไม่มีกิลด์

‘หืมม… มันมีพวกที่ไม่มีกิลด์ค่อนข้างเยอะเลย’

ยิ่งมีคนมากเท่าไหร่ มันด็ยิ่งเป็นการดีกว่าในการป้องกัน แต่เรื่องมันเปลี่ยนไปเมื่อผู้ที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้นั้นอยู่ที่ 500 คน

คนทั้งหมดในตอนนี้มีอยู่ 1,300 คน

ประมาณ 600 คนมีกิลด์ ส่วน 700 คนที่เหลือไม่มี

เหล่าผุ้ที่ไม่มีกิลดนั้นรู้สึกอึดอัดเมื่อเห็นภาพแปลกประหลาดอย่างการที่ผู้คนที่มีความสัมพันธ์ย่ำแย่จนกระทั่งพยายามฆ่ากันเองได้ถูกบังคับฝืนใจให้ไกล่เกลี่ยกันด้วยสัญลักษณ์กิลด์

พวกเขาสามารถยืนยันความปลอดภัยของพวกเขาได้ แต่มันชัดเจนว่าผู้คนย่อมหลีกเลี่ยงมันหากอิสระของพวกเขาจะถูกควบคุมแบบนั้น

และยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่อยู่เหนือกว่าพวกเขาที่ถูกเรียกว่าลอร์ด ที่พวกเขาจำต้องเชื่อฟังแม้ว่าอีกฝ่ายจะสั่งให้พวกเขาฆ่าตัวตายก็ตาม

พวกเขาอาจเข้าร่วมหากสถานการณ์มันอันตราย แต่ความที่ว่าการป้องกันนั้นได้เป้นไปอย่างไร้ที่ติ ร่วมทั้งสัดส่วนในการแบ่งของระหว่างกิลด์และพวกที่ไม่มีกิลด์ก็เช่นกัน

แต่มันมีพวกที่ไม่มีกิลด์จำนวนมากเกินไปที่จะไปเพียงเพื่อตาย

หากมันมีลูกกิลด์เหลือแค่ 600 คน เช่นนั้นการสูญเสียก็จะเพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ

ดังนั้นแล้วพวกเขาต้องหยุดพวกนั้นในการไป

แต่พวกเขาไม่จำเป็นที่จะต้องหยุดพวกนั้น

“กิลด์ของพวกเราเลือกที่จะป้องกัน!”

“เราด้วย!”

ทุกกิลด์เริ่มที่จะตะโกนตัวเลือกของพวกเขาในการป้องกันออกมาจากทุกที่

จากนั้นพวกที่ไม่มีกิลด์ทั้งหมดก็เริ่มที่จะพึมพำ

‘มันไม่มีทางที่พวกนั้นจะไป’

แทจินหัวเราะอยู่ในใจ

พวกอ่อนแอมักจะมีตัวเลือกจำกัด

และบัดนี้ผู้คนเหล่านั้นจำต้องเฝ้ารอตัวเลือกของพวกเขา

‘ไอ้พวกเวร…’

ซังแท หนึ่งในผู้ที่อยู่ในสมาคมไม่มีกิลด์ กัดฟันกรอด

‘เวรเอ้ย… ฉันควรจะเข้ากิลด์เมื่อทุกอย่างยังปกติ’

แต่เขาไม่อาจเข้าร่วมได้เพราะความอึดอัดหลังจากเห็นพวกที่มีกิลด์ได้รับสัญลักษณ์

เขาไม่ได้เข้าร่วมกิลด์เพราะเขาคิดว่าเขาสามารถขึ้นไปได้โดยไม่มีปัญหามากหากเขาพวกเขายังไงป้องกันแบบนี้ แต่ไอ้เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดนี่ได้เกิดขึ้น

‘เอาเถอะ ถึงแม้ว่าฉันจะเข้าร่วม ฉันก็อาจจะถูกตัดออก’

มันไม่มีทางที่พวกนั้นจะปล่อยที่ว่างให้พวกที่ไม่มีกิลด์ขึ้นไป

เมื่อพวกนั้นกำลังยุ่งยากกับการที่พยายามจะนำคนทั้งหมดของพกเขาขึ้นไป

มันดูเหมือนว่าพวกที่ไม่มีกิลด์คนอื่นๆ ที่สามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็วเองก็ตระหนักถึงมันได้ขณะที่พวกเขาพึมพำ

