GOS ตอนที่ 56 – ฝึกฝนฮาคิ

 

ณ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แมรี่ จัวส์

 

ที่นี่คือที่ๆเผ่ามังกรฟ้าอาศัยอยู่และยังเป็นที่ตั้งของรัฐบาลโลกอีกด้วย

 

ภายในห้องโถงที่ดูหรูหราและสวยงาม ได้มีคนยืนอยู่ 5คน พวกเขาคือผู้คุมกฏของโลก หรือที่เรียกกันว่า ‘โกโรไซ’*

 

*(โกโรไซ เป็นหนึ่งในสามขั้วอำนาจใหญ่ของโลก พวกเขานั้นมีหน้าที่สำคัญก็คือ ทำทุกวิถีทางเพื่อให้โลกใบนี้อยู่อย่างสงบสุข แม้ว่าบ่อยครั้งสิ่งที่พวกเขาทำจะเป็นสิ่งที่ไร้มนุษยธรรม ตัวอย่างเช่น การลบ ‘โอฮาร่า’ ออกจากแผนที่โลกเพราะไม่ต้องการให้มีการค้นคว้า ช่วง ‘ประวัติศาสตร์ที่หายไป’ )

 

“ดองกี้โฮเต้ … โดฟลามิงโก้ ..”

 

“เขาพยายามที่จะสร้างเครือข่ายธุรกิจใต้ดินในเซาท์บลู เราไม่รู้เลยว่าธุรกิจมืดของเขาแพร่ขยายไปถึงไหนแล้ว เพราะพวกเราพึ่งสืบเจอได้เพียงเกาะเดียวเท่านั้น ดูเหมือนว่ามันนี่จะไม่ใช่เพียงเรื่องธรรมดาๆซะแล้ว”

 

แม้แต่เหล่า 5 ผู้คุมกฏ ก็ยังต้องปวดหัวเมื่อคิดเกี่ยวกับวิธีจัดการโดฟลามิงโก้

 

ความร้ายกาจของโดฟลามิงโก้ ในมุมมองของ 5 ผู้คุมกฏนั้น ไม่ได้น้อยไปกว่าพวก 4 จักรพรรดิเลย เพราะโดฟลามิงโก้เคยเป็นหนึ่งในเผ่ามังกรฟ้า ถึงแม้เขาจะถูกขับไล่ไปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีหลายสิ่งที่ยังคงเกี่ยวข้องกันอยู่

 

“สถานการณ์ในนิวเวิร์ลเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ ขุมกำลังมากมายเริ่มที่จะก่อตั้งกองกำลังของพวกเขา และยากที่จะสั่นคลอน ตัวอย่างเช่นพวก 4 จักรพรรดิ”

 

“หนวดขาวเอ็ดเวิร์ด นิวเกต ร้อยอสูรไคโด แชงคูสผมแดง ชาลอตเต้บิ๊กมัม … หลายคนเรียกพวกมันว่า 4 จักรพรรดิจนตอนนี้คำกล่าวนั้นได้กลายเป็นเรื่องจริงแล้ว”

 

1 ใน 5 ผู้คุมกฏได้กล่าวขึ้น

 

ราชาโจรสลัดโรเจอร์ ได้สร้างยุคสมัยของเหล่าโจรสลัดขึ้น จากนั้นมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก — หนวดขาวก็สานต่อ ดังนั้นจึงเป็นการยากที่รัฐบาลโลกจะกำจัดพวกเขา

 

“เมื่อกองกำลังของ 4 จักรพรรดิก่อตั้งจนเป็นรูปเป็นร่างได้เมื่อไหร่ ฉันเกรงว่าขุมกำลังของกองทัพเรือเพียงอย่างเดียวคงไม่อาจควบคุมสถานการณ์ได้”

 

“กองทัพเรือดูเหมือนจะเสื่อมโทรมลงทุกปี ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาหลังจากที่ โบร์ซาริโน่ ซาคาซุกิ และคุซันขึ้นมาเป็นพลเรือเอก ก็ไม่มีใครทหารเรือคนไหนที่โดดเด่นเกิดขึ้นอีกเลยในกองทัพเรือ”

 

“อันที่จริงฉันก็ไม่รู้ว่าคุณภาพของทหารเรือฝึกหัดที่เข้ามาใหม่นั้นลดลง หรือว่าฝีมือในการปั้นลูกศิษย์ของเซเฟอร์จะเสื่อมลงกันแน่”

 

เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ผู้คุมกฏทั้ง 5 ต่างก็ส่ายหัวออกมา

 

อาคิอินุ อาโอคิยิ และคิซารุ ทั้งสามต่างเติบโตอย่างก้าวกระโดด จนได้ขึ้นเป็นพลเรือเอก แต่หลังจากนั้นหลายปีทหารเรือฝึกหัดที่เข้ามาใหม่ก็ไม่มีใครมีความสามารถพอที่จะเปรียบเทียบกับพวกเขาทั้งสามคนได้อีกเลย

 

“ทุกวันนี้เกิดกับกองทัพเรือกันแน่? บางทีคงจะต้องส่งคนไปตรวจสอบซะแล้ว”

 

“ให้พวกหน่วย CP รับงานนี้ดีไหม?”

