บทที่ 111
อันที่จริงคำว่า ‘สวัสดี’ ของฉินห่าวเป็นเพียงการหยั่งเชิงเท่านั้น นี่ก็เพราะสัตว์ร้ายจากโบราณน่ะลึกลับเกินไป หากคิดสู้อย่างน้อยต้องทดสอบมันก่อน
กระนั้น ฉินห่าวก็ต้องพบกับความผิดหวัง ฮุ่นตุ้นยังคงนิ่งและไม่ตอบสนองใดๆ
“สหายน้อย ข้าคิดว่าเจ้าควรเดินเข้าไปใกล้อีกหน่อย ไม่งั้นก็ลองไปเปิดประตูดู”
เทียนหย๋าอดใจไม่ไหว เอ่ยปากตะโกน
อันที่จริง นี่ก็ตรงกับความคิดของฉินห่าว หากฮุ่นตุ้นไม่เคลื่อนไหวใดๆก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะยังไงซะมันก็ดีกว่าบาดเจ็บ แล้วต้องมาเสียเวลาสู้
ฉินห่าวพยักหน้า เขาเข้าไปใกล้มันช้าๆ จ้องหมอกดำด้วยสองตา จนกระทั่งเดินผ่านมันไปก็ยังไม่เกิดอะไร
ทุกคนถอนหายใจโล่งอก แบบนี้ดูท่าว่ามันจะตายไปแล้ว แต่นี่ช่วยไม่ได้ เพราะไม่มีใครเคยเจอมันมาก่อน ฮุ่นตุ้นเพียงถูกกล่าวถึงแค่ในตำรา ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าสภาพมันตอนยังเป็นๆหรือตาย นั้นเป็นอย่างไร
“พวกเจ้านี่ก็นะ ก็แค่สัตว์ร้ายที่ตายแล้วตัวเดียว นึกไม่ถึงว่ามันจะทำให้กลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้แบบนี้”
ฉินห่าวหันกลับมาหัวเราะ
“เอ่อ … ”
ใบหน้าของเทียนหย๋าเริ่มแดงเล็กน้อยด้วยความอับอาย แต่แล้วดวงตาของเขาพลันเบิกกว้าง อ้าปากค้าง ทั้งเนื้อตัวสั่นเทาราวกับเป็นลมบ้าหมู ค่อยๆยกมือชี้ไปข้างหน้า
คนอื่นก็มีสีหน้าท่าทีไม่ต่างกัน ราวกับว่าพวกเขาได้เห็นสิ่งที่น่าสยองขวัญพร้อมๆกัน
หัวใจฉินห่าวเต้นครึกโครม หันศีรษะไปอย่างแข็งทื่อ เห็นเพียงอุ้งเท้า ไม่สิ มันไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นอุ้งเท้า สมควรกล่าวว่าเป็นหมอกดำที่ให้ความรู้สึกเหมือนอุ้งเท้ามากกว่าวางลงบนไหล่เขาอย่างแผ่วเบา
ซึ่งตอนนี้ฉินห่าวอยู่ใกล้แค่เอื้อมกับหมอกดำ
สีหน้าของฉินห่าวเปลี่ยนเป็นขาวซีดในคราเดียว การถูกกระทำแบบนี้ และผู้ที่ทำมันไม่ใช่มนุษย์ แต่ไม่มีตัวตนเหมือนผี จึงเป็นอะไรที่น่ากลัวมาก
“วิ่ง!”
ตอนนี้ไม่รู้ว่าใครตะโกน แต่ฉินห่าวไม่ได้ยินมัน สมาธิเขาตอนนี้อยู่ที่ดวงตา เขาสามารถมองเห็นได้ว่าหมอกดำเกิดความผันผวนรุนแรงได้อย่างชัดเจน
ลงมือก่อนได้เปรียบ! ใครช้ากว่าคนนั้นประสบหายนะ! ฉินห่าวเรียกค้อนศึกออกมาทันที และเหวี่ยงใส่มันด้วยความเร็วประหนึ่งสายฟ้า
อย่างไรก็ตาม ค้อนศึกเคลื่อนผ่านหมอกดำไปอย่างเงียบๆราวกับไม่มีสิ่งใดกีดขวาง ไม่ต่างจากการที่มันเหวี่ยงผ่านอากาศ
ใบหน้าเขาเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด
หากบอกว่าการโจมตีทางกายภาพนั้นไร้ประโยชน์ก็อาจจะได้ แต่ค้อนของเขาบรรจุไปด้วยพลังปราณข้างใน ดังนั้นสามารถโจมตีพวกผีหรือสมบัติวิเศษได้ กระนั้น สถานการณ์ตอนนี้มันอะไรกัน?
