GOS ตอนที่ 142 – สังเกตุการณ์

 

การต่อสู้ระหว่างร้อยอสูรไคโดกับหนวดขาวกินระยะเวลายาวนานกว่าสามวันสามคืน และในที่สุดก็จบลงที่ความพ่ายแพ้ของไคโด

 

แน่นอนว่า

 

ร้อยอสูรไคโดก็ยังรักษาสมญานาม ‘อมตะ’ เอาไว้ได้เป็นอย่างดี แม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้แก่หนวดขาว แต่เขาก็ไม่ตาย และจากไปในสภาพไร้รอยขีดข่วน ส่วนกลุ่มโจรสลัดหนวดขาวคนอื่นๆก็ไม่คิดที่จะรั้งเขาไว้เช่นกัน

 

นั่นก็เพราะมันไม่มีประโยชน์ที่จะรั้งเขา ทำไมถึงต้องไปเสียเวลากับคนที่ฆ่าไม่ตายด้วยเล่า? และที่สำคัญนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไคโดมาขอท้าสู้กับหนวดขาว สองสามครั้งก่อนที่ไคโดบุกเข้ามา พวกเขาได้พยายามฆ่าไคโดแล้ว แต่มันไม่ตาย ครั้งนี้พวกเขาจึงเลือกที่จะอยู่เฉยๆแล้วปล่อยไคโดไป

 

แม้แต่กองทัพเรือยังฆ่าไคโดไม่ได้ แล้วกลุ่มโจรสลัดหนวดขาวจะสามารถฆ่าเขาได้อย่างไร

 

เมื่อไคโดได้จากไป ก็นับว่าเป็นการสิ้นสุดการต่อสู้ระหว่างสี่จักรพรรดิในครั้งนี้ ทางรัฐบาลโลกและกองทัพเรือต่างพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

เมื่อใดก็ตามที่ 4 จักรพรรดิต่อสู้กันแบบเต็มกำลัง ทางรัฐบาลโลกและกองทัพเรือจะไม่เข้าไปก้าวก่าย และทำแค่เพียงเฝ้ามองอยู่ห่างๆ เพราะการต่อสู้ระหว่าง 4 จักรพรรดินั้นจะส่งผลกระทบออกไปในวงกว้าง

 

แม้กองทัพเรือจะไม่มีส่วนร่วมในการต่อสู้ แต่พวกเขาก็ยังคงมีหน้าที่เฝ้าดูและสังเกตุการณ์ความเสียหาย เพราะไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างหากการต่อสู้ในครั้งนี้จบลง

 

แต่

 

ก่อนที่กองทัพเรือและรัฐบาลโลกจะทันได้หายใจหายคอได้สะดวก ไม่กี่วันต่อมา ร้อยอสูรไคโดก็คลุ้มคลั่งอีก คราวนี้แทนที่จะบุกไปสู้กับหนวดขาว เขากลับบุกเข้าไปสู้กับแชงคูสผมแดง!

 

ถึงแม้ว่าไคโดจะไปเพียงลำพัง แต่การต่อสู้ระหว่างเขากับแชงคูสผมแดงได้ก่อให้เกิดผลกระทบครั้งใหญ่ และนั่นทำให้โลกตกอยู่ในความวุ่นวายอีกครั้ง

การเคลื่อนไหวของกลุ่มโจรสลัดร้อยอสูรไคโดจะต้องได้รับการสังเกตุการณ์ตลอดเวลา แม้กระทั่ง 4 จักรพรรดิคนอื่นๆ หนวดขาว หรือบิ๊กมัม ก็ต้องสังเกตุการณ์พวกเขาเอาไว้เช่นกัน มิเช่นนั้นอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นก็ได้

 

เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ทำให้ฐานกองทัพเรือสาขานิวเวิลด์เริ่มที่จะขาดแคลนบุคลากร

 

ดังนั้น

 

เซนโงคุจึงมีคำสั่งให้ส่งเจ้าหน้าที่ทหารเรือจากศูนย์ใหญ่ไปยังนิวเวิลด์ โดยส่งพลเรือโทที่อยู่ในศูนย์ใหญ่กว่าครึ่งออกไป ไม่เว้นแม้กระทั่งพลเรือเอกคิซารุก็ยังถูกส่งไปกับพวกเขาด้วย

 

และในหมู่พลเรือโทที่ถูกส่งออกไป

 

โรจาก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย

 

 

ในห้องโดยสารขนาดใหญ่ที่สุดบนเรือรบ โรจากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ ตรงหน้าเขามีแผนที่ของนิวเวิลด์วางอยู่ และมีวงกลมอยู่สี่วง ที่บ่งบอกถึงอาณาเขตของ4จักรพรรดิ

 

