บทที่ 113

ฉินห่าวมองวัสดุสี่เหลี่ยมบนพื้น ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนโบกมือวูบ เก็บมันใส่เข้าไปในระบบ เจ้าสิ่งนี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เหมาะนำไปหลอมในนิกายในอนาคต

ณ จุดนี้ ลูกธนูไม่โจมตีอีกแล้ว เมื่อมองย้อนกลับไป ฉินห่าวพบลูกธนูกระจายเต็มพื้น จากการประเมินด้วยประสบการณ์ตรง ฉินห่าวเดาว่าต่อให้ขอบเขตรู้แจ้งขั้นสูงสุดโดนมัน แม้จะไม่ตาย แต่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส

“น่ากลัวจริงๆ”

ฉินห่าวถอนหายใจ มองหมอกดำบนไหล่ตัวเองอีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และมันต้องการอะไร แต่ที่แน่ๆอย่างน้อยมันก็ไม่สร้างความวุ่นวาย ไม่งั้นเขาคงถูกโจมตีไปตั้งนานแล้ว

ฉินห่าวผลักประตูห้องใหญ่เบื้องหน้า และพบว่านี่เป็นเพียงห้องโถงด้านข้างเท่านั้น ยังไม่เห็นห้องโถงหลักเลยว่าอยู่ที่ไหน

ครืน ครืนนน!

เพียงเปิดประตูเข้ามา ฝูงสัตว์ที่คล้ายกับค้างคาวก็สยายปีกบินออกมาเป็นกลุ่มใหญ่ แต่ครั้งนี้ฉินห่าวเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว เพราะเขามองออกแล้วว่าเจ้าของสุสานแห่งนี้ไม่ต้องการให้ผู้ใดเข้ามา

ดังนั้นทุกหนทางไปต่อที่สามารถเปิดออก ย่อมมีกับดักติดตั้งอยู่!

เจ้าตัวสะบัดค้อนอย่างบ้าคลั่ง ค้างคาวตัวแล้วตัวถูกบดเป็นเศษเนื้อ แต่ในตอนนั้นเอง

หงับ!

ฉินห่าวก้มลงมอง และพบว่าค้างคาวตัวหนึ่งกัดเขา บาดแผลบริเวณนั้นพุพองด้วยความเร็วที่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า และมันเริ่มลุกลามไปทั้งต้นขาอย่างรวดเร็ว

“เจ้าอย่ารีบหนีไปไหนซะล่ะ เดี๋ยวข้าจะกลับมาบดกระดูกเจ้าให้เหลือแต่ขี้เถ้า” ฉินห่าวกัดฟันด้วยความโกรธ แม้เขาจะเป็นผู้บุกรุก ซึ่งการพูดแบบนี้มันไม่สมเหตุสมผล แต่ถ้าให้เขามาตายแบบนี้

เขาไม่เต็มใจ!

ฆ่าตัวตาย!

คืนชีพ!

ฉินห่าวหันศีรษะกลับไปมอง และพบว่าหมอกสีดำลอยกลับมาเกาะบนไหล่ตัวเองอีกครั้ง เหมือนพลาสเตอร์หนังสุนัข ที่จะทำยังไงก็แกะไม่ออก

ค้างคาวประหลาดบินหามาเขาอีกครั้ง แต่คราวนี้ฉินห่าวมีเวลาสังเกต ดังนั้นไม่ทันถึงตัวมันก็ถูกค้อนศึกเหวี่ยงฟาดตาย

หลังจากมองไปรอบๆ ฉินห่าวค่อยสังเกตเห็นทางเดินสู่ห้องโถงหลักซึ่งปูทางซ้ายขวาไปด้วยศิลาแสงสี

เขาวาดมือปล่อยคลื่นพลังปราณ พริบตานั้นศิลาแสงสีก็สว่างขึ้นทันใด

แต่ก็ไม่มีอะไรอยู่รอบๆ

ฉินห่าวเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ เดินเข้าไปถึงห้องโถงที่กว้างขวางซึ่งดูปลอดภัยมากๆ เหมือนไม่มีกับดักใดๆ แตกต่างจากการป้องกันเข้มงวดภายนอกอย่างเห็นได้ชัด

แต่ฉินห่าวผู้รู้ซึ้งดีถึงความหวาดระแวงของเจ้าของสุสานกลับไม่คิดเช่นนั้น ตามปกติแล้ว สถานการณ์เช่นนี้มีเพียงความเป็นไปได้เดียวที่จะเกิดขึ้น นั่นคืออาจมีกับดักใหญ่รอคอยถูกกระตุ้นทำงาน!