“เฮ้ พวกเจ้ามีใครรู้วิธีสู้กับมันบ้าง?” ฉินห่าวหันกลับไปขอความช่วยเหลือ แต่กลับพบว่าในระยะไกล ไม่มีหมาซักตัวยืนอยู่แล้ว
“เช็ดเด้!”
“ไอ้พวกทรยศทิ้งเพื่อน!”
ฉินห่าวสาปแช่งด่าทอด้วยความโกรธ เขาหันศีรษะมามองหมอกดำ เกิดอาการปวดหัว หากการโจมตีทั้งทางกายภาพและพลังปราณนั้นไม่ได้ผล แล้วจะสู้มันได้ยังไง? ไม่มีทางสู้ได้เลย!
“งั้นเจ้าก็ฆ่าข้าซะสิ”
เมื่อไร้หนทาง ฉินห่าวมองอีกฝ่ายที่ไม่ลงมือกระทำใดๆแล้วเอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง
แต่น่าเสียดายที่หมอกดำยังคงไม่เคลื่อนไหว สุดท้ายฉินห่าวหมดความอดทน ยังไงเขาก็อมตะอยู่แล้ว และหมอกดำก็แค่เกาะบนไหล่แต่ไม่ได้ทำอะไร ดังนั้นจึงเดินไปที่ประตูเมือง
หมอกดำลอยตามทุกการเคลื่อนไหวของฉินห่าว ตัวมันไร้น้ำหนักใดๆ แม้อยู่ติดตัวฉินห่าวก็รู้สึกเหมือนมันไม่มีอยู่จริง
ฉินห่าวยืนอยู่หน้าประตูเมือง เขาผลักมันเบาๆ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเก่าเกินไปหรือเพราะเขาใช้พลังบำเพ็ญเพียร มันจึงเปิดออกอย่างง่ายดาย
หวือ หวือออ!
แต่ทันทีที่ประตูอ้าออก เสียงของลูกธนูที่พุ่งแหวกอากาศก็ดังขึ้น
ฉินห่าวตกใจมาก รีบเพ่งตามอง และภาพที่เห็นทำให้หนังศีรษะเขาต้องเสียวซ่าน เห็นเพียงลูกธนูจำนวนมากพุ่งเข้ามา และมันไม่ใช่ลูกธนูธรรมดา แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมา ฉินห่าวสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเพียงดอกเดียวก็เกินพอที่จะสังหารผู้บำเพ็ญเพียรขอบเขตก่อเกิดจิต หรือกระทั่งขอบเขตรู้แจ้ง!
ดังนั้น เขาไม่ลังเลเลยที่จะปิดประตูข้างหน้าตัวเอง
กึ้ง กึ้ง กึ้ง!
แม้ประตูเมืองจะหนามาก แต่ก็ยังได้ยินเสียงปะทะดังสะท้อนออมกาข้างนอก
“เช็ดเด้ เป็นการเริ่มต้นที่ลำบากลำบนจริงๆ”
ฉินห่าวถอนหายใจและหยุดชั่วคราว เขารอจนไม่มีเสียงข้างใน จากนั้นจึงเปิดประตูอีกครั้ง
หวือ หวือ หวือออ!