พวกเขามีสามทางเลือกในตอนนี้

ร่วมตัวกับพวกมีกิลด์และมุ่งตรงไปยังปราสาทจอมมารพร้อมด้วยพวกที่ไม่มีกิลด์

สร้างพันธมิตรระหว่างพวกที่ไม่มีกิลด์และต่อสู้กับพวกกิลด์เพื่อที่ว่าง 500 ที่นั่น

และตัวเลือกสุดท้าย

อยู่กับพวกกิลด์เพื่อต่อสู้และเฝ้าคาดหวังสำหรับที่ว่างที่อาจมายังพวกเขา

‘ฉิบหายเอ่ย’

ซังแทส่ายศีรษะ

ในความเป็นจริง ตัวเลือกสองตัวเลือกแรกนั้นเป็นไปไม่ได้

นักผจญภัยที่ไม่มีกิลด์นั้นได้ถูกแบ่งแยกจากกิลด์มานานแล้ว

ตัวเลือกทั้งสองนั้นจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาร่วมมือกันและตกลงในการสร้างการปะทะระหว่างกิลด์กับพวกที่ไม่มีกิลด์ขึ้น

แต่หากพวกเขามีเพียงตัวเลือกสองตัวเลือกด้านบน เช่นนั้นพวกเขาย่อมต้องรวมพลังกันไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง

เมื่อพวกเขาไม่อาจนั่งรอความตายได้

เรื่องที่บัดซบที่สุดคือความหวังยังคงมีอยู่

‘ตัวเลือกที่สามคือปัญหา’

ถ้าพวกเขายังคงป้องกันต่อไป จำนวนของพวกที่มีกิลด์จะลดลง

แต่พวกนั้นอาจต้องการเติมเต็มที่ว่างทั้ง 500 นั่นในการขึ้นไปด้านบน

เมื่อมันย่อมดีกว่าหากมีคนมากกว่าเมื่อคิดถึงสถานที่ข้างบนนั่น

ซึ่งหมายความว่า มันอาจมีที่ให้กับผู้ที่ไม่มีกิลด์ให้พวกเขาสามารถขึ้นไปด้วยได้

ยิ่งโอกาสที่มีสูงกว่าสองตัวเลือกแรกมาก ซึ่งมีโอกาสในการถูกสังหารหมู่ด้วย

‘เวรเอ้ย… งั้นก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว’

ถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ ตราบเท่าที่พวกเขาไม่คิดถึงการที่รวมพลังของพวกที่ไม่มีกิลด์เข้าด้วยกันเพื่อสู้ พวกเขาก็มีเพียงแค่เลือกเข้าข้างกิลด์

มันอาจมีโอกาสเป็นไปได้อย่างน้อยนิดหากทั้ง 700 คนที่เหลือรวมพลังกัน แต่หากพวกเขาแยกกันเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่มีทางเลือก

‘เหี้ยเอ้ย… ตราบเท่าที่เรารวมตัวกัน เราอาจจะทำอะไรได้บ้าง’

ความจริงแล้ว จุดมุ่งหมายหลักของเกมนี้ง่ายมาก

ถ้าพวกเขาแยกกัน ทั้งสองฝั่งจะตาย

ดังนั้นแล้วทุกคนจำต้องเลือกเพียงฝั่งเดียว

ว่าจะป้องกันหรือโจมตี

แต่หากมีฝั่งหนึ่งถูกสนับสนุนอย่างมาก เช่นนั้นอีกฝั่งก็มีเพียงแต่ต้องทำตามอย่างเชื่อฟัง เว้นเสียแต่พวกเขาต้องการที่จะต่อสู้กัน

ดังนั้นแล้วมันจึงไม่มีทางที่พลังของพวกที่ไม่มีกิลด์จะชนะ

เมื่อสหพันธ์กิลด์นั้นมีความคิดเป็นหนึ่งเดียวกัน ในขณะที่นักผจญภัยที่ไม่มีกิลด์นั้นได้ถูกแบ่งไปรอบๆ