หรือไม่งั้นที่นี่ก็เป็นวังปลอมสำหรับตบตาผู้รุกราน!

ฉินห่าวหรี่ตา เดินต่อไปเรื่อยๆ และจู่ๆเขาก็สังเกตเห็นข้อความบางอย่างเบื้องหน้า พอลองเดินเข้าไปใกล้ก็พบจิตรกรรมฝาผนังผืนเล็กๆมากมาย แต่พอลองเพ่งมองดีๆ จะพบว่าผืนเล็กๆเหล่านั้น เมื่อนำมารวมกันจะแบ่งออกได้เป็นสี่ภาพ

ภาพแรกคือด้านหลังของชายหนุ่มที่กำลังปีนเขา ภูเขาลูกนั้นปกคลุมไปด้วยหมอกเซียน มองแวบแรกก็ให้ความรู้สึกถึงบรรยากาศของเซียน

ภาพที่สองคือภาพชายหนุ่มนั่งขัดสมาธิในถ้ำ โดยข้างๆมีชายชราหลายคนที่สวมเสื้อคลุมกำลังยืนอยู่ บางคนยิ้ม บางคนมีสีหน้าโล่งใจ บางคนมีสีหน้าประหลาดใจ

ในภาพที่สาม ชายหนุ่มเติบโตรูปร่างสูงใหญ่แล้ว หนึ่งคนหนึ่งกระบี่ฟาดฟันสังหารปีศาจนับพัน โดยมีฉากประกอบคือทะเลเพลิง

ภาพที่สี่ ชายหนุ่มนั่งอยู่บนบัลลังก์สูง โดยเบื้องล่างเขามีคนบรรเลงดนตรีและเต้นรำอย่างสนุกสนาน

ฉินห่าวหันหัวไปมองพื้นที่ว่างข้างๆภาพที่สี่ซึ่งเป็นพื้นที่เหมือนกับเตรียมติดตั้งภาพจิตรกรรมฝาผนัง แต่เห็นได้ชัดว่ามันยังสร้างไม่เสร็จ

“ชายหนุ่มคนนี้สมควรเป็นเจ้าของสุสานใช่หรือไม่?”

ฉินห่าวจ้องภาพจิตรกรรมฝาผนังอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นก็ ตระหนักถึงบางอย่างที่แปลกประหลาด นั่นคือใบหน้าของชายหนุ่มผู้นี้พร่ามัวมาก ขณะที่ใบหน้าของคนอื่นๆนั้นชัดเจน

ก็ในเมื่อภาพจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้บันทึกเรื่องราวของชายหนุ่ม แล้วเหตุใดถึงมีเพียงใบหน้าเขาที่เลือนลาง นี่มันตรงกันข้ามสิ้นดี

แต่หลังจากคิดอยู่พักหนึ่งก็ไม่พบคำตอบ และฉินห่าวเป็นคนขี้เกียจคาดเดา เขาจึงส่ายหัวและไม่สนใจมันอีก เพียงเดินหน้าต่อไป

และจิตรกรรมภาพที่อยู่ถัดมาอีกช่วงหนึ่ง คือภาพของสัตว์ร้ายนับหมื่นตัว!

บทที่ 114

ไม่สิ นี่ไม่ใช่สัตว์ร้าย แต่มันคือปีศาจ! สัตว์ปีศาจที่มีระดับสูงกว่าไม่รู้ตั้งเท่าไหร่!

สัตว์ร้ายคืออะไรน่ะหรือ?

มันคือสัตว์ที่สามารถบำเพ็ญเพียรได้!