“อาณาเขตในวงกลมของกลุ่มโจรสลัดร้อยอสูรมีขนาดไม่น้อยเลย”

 

แม้ว่าโรจาจะรู้มาจากในมังงะอยู่แล้ว และเข้าใจดีว่านิวเวิลด์นั้นเป็นอาณาเขตของเหล่า4จักรพรรดิ แต่ภายในมังงะไม่ได้แบ่งแยกหรือบ่งบอกอาณาเขตของพวกเขาเอาไว้อย่างชัดเจน หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะเขาไม่ได้อ่านมันอย่างละเอียดก็เป็นได้

 

อาณาเขตในวงกลมของเหล่า 4 จักรพรรดินั้นเป็นอะไรที่ค่อนข้างซับซ้อน ไม่ใช่ว่านิวเวิลด์นั้นถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วนอย่างสิ้นเชิง แต่ละคนก็จะมีอาณาเขตที่แตกต่างกันออกไป และยังมีพื้นที่บางแห่งที่ยังไม่มีใครครอบครองหรือเป็นกลางอีกด้วย

 

แต่บางทีพื้นที่ที่เป็นกลางเหล่านี้ อาจจะตกอยู่ภายใต้การครอบครองของ4จักรพรรดิคนใดคนหนึ่ง โดยที่ทางกองทัพยังไม่ล่วงรู้ก็เป็นได้ โดยสรุปแล้วหากกองทัพเรือผลีผลามเข้าไปยังอาณาเขตเหล่านั้นอาจจะเกิดความวุ่นวายขึ้นก็เป็นได้

 

ส่วนโรจาพื้นที่ที่เขารับผิดชอบนั้นอยู่ใกล้กับอาณาเขตของกลุ่มโจรสลัดร้อยอสูร ที่อยู่ทางทิศเหนือของเกาะ แต่เขาไม่จำเป็นที่จะต้องไปต่อสู้กับกลุ่มโจรสลัดสัตว์อสูร เพียงแค่สังเกตุการณ์การเคลื่อนไหวของพวกมันก็เพียงพอแล้ว

 

“ร้อยอสูรไคโด … ฉันอยากจะรู้จริงๆว่าการต่อสู้ระหว่างเขากับแชงคูสผมแดงนั้นจะรุนแรงขนาดไหน”

 

หลังจากที่นั่งจ้องมองแผนที่บนโต๊ะอยู่นาน โรจาก็หยิบมันขึ้นมากางขึ้นด้วยแขนทั้งสองข้าง ก่อนที่จะเอนตัวลงไปพิงเก้าอี้ แล้วเอาขาทั้งสองข้างขึ้นมาวางพาดบนโต๊ะ

 

ช่วงหลายวันนี้เขาไม่ได้รับภารกิจต่อสู้ใดๆเลย ภารกิจที่เกี่ยวกับแฮนค็อกนั้นไม่อาจเรียกว่าภารกิจต่อสู้ได้ ตอนนี้โรจาคันไม้คันมือมากๆ และต้องการที่จะออกไปปราบปรามโจรสลัดที่มีค่าหัวมากกว่า 500 ล้านแบรี่

 

การฝึกฝนพละกำลังร่างกายของโรจาเกือบจะถึงคอขวดอีกครั้ง แม้ฮาคิทั้งสองจะแข็งแกร่งขึ้นตามพละกำลังร่างกาย แต่ปัจจุบันนี้มันได้มาถึงขีดจำกัดแล้ว

 

ในแง่ของวิชาดาบ ในเวลานี้โรจายังคงพยายามที่จะตวัดดาบเดียว 13 ครั้งให้ได้อยู่

 

ในเวลานี้ เขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าตอนที่ต่อสู้กับโดฟลามิงโก้เป็นอย่างมาก

 

สำหรับระบบจิตวิญญาณแห่งดาบ ช่วงนี้เขาสะสมแต้มสเตมิน่าได้เพียงน้อยนิด และยังคงไม่ถึงจุดที่สามารถเสริมความแข็งแกร่งในขั้นต่อไปได้

 

หลังจากที่ระบบจิตวิญญาณแห่งดาบวิวัฒนาการมาถึงขั้นสี่ คุณสมบัติเสริมขั้นพื้นฐานที่ได้มาจากการเสริมความแข็งแกร่งแต่ละครั้งนั้นเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมมาก แต่ที่เพิ่มสูงขึ้นที่สุดก็คงเป็นพลังเปลวเพลิงของเขา

 

โรจาได้ค้นพบว่า ในขั้นสี่ของระบบจิตวิญญาณแห่งดาบ การเสริมความแข็งแกร่งในแต่ละครั้ง พลังเปลวเพลิงของเขาจะรุนแรงขึ้น และสามารถปลดปล่อยได้ไกลขึ้นยิ่งกว่าตอนเสริมความแข็งแกร่งในขั้นสองและขั้นสาม