 

1 ใน 5 ผู้คุมกฏที่นั่งอยู่บนโซฟาได้กล่าวขึ้นพร้อมกับยกชาขึ้นมาจิบ

 

“หน่วยCPนั้นมีแต่คนที่เก่งกาจ ถ้าอย่างก็ส่ง ‘เด็กใหม่’ ของหน่วย CP ไปก็แล้วกัน บางทีการให้พวกเขาต่อสู้กันอาจจะเป็นประสบการณ์ที่ดีก็ได้”

 

หน่วย CP นั้นไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของกองทัพเรือ แต่เป็นหน่วยที่อยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาลโลกโดยตรง

 

“ก็ดีเหมือนกัน แต่การส่งหน่วย CP ไปครั้งนี้ ต้องไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ ติดต่อเซเฟอร์และให้เขาจัดการดำเนินการทุกอย่างซะ”

 

อีก 4คนพยักหน้าเห็นด้วย

 

สำหรับพวกเขาเรื่องพวกนี้เป็นเพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆเท่านั้น แต่หากมีทหารเรือที่มีพรสวรรค์เทียบเท่ากับสามพลเรือเอกปรากฏตัวขึ้นนั่นถึงจะค่อยน่าสนใจขึ้นมาหน่อย

 

สิ่งที่พวกเขาสนใจจริงๆก็คือการพัฒนากองทัพเรือให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้นเพื่อที่จะคอยถ่วงสมดุลอนาคตของโลก

 

 

ณ ศูนย์ใหญ่มารีนฟอร์ด

 

ภายในสนามฝึกซ้อมที่แยกออกมา เซเฟอร์กำลังสอนโรจาเกี่ยวกับวิธีฝึกฝนฮาคิ

 

ฮาคิเกราะ เกี่ยวพันธ์กับความแข็งแกร่งของร่างกาย

 

ยิ่งร่างกายแข็งแกร่ง ฮาคิเกราะก็จะแข็งแกร่งตามไปด้วย และแน่นอนว่าในทางตรงกันข้าม หากร่างกายอ่อนแอ ฮาคิเกราะก็จะอ่อนแอด้วยเช่นกัน

 

เช่นเดียวกับเกาะผู้หญิง ‘อเมซอนลิลลี่’ ทหารสาวๆบนเกาะเกือบทุกคนสามารถใช้ฮาคิได้ แต่ความแข็งแกร่งของร่างกายพวกเธอนั้นค่อนข้างอ่อนแอ ทำให้ฮาคิเกราะของพวกเธออ่อนแอตามไปด้วย

 

การฝึกฮาคินั้นต้องใช้เวลา มิใช่สิ่งที่ฝึกฝนแล้วจะสามารถเรียนรู้ได้ในชั่วข้ามคืน

 

การฝึกฝนฮาคิในยามที่ความแข็งแกร่งร่างกายยังไม่พร้อม ก็เท่ากับเสียเวลาเปล่า เหมือนดั่งการวางรถลากไว้เบื้องหน้าม้า

 

ศักยภาพร่างกายมนุษย์นั้นเกือบจะไร้ขีดจำกัด ตามทฤษฏีแล้วมันสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้เรื่อยๆ

 

อย่างไรก็ตาม ยิ่งร่างกายแข็งแกร่งขึ้นมากเท่าไหร่ การที่จะทะลวงคอขวดให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นในอีกระดับนึงเป็นเรื่องยาก และยากขึ้นเรื่อยๆ

 

ดังนั้นเมื่อร่างกายแข็งแกรงได้ระดับนึงแล้ว ก็ควรจะเอาเวลาที่จะไปฝึกฝนร่างกาย มาฝึกฝนฮาคิเสียจะดีกว่า

 

ถ้าหากคนอื่นๆมีร่างกายที่แข็งแกร่งเหมือนกับโรจาแบบในตอนนี้ พวกเขาก็จะหันมาฝึกฮาคิเช่นกัน

 

แต่สำหรับเซเฟอร์แล้ว เขาคิดว่าการฝึกฮาคิด้วยพละกำลังร่างกายเพียงเท่านี้ของโรจา ก็ยังถือว่าเร็วเกินไป

 

แต่โรจานั้นแตกต่างจากคนอื่นๆ

 

ไม่กี่เดือนก่อนเขายังเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มที่อ่อนแออยู่เลย แต่หลังจากที่ฝึกนรกทุกวันราวกับคนบ้า ทำให้เขาสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว จนเป็นอย่างในทุกวันนี้ ถึงแม้การฝึกฝนฮาคิด้วยพละกำลังร่างกายเพียงเท่านี้จะยังเร็วเกินไป แต่นั่นมันก็เป็นบรรทัดฐานสำหรับคนธรรมดาเท่านั้น — มันใช้ไม่ได้กับโรจา!