และแม้ว่าพวกเขาจะสามารถวิเคราะห์ได้ว่ามันเป้นประโยชน์กับพวกกิลด์มากกว่า พวกเขาก็ทำได้ดเพียงถูกจูงจมูกไปมาขณะที่ยึดจับความหวังสุดท้ายที่ริบหรี่เอาไว้

ซังแทตะโกนขึ้นเสียงดังหลังจากที่ครุ่นคิด

‘มันไม่สามารถเป็นไปแบบนี้ได้’

“เฮ้! จะไม่มีใครไปกับฉันเลยเหรอ! เวรเอ้ย! พวกนายก็รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกนายอยู่ที่นี่!”

พวกที่ไม่มีกิลด์บางคนสะดุ้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น ทว่าไม่มีผู้ใดที่เดินออกมาด้วยตนเอง

‘เวรเอ้ย…’

แต่ขณะที่เหล่าลอร์ดกำลังมองไปยังซังแทด้วยท่าทางขบขัน คนผู้หนึ่งก็ได้เดินออกมาจากฝูงชนและไปหยุดยืนอยู่ข้างซังแท

และซังแทก็ได้ขมวดคิ้วเมื่อเห็นเช่นนั้น

เมื่อผู้ที่อยู่นอกเหนือไปจากความคาดหมายโดยสิ้นเชิงได้เดินออกมา

“ทำไมพวกนายทุกคนต้องประหลาดใจด้วยล่ะ?”

ฮันซูที่เดินออกมาต่อหน้าต่อตาทุกคนยักไหล่ของเขาขณะที่เขามองไปยังทั้งหมด

“… ถ้านายอยู่ที่นี่ นายก็ย่อมเป็นหนึ่งใน 500 คนอย่างแน่นอน”

ฮันซูหัเราะเมื่อได้ยินคำพูดของซังแทก่อนที่จะเอ่ยพูด

“เอาเถอะ มันย่อมมีสถานการณ์ของแต่ล่ะคน ฉันจะไปปราสาทจอมมาร”

และจากนั้นหนึ่งในผู้ที่ไม่มีกิลด์ได้ตะโกนขึ้นด้วยความหวัง

ทุกคนรู้

ว่าฮันซูนั้นมีพลังจิตที่แปลกประหลาด

‘หรือว่าเขาจะ… เลือกไปยังปราสาทจอมมารเพราะเขารู้บางอย่าง?’

“ฉันจะตามนายไป มันจะปลอดภัยรึเปล่า?”

เหตุที่พวกเขายังลังเลเพราะพวกเขาไม่อาจแม้แต่จะจินตนาการว่าถนนไปยังปราสาทจอมมารนั้นจะอันตรายเพียงใด

เมื่อหากมันมีคำยืนยันเรื่องแบบนั้น มันก็ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ที่นี่

ฮันซูยักไหล่เมื่อได้ยินเช่นนั้น

“ฉันไม่รู้ อาจจะมีคนรอด 500 คนเท่าเดิมเมื่อเราไปที่นั่น หรืออาจจะน้อยกว่า”

มันจะมีคนรอดมากขึ้นหรือไม่ถ้าพวกเขารวมพลังกันทั้งหมดและมุ่งตรงไปยังปราสาทจอมมาร?

เขาไม่แม้แต่จะรู้

เมื่อมันมีองค์ประกอบมากเกินไป

แต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่นอน

ถ้าพวกเขาอยู่ที่นี่ จะมีคนไม่เกิน 500 คนที่จะมีชีวิตรอด

ถ้าคน 600 คนรอดในท้ายที่สุด อีก 100 คนที่เหลือจะตายอย่างสงบเหรอ?