ฉินห่าว “ … ”
ลูกธนูนับไม่ถ้วนยังคงพุ่งสวนเข้ามา เขาปิดประตูเมืองลงอีกครั้งอย่างใจเย็น และเริ่มคิดไตร่ตรอง
ประตูเมืองนี้มีกลไกหรือไม่? ตราบใดที่ประตูเมืองเปิด กับดักก็จะทำงาน มิน่าเล่ามันถึงเปิดได้ง่ายนัก
บทที่ 112
ฉินห่าวฟังเสียงลูกธนูกระแทกประตูข้างใน คิดว่ายังไงก็ไม่มีวันจบสิ้นแน่ๆจึงแหงนมองขึ้นไปบนกำแพงเมือง
กำแพงเมืองนี้สูงเทียบเท่ามนุษย์หลายคนยืนต่อตัวกัน แต่สำหรับผู้บำเพ็ญเพียร การขึ้นไปข้างบนน่ะง่ายมาก ก็ในเมื่อประตูเข้าไม่ได้ งั้นเข้าทางกำแพงเมืองซะก็จบเรื่อง
ไม่รอช้า ฉินห่าวถีบตัวกระโดดขึ้นไป แต่เมื่อลอยตัวสูงขึ้นเหนือกำแพง ภาพตรงหน้าที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมมันกลับทำให้เขารู้สึกเหมือนไกลแสนไกล
“เช็ดเด้!”
เขามองไปเหนือกำแพงเมืองแล้วถึงกับร้องตกใจ
เพราะความกว้างของกำแพงเมืองนี้ มันมีพื้นที่มากพอให้รถยนต์ 5 – 6 คัน ขับเรียงกันได้เลย แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะที่สำคัญคือมีแมลงตัวยาวๆจำนวนมากเลื้อยอยู่เหนือกำแพงเมือง รูปลักษณ์ของพวกมันเหมือนกับตะขาบในชาติที่แล้ว
ในขณะนี้ หัวของพวกมันเงยสูงขึ้น จับจ้องฉินห่าวในอากาศอย่างพร้อมเพรียง อ้าปากกว้างคล้ายรอให้เขาตกลงมา
“พวกเจ้าคิดหรือว่าข้าจะโง่ลงไป … ”
ฉินห่าวเย้ยหยัน เขาตั้งท่าเตรียมจะบินพุ่งข้ามไป แต่ในตอนนั้นเอง แมลงตัวยาวที่กำลังอ้าปากก็พ่นของเหลวสีแดงออกมา และพุ่งตรงหาฉินห่าว
กลิ่นเน่าเหม็นอบอวลไปทั่วบริเวณในทันที
ฉินห่าวตกใจ แต่ของเหลวสีแดงนี้ไวมาก มันลอยมาถึงข้างหน้าแทบจะในพริบตา และสายเกินกว่าจะหลบเลี่ยง ได้แต่เร่งโคจรพลังปราณ สร้างม่านพลังห่อหุ้มกายเนื้อ
ฟุ่มมม!
ทันทีที่ของเหลวสีแดงตกลงบนม่านพลังปราณ ม่านพลังก็ละลายราวกับน้ำแข็งถูกราดด้วยน้ำร้อน สลายเป็นไอในพริบตา
“ร้ายกาจ! ไอ้สีแดงๆนี่มันอะไรกัน” ฉินห่าวก้มมองร่างตัวเองซึ่งเต็มไปด้วยเลือด และถอนหายใจ
ห้ามลืมนะว่าร่างกายเขากระทั่งขอบเขตรู้แจ้งก็ยังทำลายไม่ได้ แต่ตอนนี้เพียงถูกพิษของสัตว์ร้ายไร้ที่มาตัวหนึ่งพ่นใส่ มันกลับสามารถเจาะผ่านเข้ามาในตัว นี่ไม่ได้หมายความว่าสัตว์ร้ายทุกตัวข้างล่างนั่น มันมีพลังทำลายที่เหนือกว่าระดับรู้แจ้งหรอกหรือ?
“และนี่แค่ทางเข้าประตูนะ!”
ฉินห่าวไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ข้างนอกประตูมีฮุ่นตุ้นรักษาการณ์ และข้างในประตูมีลูกธนูที่หากไม่ระวัง พลาดท่าโดนยิงดอกเดียวอาจถึงตาย แถมบนกำแพงเมืองยังเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย
ทุกอย่างได้รับการป้องกันอย่างแน่นหนา เช่นนั้นผู้ใดกันแน่ที่ถูกฝังอยู่ข้างใน?
