บทที 115
บรึ้ม!
ในห้องโถง คลื่นความผันผวนของพลังปราณอันทรงพลังระเบิดออก ฉินห่าวหอบอย่างหนัก อย่างไรก็ตาม เขาพบว่าไร้ซึ่งร่องรอยความเสียหายใดๆทั้งทางเดินหรือห้องโถง พวกมันทนทานมาก
“เก้ามังกรทะยาน! ผลาญศักยภาพชั่วแล่น!”
บรึ้ม!
ฉินห่าวใช้ค้อนทุบทางเดิน บังเกิดเสียงอึกทึก พื้นทางเดินสั่นสะเทือน แต่ยังคงไม่ได้รับความเสียหาย
“เช็ดโด้! ขนาดนี้แล้วยังไม่ได้ผลอีก?”
เพ่งมองไปยังจุดที่ตอกค้อนลงไปแต่กลับไม่มีร่องรอยใดๆ ไม่มีแม้แต่เศษหินแตก นี่บ่งบอกได้ว่าทางเดินนี้ทนทานเพียงใด
ฉินห่าวทิ้งตัวนั่งบนพื้น ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง หากใช้ความรุนแรงไม่ได้ งั้นยังเหลืออีกหลายวิธีให้เขาทำ!
ฆ่าตัวตาย!
ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง และพบว่าตัวเองฟื้นคืนชีพในจุดใหม่ ก็ดีใจทันที จากนั้นเขาก็หันหลังกลับและวิ่งออกมา
หนึ่งนาทีต่อมา
มองไปยังประตูหินที่คุ้นเคยซึ่งเพิ่งพังทลายลง ฉินห่าวอยากจะร้องไห้แต่ไม่น้ำตา
“ก็คือมีแค่ประตูหินเท่านั้นที่เปราะบาง ส่วนที่เหลือทนทานสุดๆ นี่มันบ้าอะไร? ปล่อยคนให้ได้รับสมบัติล้ำค่า แต้สุดท้ายก็ทิ้งให้พวกเขาสิ้นหวัง?”
ตอนนี้ฉินห่าวสิ้นหวังเล็กน้อย เขาพยายามใช้ความรุนแรงก็แล้ว ฆ่าตัวตายก็แล้ว ตรวจสอบก็แล้วว่าที่นี่ไม่มีค่ายกลใดๆติดตั้งไว้ แล้วสถานการณ์ตรงหน้ามันยังไงกัน?
ผีลักซ่อน? ภาพหลอน?
“นี่ระบบ เจ้ามีส่วนไหนรวนรึเปล่า?” ฉินห่าวทำอะไรไม่ถูก เอ่ยถามระบบอย่างหมดหนทาง
“ก็ไม่หนิ”
หลังจากนั้นไม่นาน ระบบก็ตอบกลับมาอย่างเย็นชา
“แต่เจ้าเคยบอกว่าข้าเป็นอมตะ ไม่ต้องกลัวค่ายกลหรือผนึกใดๆ แต่สถานการณ์ตอนนี้มันยังไงกัน?”
ฉินห่าวชี้มาที่หน้าตัวเอง
“นี่ไม่ใช่ค่ายกลหรือผนึก แต่มันเป็นพื้นที่มิติ”
ระบบตอบกลับในไม่กี่วินาที
ฉินห่าวตกตะลึง พื้นที่มิติ? แต่แล้วเขาก็ตอบสนอง ย้อนนึกไปถึงคำบางอย่างในชาติที่แล้ว –มิติทับซ้อน!
เช้ดเด้! ไม่หรอกมั้ง? อีกฝ่ายเล่นใหญ่เบอร์นี้เลย?
เขาไม่เคยเห็นใครสามารถใช้วิชามิติในโลกนี้มาก่อน ว่ากันว่าวิชามิตินั้นสามารถใช้ได้ในช่วงขอบเขตมหายานหรือข้ามทัณฑ์สวรรค์ แต่มันก็ยังไม่แกร่งพอที่จะสร้างมิติทับซ้อนได้!
“พื้นที่มิติก็เป็นรูปแบบหนึ่งของผนึกอยู่ดีไม่ใช่หรือ?” ฉินห่าวคิดพักหนึ่งก่อนเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้
“ตามทฤษฏีแล้ว มิติไม่ถือเป็นค่ายกลหรือผนึก เพราะไม่มีคลื่นความผันผวนใดๆของพลังปราณ ที่นี่เป็นเพียงพื้นที่มิติที่หมุนวน ตราบใดที่เจ้าพบจุดตัดที่ถูกต้อง ก็สามารถออกไปได้”
ระบบตอบอย่างเย็นชา
ฉินห่าวฟังอย่างตั้งใจ เอ่ยถามอย่างรอบคอบ “เจ้าช่วยหาจุดตัดนั่นให้ข้าได้ไหม?”
“ได้ดิ จ่ายมา 100,000 ค่าความเกลียดชัง”
ฉินห่าว “ … ”
ไอ้แม่ย้อย! เจ้าฉวยโอกาสตอนที่ผู้อื่นทุกข์ร้อนฟันกำไรนี่หว่า? มิน่าเล่าถึงตั้งใจตอบนัก ที่แท้ก็วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้วน่ะเอง
แบบนี้ให้ตายเขาก็ไม่ยอมตกลง!