แน่นอนว่ามันย่อมมีการกระทบกระทั่งกันอย่างช่วยไม่ได้สำหรับผู้ที่ไม่ได้อยู่ใน 500 คนนั้นที่จะต้องตาย

ในทางกลับกัน แอรีสสามารถขึ้นไปพร้อมกับคน 600 คนจาก 1,000 คนหลังจากที่เลือกที่จะไปยังปราสาทจอมมาร

ฮันซูหัวเราะเมื่อเขาเห็นท่าทางปฏิเสธของผู้คนขณะที่เขาเอ่ยพูด

“แต่ถ้าพวกนายไม่ได้เป็นหนึ่งในกิลด์ การไปก็ย่อมดีกว่า ถ้าพวกนายอยู่ที่นี่ งั้นผู้ที่รับความเสี่ยงนั่นก็คือพวกนาย แล้วทำไมพวกนายต้องพยายามอยู่ที่นี่ด้วย”

แม้ว่าพวกเขาอาจจะตายเหมือนเดิม แต่ปัญหาในท้ายที่สุดก็คือสัดส่วน

แม้ว่าจำนวนคนเท่าเดิมตายในระหว่างทางเช่นเดียวกับที่พวกเขาเลือกที่จะป้องกัน เมื่อพวกเขาไปถึงที่นั่น เช่นนั้นพวกเขาก็สามารถขึ้นไปด้วยกันได้

แต่ในทางกลับกัน ถ้าพวกเขาอยู่ที่นี่และป้องกันแล้วทำได้สำเร็จ ผู้ที่ไม่มีกิลด์และไม่ได้ถูกเลือกโดยกิลด์จะตายทั้งหมด

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของทุกคนที่ครุ่นคิดอยู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นเด็ดขาดขณะที่เสียงพึมพำดังขึ้น

“ฉันไป”

แทฮีรู้สึกสงสัยในคำของฮยอนวูที่เอ่ยขึ้นหลังจากที่ได้ฟังคำพูดทั้งหมด

เมื่อฮยอนวูที่เธอรู้จักนั้นเป็นคนจำพวกปลอดภัยไว้ก่อน

แต่เขากำลังเสี่ยงดวงในเรื่องที่ดูอันตรายแบบนี้

“เอาจริงเหรอ?”

ฮยอนวูเค้นเสียงหัวเราะขณะเอ่ยพูด

“มันมีบางอย่างที่ฉันต้องค้นหาในตัวเขาต่างหาก”

มันเคยมีการเคลื่อนไหวในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับฮันซู

และเมื่อการเคลื่อนไหวเช่นนั้นเกิดขึ้น ฮยอนวูจึงเกิดความสงสัยขึ้นเช่นกัน

ไม่สิ มันไม่ใช่เพียงแค่คำถามของฮยอนวู

ทุกคนสงสัยเกี่ยวกับผู้ชายที่สู้อยู่ตรงนั้น

เมื่อมันแปลกประหลาดที่จะไม่สงสัยกับผู้ที่น่าจับตามองเช่นนั้น

ดังนั้นแล้ว ข่าวลือและความคิดเห็นจำนวนมากจึงได้ควบรวมกัน

มันเริ่มจากผู้ที่ได้อยู่กับชายหนุ่มตั้งแต่บททดสอบแรกกระทั่งผู้ที่ได้พบเห็นอีกฝ่ายมา ข้อมูลทั้งหมดรวมกันและได้รับการจัดการคัดแยก

และบทสรุปก็ได้ออกมาจากมัน

‘เขาเชื่อถือได้’

น่าประหลาดใจที่พวกนั้นบอกว่าเขาแข็งแกร่งตั้งแต่เริ่ม

มันมีหนทางที่จะเอาเปรียบผู้อื่นตั้งแต่เริ่มต้นมากมาย

เขาสามารถฆ่ามนาย์เพื่อรูนได้

หรือเขาอาจล่าและขโมยรูนได้ด้วยการคุกคามผู้อื่นด้วยความแข็งแกร่งของเขา

แต่เขาไม่ได้ทำแบบนั้น

ไม่สิ เขานั้นละเอียดในการแบ่งของอย่างมาก

เขาได้กลืนกินทุกอย่างเสียจนใกล้เคียงคำว่าเอาทุกอย่างไปเป็นของตัวเองคนเดียว แต่จากที่พวกเขาได้ยินมา หมอนั่นสู้แต่ในสถานที่ที่อันตรายเท่านั้น

ซึ่งเหมือนกับการที่พวกเขามองไปยังหมอนั่นสู้กับปีศาจในตอนนี้

‘และฉันชอบความที่เขาไม่ถูกสั่นคลอนไปกับความรู้สึกไร้ประโยชน์มากที่สุด’