ฉินห่าวเร่อนลงมาหน้าประตูใหญ่ ฆ่าตัวตาย เพื่อตั้งหลักใหม่
เขาลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ครุ่นคิดพักหนึ่ง สุดท้ายตัดสินใจเดินผ่านทางเข้าหลัก ยังไงซะทางนี้น่าจะตายยากสุด ขืนเลือกทางกำแพงเมือง ตายด้วยพิษน่ะไม่เท่าไหร่ แต่พอลุกขึ้นใหม่ก็ถูกอาบด้วยพิษอีก เกรงว่ากว่าจะสลัดหลุดคงยาก
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ที่น่ากลัวไม่ใช่ความตาย แต่เป็นอาการขยะแขยงพวกแมลง!
เมื่อได้ข้อสรุปแบบนี้ ฉินห่าวก็เปิดประตูเมือง เขาถือค้อนและสาวเท้าเข้าไปอย่างไม่ลังเล
ลูกธนูจำนวนมากประทังเข้ามา
“เอ๊ะ? งั้นถ้าข้าปิดประตูเมืองหลังจากเข้ามาแล้ว พวกมันจะหยุดยิงไหมนะ?”
จู่ๆฉินห่าวก็นึกบางอย่างขึ้นได้ เขาปิดประตูเมืองและเพ่งมอง แต่น่าสียดาย ที่ลูกธนูยังคงถาโถมลงมาราวกับไม่มีความตั้งใจว่าจะหยุด
“ถ้าตัวปิดกลไกไม่ใช่ประตู งั้นมันคืออะไร? แรงเหนี่ยวนำ? ตัวจับสัมผัสการเคลื่อนไหว?” ฉินห่าวสับสนเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีเวลาคิดมาก กำค้อนเหวี่ยงเข้าต่อต้าน
ติ๊ง!
ลูกธนูดอกแรกที่พุ่งมาถูกค้อนเหวี่ยงกระเด็น ขณะเดียวกันฉินห่าวถอยครูดไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว อุทานว่า “ทรงพลังมาก!”
“เก้ามังกรทะยานขั้นเก้า!”
บรึ้ม!
แรงกดดันของฉินห่าวปะทุขึ้น นี่ถึงค่อยทำให้เขาผ่อนคลายลงได้เล็กน้อย เพราะเวลาเอาค้อนฟาดลุกธนูก็ไม่ต้องถูกแรงผลักถอยหลังแล้ว ถ้ายังเป็นแบบนั้นเขาคงก้าวไปข้างหน้าไม่ได้
ฟัฟฟฟฟ!
ลูกธนูดอกหนึ่งเจาะทะลุไหล่เขา ฉินห่าวเอื้อมมือไปคว้าและกระชากมันอย่างแรง เศษเนื้อละอองเลือดปลิวว่อน ยังไงซะ ที่เขาใช้อยู่คือค้อนไม่ใช่โล่ ดังนั้นไม่ได้ป้องกันรัดกุมขนาดนั้น
“หือ? ตรงนั้นมัน … ”
ฉินห่าวมองไปทางซ้ายทีขวาที ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นพระราชวังตั้งอยู่ข้างหน้า เจ้าตัวมีความสุขมาก เพ่งมองวิถีลูกธนูที่ตรงเข้ามาแล้วรีบวิ่งไป
อย่างไรก็ตาม เพียงเดินมาถึงหน้าประตูวัง ฉินห่าวรู้สึกว่าเหนือหัวเขาพลันมืดลง เขาเงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณ และพบว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่มีมวลหนาและสีดำสนิทกดทับลงมา
“ฮุ่นตุ้น? ไม่ใช่!”
ฉินห่าวตกตะลึง ยกมือขึ้นหมายปัดมันออกไป
ตูม!
แต่แล้วกลับเป็นร่างเขาซะเองที่หายไป
สิบวินาทีต่อมา ฉินห่าวฟื้นคืนชีพในบริเวณใกล้เคียง เบนสายตามองตำแหน่งที่ตัวเองตาย และพบว่าสิ่งที่ทับเขานั้นเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส เมื่อสัมผัสมันแล้ว ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นวัสดุสำหรับใช้หลอมอาวุธ ทั้งใหญ่และหนัก แต่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร
แต่เนื่องจากมันเป็นวัสดุหลอมอาวุธ จึงไม่แปลกที่สามารถทำร้ายเขาได้