ยิ่งไปกว่านั้น อาหารหรือน้ำตอนนี้ไม่จำเป็นสำหรับฉินห่าว นอนรอจนกว่าจะมีใครโผล่มาก็แล้วกัน ยังไงเขาก็ไม่รีบร้อน
เมื่อรู้ว่านี่เป็นแผนปล้นจากระบบ ฉินห่าวค่อยเยือกเย็นลง ความกลัวที่หนักหนาที่สุดนั้นมาจากความกลัวในสิ่งที่ตนไม่รู้ แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว ดังนั้นไม่กลัว
ฉินห่าวทดลองหลายวิธี ขว้างก้อนหิน ขว้างเชือก เดินตามเชือก แต่สุดท้ายก็วนกลับมาที่เดิม
จนในที่สุดเขาก็ไม่ทรมานตัวเองอีก เพียงนั่งลงบนพื้นเงียบๆ หวังว่าพื้นที่มิติจะเกิดช่องว่างปรากฏให้เห็น
แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ เวลานี้ซากโบราณสถานเป่าซานตกอยู่ในสภาพวุ่นวายไปแล้ว เพราะไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นคนเปิดเผยข่าวเรื่องสุสานใต้ดิน ผู้บำเพ็ญเพียรจำนานมากจึงมุ่งหน้ามาที่นี่
“เจ้าได้ยินไหม? มีคนค้นพบซากโบราณสถานของเซียน!”
“ซากโบราณสถานที่ไหนกัน? มันคือสุสานเซียนชัดๆ มีข่าวลือว่าข้างในมีวิธีที่จะช่วยให้กลายเป็นเซียนอยู่”
“กลายเป็นเซียน? จริงหรือ?”
“แล้วข้าจะโกหกเจ้าทำไม? เรื่องนี้ลูกชายของหลานของพี่สะใภ้ของพี่ชายคนรองข้าเป็นคนบอกเอ่ย จริงแท้ยิ่งกว่าทองคำ!”
ชั่วขณะหนึ่ง ทิศทางที่มุ่งสู่วังใต้ดินเต็มไปด้วยผู้คน กระทั่งหลายนิกายที่ได้ยินข่าวก็รีบมุ่งหน้ามาโดยเร็ว
บทที่ 116
เทียนหย๋าและคนอื่นๆกลายเป็นโง่งม เมื่อพวกเขาออกจากวังใต้ดิน ก็ค้นพบถึงความผิดปกติ ว่ามีหลายคนกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่
พวกเขาเพิ่งเข้าสำรวจวังใต้ดินแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น! ไอ้พวกที่ออกไปก่อนหน้านี้ปากไวไปไหม!
“เป็นพวกเจ้าคนไหน!”
เทียนหย๋าจ้องทุกคนด้วยความโกรธ ทวารทั้งเจ็ดราวกับมีควันพ่นออกมา
“นี่ .. ข้าก็ไม่ทราบเหมือนกัน”
ผู้อาวุโสหยินมีสีหน้าเศร้าหมอง เทียนหย๋าอยู่ในขอบเขตก่อเกิดจิต หากคิดฆ่าพวกเขา มันง่ายดั่งพลิกฝ่ามือ
“เป็นฝีมือของพวกเจ้าแน่ๆ! หลังจบเรื่องแล้ว ก็ล้างคอรอคิดบัญชีได้เลย ตอนนี้เข้าไปดูกันก่อนว่าสหายน้อยฉินเป็นยังไงบ้าง”
เทียนหย๋ารู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาขัดแย้งกันเอง ก้าวนำเข้าไปในวังใต้ดิน แต่ตอนนี้เขาเพิ่มความเร็วสูงสุด และไม่ได้สนใจคนข้างหลัง
ขณะที่คนอื่นๆก็ทราบดีว่าหากพวกเขาไม่รีบ กระทั่งน้ำแกงของเหลือก็อาจไม่มีโอกาสได้กิน
ดังนั้นจึงรีบกลับเข้าไปในวังใต้ดินอีกครั้ง
แต่เมื่อมาถึงหน้ากำแพงเมือง พวกเขาก็พบว่าฉินห่าวกับฮุ่นตุ้นหายไปแล้ว และไร้ซึ่งร่องรอยการต่อสู้ใดๆบนพื้น
“นี่มันยังไงกัน? เจ้าแน่ใจหรือว่าหมอกดำๆนั่นคือฮุ่นตุ้นจริงๆ?” ผู้อาวุโสหยินมีสีหน้าแปลกๆ หากศัตรูคือฮุ่นตุ้นจริง เกรงว่าด้วยพลังทำลายล้างของมันและฉินห่าว ที่นี่ไม่น่าจะเหลือสภาพเดิมอีกต่อไป
“ข้าก็ไม่เคยเห็นมันมาก่อน แล้วจะแน่ใจได้ยังไง” เทียนหย๋าเอ่ยอย่างหงุดหงิด เดินไปที่ประตูเมืองด้วยความประหม่าเล็กน้อย
“อะแฮ่ม เจ้าไปเปิดมันสิ”
หลังจากนั้นไม่นาน เทียนหย๋าก็ไอแห้ง และชี้ไปทางสาวกคนหนึ่งของสำนักเซี่ยเจี้ยน
“ข้าหรือ? ไม่ ไม่ ไม่ ข้าทำไม่ได้หรอก เดี๋ยวก็ตายกันพอดี!” ได้ยินแบบนั้น สาวกปฏิเสธทันที ให้เขาผลักประตู? ใครจะรู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน? หากมันอันตราย เขาไม่ตายเอาหรือ?