หนึ่งในสิ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือผู้คนที่ต้องการถูกแบกไปรอบๆ

แต่จากที่พวกเขาได้ยินมา หากพวกเขาไม่จ่ายในส่วนของตนเอง เช่นนั้นหมอนั่นก็จะไม่สนใจ

แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่อาจยืนยันได้แค่เพียงจากการนำข่าวลือจำนวนมากมาปะติดปะต่อกัน

มันมีสิ่งสำคัญเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

และคนอื่นๆ อาจจะคิดแบบเดียวกับเขา

‘โอกาสมาถึงแล้ว’

มันเป้นเวลาสักพักแล้วที่ข่าวลือเกี่ยวกับที่หมอนั่นสามารถเชื่อถือได้ได้กระจายไปรอบๆ

เมื่อเขาได้พิสูจน์มันด้วยการกระทำมากกว่าคำพูด

เขาไม่ได้ละเลยการฆ่าผีดิบขณะที่เขากำลังต่อสู้อยู่กับปีศาจ

และเพราะแบบนั้น หมอนั่นจึงมีค่าเพียงพอที่จะเป็นจุดศูนย์กลาง

และพวกเขาต้องรวมตัวกันเพื่อที่จะทำลายเกมที่มีกิลด์เป็นจุดศูนย์กลาง

ถ้าพวกเขาไหลไปตามสถานการณ์ตอนนี้ กิลด์ย่อมไม่ต้องเสี่ยงอะไรขณะที่พวกเขาต้องแบกรับมันไว้

นักผจญภัยที่ไมมีกิลด์จะตายในที่สุดแม้ว่าพวกเขาจะป้องกันก็ตาม

และผู้ที่ไม่อาจเข้าร่วมกิลด์ได้ก็จะถูกโยนทิ้งในที่สุดเช่นกัน

ฮยอนวูตะโกนเสียงดังขณะที่เขาเดินตรงไปยังฮันซู

“ฉันตามไป!!!”

จากนั้นเขาจึงสะกิดแทฮีอย่างสุขุม

“เฮ้ เธอตะโกนไปด้วยเสียงดังๆ สิ”

แทฮีหัวเราะขณะที่เธอตะโกนออกไป

“ฉันไปด้วย! ไอ้พวกกิลด์หัวค**!”

‘… เธอไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้น ทำไมปากของยายนี่ถึงได้เลวร้ายขนาดนี้กัน?’

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทั้งสองก็ได้เดินออกไปตรงๆ ขณะที่พวกเขาตะโกนออกไป เสียงพึมพำดังขึ้นไปทั่วพร้อมกับเสียงสบถ

“เฮ้ย ไอ้พวกเวร การถูกสั่งไปเรื่อยนี่มันน่ารำคาญชะมัด!”

“ฉันไปด้วย! เหี้ยเอ้ย! มันไม่มีทางที่แฟรี่นั่นจะกำหนดทุกสิ่งมาเพื่อข้างที่ป้องกันหรือข้างที่โจมตีจะง่ายดาย!”

พวกเขาไม่ได้ออกไปเพียงเพราะพวกเขาหงุดหงิด

เมื่อมันเป้นการตัดสินใจที่สำคัญโดยมีชีวิตของพวกเขาเป็นตัวประกัน

แต่หากพวกเขายังคงทำแบบนี้ต่อไป สถานการณ์ก็จะไหลไปในทางที่พวกกิลด์ต้องการหลังจากที่พวกเขาถูกเหวี่ยงไปมาตามความเหนือกว่าของพวกกิลด์

พวกเขามั่นใจว่ามันอันตรายกว่าการที่ไปยังปราสาทจอมมาร

“นี่มันบ้าไปแล้ว… พวกนายไปไม่ได้! นี่ไม่ใช่การละเล่นของเด็ก ทำไมพวกนายถึงได้ขยับตามคำยุยงแบบนั้น…”

ขณะที่เหล่าลูกกิลด์เริ่มกระวนกระวายและพยายามที่จะหยุดอีกฝ่ายหลังจากที่เห้นทุกคนขยับและบ่นพึมพำ บางอย่างก็พุ่งลงมาจากฟ้าอย่างโหดเหี้ยมและปักตรึงตัวมันเองลงพื้น

ตูมมมม!