 

“ความแข็งแกร่งของฮาคิเกราะนั้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน แต่การควบคุมมันต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญ”

 

เซเฟอร์ได้ให้คำแนะนำแก่โรจา ในการฝึกฝนฮาคิ เขาอธิบายอย่างละเอียดและเริ่มยกตัวอย่างง่ายๆให้โรจาฟังด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน

 

“การฝึกฝนฮาคิเกราะนั้นจะช่วยให้สามารถโจมตีได้รุนแรงขึ้น นั้นเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น”

 

“ถ้ามีใครสามารถทำให้ฮาคิเกราะไม่กระจายตัวไปรอบๆ แต่บีบอัดพวกมันลงในอาวุธหรือว่ากำปั้นในจุดๆเดียวได้ บริเวณที่บีบอัดฮาคิเกราะลงไปนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีดำราวกับหมึก ที่เรียกกันว่า ‘โคกะ’ ”

 

“และถ้าหากเราสามารถใช้โคกะได้ทั่วทั้งร่างกาย จะถือเป็นความเชี่ยวชาญขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง!”

 

“แน่นอนว่าพื้นฐานที่สุดคือความแข็งแกร่งของฮาคิเกราะ ไม่ว่าเราจะควบคุมมันได้สมบูรณ์แบบสักแค่ไหน แต่หากฮาคิเกราะยังมีความแข็งแกร่งไม่เพียงพอ มันก็ยังถือว่าไม่สมบูรณ์แบบ”

 

เซเฟอร์กล่าวไปเรื่อยๆราวกับน้ำในลำธารที่ไหลไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนโรจาก็พยักหน้าตอบรับบ้างเป็นบางเวลา

 

หลายสิ่งที่เซเฟอร์สอนนั้นโรจาพอจะรู้เกี่ยวกับมันมาก่อนแล้ว แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาเข้าใจได้ถูกต้องหรือเปล่า แต่เมื่อได้ยินคำสอนของเซเฟอร์ โรจาก็รู้ได้ทันทีว่าส่วนใหญ่นั้นเขาคิดถูก

 

การใช้โคกะทั่วทั้งร่างกายนั้น ไม่ได้ช่วยเพิ่ม‘ปริมาณ’ฮาคิที่อยู่ในร่างกายแต่เป็นแค่การ ‘ควบคุม’มัน

 

ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าฮาคิเกราะทั้งร่างกายของโรจามีปริมาณอยู่ 10 ส่วน ไม่ว่าเขาจะใช้โคกะให้กระจายไปทั้งตัว หรือรวมตัวกันอยู่ในจุดๆหนึ่ง มันก็จะมีปริมาณเพียงแค่ 10 ส่วนเท่านั้น

 

ดังนั้นปริมาณของฮาคิเกราะในร่างกายจึงเป็นพื้นฐานที่สำคัญ

 

ตัวอย่างเช่น หากโรจามีปริมาณฮาคิเกราะอยู่ 20 ส่วน เขาก็จะสามารถฟันทะลวงฮาคิเกราะของอีกคนหนึ่งที่มีปริมาณฮาคิเกราะอยู่เพียง 10 ส่วนได้

 

เซเฟอร์จ้องมองไปยังโรจาที่ยังคงมีท่าทีสบายๆอยู่ ก่อนที่จะหยุดไปสักพักแล้วกล่าวต่อว่า

 

“แน่นอนว่าแค่สามารถใช้โคกะได้ทั่วทั้งร่างกายก็นับว่ามีประโยชน์มากแล้ว แต่การเพิ่มปริมาณฮาคิเกราะในร่างกายก็มีความสำคัญเช่นกัน … แต่ในตอนนี้ฉันจะสอนให้เธอฝึกเพียงการควบคุมโคกะให้ไปอยู่ในจุดใดจุดหนึ่งก่อน”

 

เซเฟอร์ได้พูดในสิ่งที่โรจาคาดคิดไว้ก่อนแล้ว

 

โรจานั้นคิดไว้ก่อนแล้วว่าเขาจะฝึกฝนแบบนี้ เพราะถ้าเขาไม่เลือกเสริมฮาคิเกราะเข้าไปในดาบ แต่ใช้ฮาคิเกราะเพื่อเสริมป้องกันแทน นั่นก็เท่ากับว่าเขาได้ละทิ้งแล้วซึ่งเส้นทางแห่งดาบ

 

ไม่ว่าหน้าไหน เมื่ออยู่ต่อหน้าโรจา พวกมันทั้งหมดจะต้องถูกสะบั้นด้วยคมดาบของเขา!

 

นี่คือสไตล์การต่อสู้ของโรจา! — นี่คือเส้นทางแห่งดาบที่เขาเลือก!

 

หลังจากที่เห็นโรจาพยักหน้า เซเฟอร์ก็ยิ้มออกมาก่อนที่จะกล่าวต่อว่า

 

“ถ้าอย่างนั้น … จากนี้ไปก็เริ่มฝึกฝนฮาคิอย่างเป็นทางการได้!”