“เจ้าเลือกเอาว่าจะตายตอนนี้เลยหรือไม่เสี่ยงเอาดาบหน้า? รีบเปิดเร็ว!” เทียนหย๋าแค่นเสียงเย็น
“นี่ .. ก็ได้!”
สาวกคนนั้นไม่มีทางเลือก ตอนนี้หากอยากหนีก็คงไม่ทันแล้ว ได้แต่จำใจก้าวเข้าไป
มือข้างหนึ่งที่สั่นเทาค่อยๆกดลงบนประตูอย่างแผ่วเบา
เอี๊ยดดดด!
หวือ หวืออ หวือออ!
สาวกเดิมก็หวาดระแวงสุดๆอยู่แล้ว เขาตื่นตัวสุดขีด เมื่อได้ยินเสียง ประสาทสัมผัสก็ตึงทันที ยิ่งได้เห็นลูกธนูจำนวนมากที่แผ่ไปด้วยกลิ่นอายทรงพลังล้นหลาม ก็กรีดร้องและปิดประตูทันที
“นั่นเรียกว่าศรเจาะเกราะ มันถูกออกแบบมาเพื่อจัดการกับผู้บำเพ็ญเพียรโดยเฉพาะ และยิ่งยิงมาเยอะขนาดนี้ เกรงว่าต่อให้เป็นขอบเขตผันแปรสู่เซียนก็อาจตายได้”
ไม่ใช่แค่สาวกที่เปิดประตู แต่ทุกคนยังเห็นได้ชัด ผู้อาวุโสหยินเอ่ยเสียงหม่น
“งั้นตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไร?”
“ก็จะทำอะไรได้อีก พวกเราต้องรอก่อน ข้าไม่เชื่อว่าลูกธนูพวกนี้จะไม่มีวันหมด รอคนอื่นไปทดสอบมัน”
เทียนหย๋ายิ้ม แต่รอยยิ้มนี้ค่อนข้างเย็นชา จากนั้นก็เอ่ยขึ้น “ไม่รู้ว่าสหายน้อยฉินอยู่ที่ไหน แต่พวกเราไม่เห็นเขาข้างนอกเลย แสดงว่าอาจเข้าไปแล้ว?”
“ด้วยความสามารถของสหายน้อยฉิน ข้าคิดว่าเขาคงสามารถเข้าไปได้แล้ว” ผู้อาวุโสหยินคิดและกล่าวอย่างหมดหนทาง
“ว่าไงนะ?”
เทียนหย๋าอุทานแตกตื่น
“เจ้าดูของเหลวใต้กำแพงสิ มันยังสดใหม่และมีฤทธิ์กัดกร่อนสูง สหายน้อยฉินอาจรู้ว่าประตูใช้ไม่ได้เลยคิดลอยข้ามกำแพง อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างคอยป้องกันอยู่ แต่ด้วยพลังรบที่เขามี สิ่งที่ป้องกันอยู่จึงขวางเขาไว้ไม่ไหว”
แม้จะไม่เต็มใจยอมรับ แต่ผู้อาวุโสหยินก็ยังคงพูดความจริง
เทียนหย๋าก้มมองของเหลวบนพื้น เขาขมวดคิ้วลึก แบบนี้ไม่เท่ากับว่าพวกเขาถูกทิ้งหรอกเรอะ เช่นนั้นจะแบ่งสมบัติกันครึ่งต่อครึ่งได้ยังไง? ในเมื่อพวกเขาเข้าไปไม่ได้ด้วยซ้ำ?
แต่ ณ จุดนี้ ไม่มีวิธีไหนที่ดีกว่าเข้าทางประตู กำแพงไม่สมควรข้ามไปอย่างยิ่ง ดังนั้นได้แต่รอต่อไป
อีกด้านหนึ่ง ฉินห่าวก็กำลังรออยู่เช่นกัน เขากำลังรอให้ใครบางคนเข้ามาที่นี่ หลังจากวิเคราะห์ด้วยตัวเอง เขาสามารถยืนยันได้ว่ามิติทับซ้อนนี้อยู่เฉพาะในพื้นที่ห้องโถง กล่าวคือหากมีคนจากอีกฝั่งมาใกล้ๆ เขาสามารถสังเกตเห็นได้ทันทีและจะตะโกนขอความช่วยเหลือ
ฉินห่าวเชื่อสุดใจว่าคนเหล่านี้ไม่มีทางอดทนต่อแรงกระตุ้นต่อสมบัติอย่างแน่นอน