ปีศาจคืออะไรน่ะหรือ? ปีศาจคือสิ่งที่เกิดจากสรรพสิ่งที่มีจิตวิญญาณ ไม่ว่าจะพืชพรรณ ต้นไม้ ล้วนสามารถกลายเป็นปีศาจได้หากบรรลุการบำเพ็ญเพียรระดับสูง ขณะที่แนวคิดเรื่องปีศาจอย่างปีศาจสวรรค์ จิตปีศาจ มันค่อนข้างคลุมเครือ ดังนั้นสิ่งใดที่ผิดแผกจากธรรมะและมีที่มาในแง่ลบ จึงล้วนถูกกล่าวว่าเป็นปีศาจ

ฉินห่าวอยู่ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรมาหนึ่งปี นี่คือข้อสรุปคร่าวๆที่เขาได้คำตอบมา

พูดตามตรง เขาไม่ได้เห็นปีศาจมานานแล้ว หากจะกล่าวว่าเคยเห็น ก็แค่ครั้งเดียวเท่านั้นคือศาสดาของพวกเซี่ยถูที่มีลักษณะการฟื้นพลังคล้ายกับปีศาจมาก แต่โชคยังดีที่เขาเป็นมนุษย์

ที่กล่าวคลุมเครือเช่นนี้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ฉินห่าวก็ยังไม่เคยเผชิญหน้ากับศาสดาเซี่ยถูตรงๆเช่นกัน

ส่วนภาพจิตรกรรมบนฝาผนังนี้ มันแน่นขนัดไปด้วยปีศาจ พรรณนาถึงปีศาจนับหมื่นชนิด ซึ่งรูปลักษณ์ของพวกมันไม่ต้องเสียเวลาคาดเดา แค่ปากและเขี้ยว ตลอดจนหน้าตาที่เปื้อนไปด้วยเลือด ก็แตกต่างจากมนุษย์แล้วอย่างสิ้นเชิง

“อัศจรรย์จริงๆ! เกรงว่าภาพพวกนี้คงบันทึกเหตุการณ์ในอีกยุคหนึ่งเอาไว้” ฉินห่าวถอนหายใจ และทันใดนั้นเขาก็นึกถึงนิกายเฟิงเทียนในยุครุ่งโรจน์

แต่แล้วในตอนนั้นเอง ฉินห่าวก็เกิดอาการสับสนเล็กน้อย ในยุคก่อน ไม่ว่าจะพวกปีศาจหรือนิกายเฟิงเทียนก็ล้วนรุ่งเรือง แล้วเหตุใดพวกเขาถึงล่มสลาย?

สุดท้ายเหลือทิ้งไว้เพียงซากปรักหักพังในโลกยุคปัจจุบันนี้

“หือ?”

ฉินห่าวหยุดฝีเท้า เงยหน้าขึ้นมอง และพบประตูหินอยู่ข้างหน้าเขา เจ้าตัวปล่อยหมัดเข้าชกตรงๆ ประตูพังทลายทันที เขาโน้มตัวเข้าไปข้างใน และสิ่งที่เจอเบื้องหน้ามันทำให้เขาต้องตกตะลึง

เห็นเพียงอาวุธ สมบัติวิเศษและโอสถกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ทั้งห้องเต็มไปด้วยพวกมัน และมองปราดเดียว ก็พบว่าทั้งหมดล้วนอยู่เหนือระดับสี่ กระทั่งอาวุธก็ยังอยู่เหนือระดับเสวียนขั้นสูง

หรือก็คือมีอาวุธระดับตี้ ระดับเทียนตกอยู่ทั่วพื้น!

“เช็ดเด้! นี่ข้าถูกหวยอีกแล้วใช่ไหม?”

ฉินห่าวอุทาน รีบวิ่งเข้าไป เขาอ่ะไม่ต้องการของพวกนี้หรอก เพราะมันไม่มีประโยชน์กับตนเลย แต่เหล่าศิษย์น้องต้องการมัน!