“ว๊ากกกก!”

“ทำไมพวกนายต้องขัดขวางพวกเขาเมื่อพวกเขากำลังบอกว่าพวกเขาจะไปด้วยตนเอง ปล่อยพวกเขาไปสิ”

ฮันซูเค้นเสียงหัวเราะขณะที่เขาเอ่ยพูด

เหล่าลอร์ดกลับกลายเป็นหดหู่เมื่อพวกเขาเห็นเคียวโซ่ขนาดยักษ์ที่ได้ลอยออกมาจากมือของฮันซูและปักลงเบื้องหน้าเท้าของเหล่าลูกกิลด์

มันเป้นอาวุธที่ชายหนุ่มได้แลกมาในวันหนึ่งขณะที่ต่อสู้อยู่กับปีศาจ

พวกเขารู้ว่ามันคืออะไร

เมื่อมันอยู่ในแคตตาล๊อค

<คำพิพากษาแห่งดีคราดอส>

ราคา

60 ผลึก

อาวุธที่ไม่อาจกระทั่งเทียบกับ <กลองแห่งเลมพัล> ที่มีราคา 15 ผลึก

ตั้งแต่ต้น แฟรี่อาจไม่ได้คาดว่าจะมีผู้ที่จะซื้อของแบบนั้นปรากฏตัวขึ้น

เมื่อมันอาจไม่ได้คิดว่าจะมีคนคนหนึ่งสามารถครอบครองปีศาจทั้งหมดที่ออกมาได้

“พวกนายตรงนั้นควรจะคิดใหม่อีกครั้งนะ? เมื่อความคิดของคนเปลี่ยนไปแล้ว”

กั๊กแตกัดฟันกรอดขณะที่เขามองไปยังฮันซูที่กำลังพูดกับพวกเขาขณะที่รั้งโซ่กลับ

‘เวรเอ้ย… เขาเป็นปัญหาอีกแล้ว’

สิ่งที่ทำให้ผู้คนจำนวนมากขนาดนั้นขยับได้ไม่ใช่เพราะคำพูดของหมอนั่น

จุดหลักคือการกระทำและพลังที่จัดการปีศาจที่ฮันซูได้แสดงออกมาขณะที่ป้องกันนั่นต่างหาก

เขาอาจหงุดหงิดน้อยกว่านี้หากพวกนั้นพยายามดิ้นรนในการสร้างสมาคมคนไร้กิลด์ขึ้น แต่ความจริงที่ว่ามันได้เกิดขึ้นเพราะชายที่ไม่ได้ทำอะไรเลยและทำเพียงล่าได้เดินออกมาแล้วพูดไม่กี่คำที่ได้สร้างความหงุดหงิดให้เขามากขนาดนี้

เพราะความพยายามทั้งหมดที่พวกเขาได้ลงแรงไปในการรวบรวมผู้คนให้มีพลังในการดิ้นรนรู้สึกราวกับถูกเยาะเย้ย

‘ไอ้เวรบัดซบเอ้ย’

กั๊กแตเต็มไปด้วยความกังวลขณะที่เขามองไปยังพวกไร้กิลด์ที่ได้ติดตามฮันซูไปกว่า 200 คนและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความรวดเร็ว

‘ฉันจำเป็นต้องนำกองกำลังพิเศษออกมารึเปล่า?’

กั๊กแตคิดว่าเขาควรที่จะทำลายสถานการณ์นี้ลงด้วยการบังคับโดยไพ่ลับที่เขาได้เตรียมการมาสักพักหรือไม่ ทว่าได้ส่ายศีรษะแทน

หากพวกเขาปะทะกันในสถานการณ์เช่นนี้ มันก็จะกลายเป็นสนามรบไป

‘ฉันจะทำตามนายไปก่อนในตอนนี้’

กั๊กแตเริ่มที่จะพูดคุยกับลอร์ดคนอื่นๆ อย่างรวดเร็ว

 


TL: จะต่อต้านปู่น่ะเร็วไปร้อยปีค่ะ!!!

 

ติดตามข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็วกว่าได้ทาง Facebook: Netear.ST นะคะ