ฉินห่าวรีบใช้งานแหวนมิติอย่างรวดเร็ว รวบหลายชิ้นเข้าไปในแหวนทีเดียวอย่างตื่นเต้น คิดถูกจริงๆที่เลือกเดินทางครั้งนี้ แล้วอีกอย่าง คนอื่นๆในกลุ่มก็หายหัวไปไหนแล้วไม่รู้

ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องแบ่งของแก่พวกเขา

หลังจากใช้เวลานานกว่าสองชั่วโมงเต็ม และตรวจสอบอย่างละเอียดจนแน่ใจว่าไม่พลาดชิ้นไหน ฉินห่าวก็ปาดเหงื่อบนหน้าผากด้วยความพึงพอใจ

“ฟู่ว!”

ฉินห่าวระบายลมหายใจ หันหลังอย่างไม่เต็มใจที่จะจากไป แต่ก็กัดฟันเดินออกมา เขาเดาไม่ออกจริงๆว่าเจ้าของสุสานนี้ร่ำรวยเพียงใด ถึงได้ทิ้งสิ่งของมากมายไว้ในตำหนักข้างหลัง

เอ๊ะ? แต่จะพูดแบบนั้นมันก็ไม่ถูก เพราะสิ่งของเหล่านี้ ในยุคนั้นอาจเป็นแค่ขยะก็ได้ถึงได้ทิ้งๆขว้างๆอย่างไม่ใยดี

ถ้าอย่างนั้นไม่ได้หมายความว่าข้าเป็นคนเก็บขยะหรอกหรือ?

เมื่อคิดได้แบบนี้ รอยยิ้มของฉินห่าวค่อยๆหายไป

“หือ?”

แต่ทันใดนั้นเอง ฉินห่าวก็อุทานออกมา สองคิ้วเขาขมวดเข้าหากัน มองประตูหินตรงหน้าที่เพิ่งพังทลายลงสดๆร้อนๆ บ่งบอกชัดว่าเส้นทางนี้ไม่ใช่ทางใหม่ แต่เป็นทางเดินที่เขาเพิ่งผ่านมา

และนี่ชักนำมาสู่คำถามหนึ่ง

เหตุใดเขาถึงวนกลับมาที่เดิมทั้งๆที่เดินเป็นเส้นตรง?

เมื่อมองย้อนกลับไป ฉินห่าวก็ยังพบทางเดินที่คุ้นเคย ยังคงมีภาพจิตรกรรมฝาผนังติดอยู่

“หรือนี่คือผีลักซ่อน?”

มันคือสิ่งเดียวที่ฉินห่าวคิดได้ เขาเดินหน้ามาตลอด และตอนออกมาจากห้องโถงด้านหลัง ไม่มีทางโง่พอเดินกลับทางเดิมแน่ๆ

เขามองไปรอบๆอย่างระมัดระวัง แต่ก็ไม่พบเห็นผี ตัวฉินห่าวเองก็เชื่อว่าผีลักซ่อนตนนี้ต้องไม่ธรรมดา เพราะตนเป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรขอบเขตก่อเกิดจิต ผีธรรมดาย่อมหลีกเลี่ยงเมื่อพบเห็นเขา ยิ่งเข้าใกล้โดยที่ไม่รู้ตัวยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง

ฉินห่าวจึงเดินต่อไป คราวนี้เขาสังเกตอย่างละเอียด แต่หนึ่งนาทีต่อมา เขาก็พบประตูหินที่คุ้นเคยอีกครั้ง

“ไม่มีร่องรอยของพลังปราณ ไม่มีร่องรอยของกลไกใดๆ เสียงซักนิดยังไม่มี แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้?”

ฉินห่าวหย่อนก้นนั่งลง มองทางเดินด้วยสีหน้าโง่งม หน้าผากเขาเริ่มมีเหงื่อซึม มิน่าเล่าประตูหินนั่นถึงพังทลายลงง่ายๆในหมัดเดียว

ที่แท้เมื่อเข้ามามันก็ทำให้เขาต้องวนอยู่ที่เดิม!

แต่นี่ไม่ถูกต้อง! เขามีร่างเป็นอมตะและมีภูมิคุ้มกันต่อค่ายกลหรือผนึกทุกรูปแบบ แล้วตนจะถูกขังข้างในนี้ได้อย่างไร?