 

ตั้งแต่ที่เขาได้รับเก็ทสึงะ เท็นโช พลังเปลวเพลิงจึงถูกใช้เป็นตัวเลือกที่สองในการต่อสู้ และมันก็ลดลงไปเป็นตัวเลือกที่สามตั้งแต่เขาได้รับเซมบงซากุระ

 

พลังเปลวเพลิงของโรจานั้นส่งผลกระทบต่อพื้นที่ต่อสู้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น มันแทบจะไม่ส่งผลใดๆต่อศัตรูของเขาได้เลย

 

อย่างไรก็ตาม

 

พลังอำนาจในการโจมตีของเก็ทสึงะ เท็นโช และเซมบงซากุระนั้นจะไม่เปลี่ยนแปลง ถึงแม้มันจะรุนแรงเป็นอย่างมากในช่วงแรกๆ แต่ระดับความรุนของของมันก็จะเท่าเดิมตลอดไป เก็ทสึงะ เท็นโชนั้นจะรุนแรงกว่าเฉือนนภาแค่สามเท่า ส่วนเซมบงซากุระนั้นจะโจมตีได้เพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น

 

สำหรับเก็ทสึงะเท็นโชแล้ว มันเป็นการโจมตีอย่างมีประสิทธิภาพไปยังจุดๆเดียว ส่วนเซมบงซากุระนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงการโจมตีได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งสองอย่างนั้นจะแข็งแกร่งขึ้นโดยมีพละกำลังของโรจาเป็นพื้นฐาน

 

*(กล่าวคือเก็ทสึงะ เท็นโช นั้นจะแข็งแกร่งกว่าเฉือนนภา 3 เท่า ยังไงก็อย่างนั้นไม่มีเปลี่ยนแปลง หากเฉือนนภาของโรจารุนแรงขึ้น เก็ทสึงะ เท็นโช ก็จะรุนแรงขึ้นตามไปด้วย และเซมบงซากุระก็เช่นกัน …)

 

แต่พลังเปลวเพลิงที่เกิดจากริวจินจักกะนั้จะแตกต่างออกไป

 

ถ้าเก็ทสึงะเท็นโชนั้นแข็งแกร่งว่าเฉือนนภาถึงสามเท่า  แต่พลังเปลวเพลิงที่เกิดจากริวจินจักกะนั้นจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการเสริมความแข็งแกร่งของระบบจิตวิญญาณแห่งดาบในแต่ละครั้ง มันอาจจะแข็งแกร่งขึ้น 2 เท่า ไป 3 เท่า ไป 5 เท่า และไป 10 เท่าเลยก็ได้!

 

หลังจากที่ระบบจิตวิญญาณแห่งดาบวิวัฒนาการมาเป็นขั้นสี่ พลังเปลวเพลิงก็ได้รุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนในตอนนี้รุนแรงยิ่งกว่าเก็ทสึงะ เท็นโช หรือเซมบงซากุระไปเสียแล้ว!

 

นอกเหนือไปจากพลังเปลวเพลิงที่รุนแรงขึ้นทุกครั้งในการเสริมความแข็งแกร่งแล้วนั้น การเสริมความแข็งแกร่งในขั้นสี่ยังช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้จิตวิญญาณของโรจา มากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาอีกด้วย

 

ดูเหมือนว่านี่คือการเตรียมตัวก่อนที่จะเข้าสู่ขั้นห้า เพื่อที่จะสามารถปลดปล่อยริวจินจักกะออกมาได้อย่างสมบูรณ์

 

ความคิดมากมายหลั่งไหลอยู่ในจิตใจของโรจา และหลังจากที่เขาได้สติกลับคืนมา โรจาก็เหลือบมองออกไปยังหน้าต่างด้วยความเบื่อหน่าย

 

จ้องมองดูท้องทะเลสีครามที่เงียบสงบ

 

“ภารกิจสังเกตุการณ์ช่างเป็นอะไรที่น่าเบื่อจริงๆ”

 

ในระหว่างที่โรจากำลังเบื่อๆอยู่นั้นเอง

 

ทันใดนั้น

 

พลเรือตรีก็กระแทกประตูเข้ามาในสำนักงานของโรจาพร้อมกลับกล่าวอย่างเร่งรีบว่า

 

“พลเรือโทโรจา! พวกเราพบเรือของกลุ่มโจรสลัดร้อยอสูรอยู่ข้างหน้า!”

 

บนใบหน้าของพลเรือตรีเผยให้เห็นถึงความตึงเครียด หากพวกเขาได้พบเจอกับเรือโจรสลัดกลุ่มอื่น พลเรือตรีคงไม่มีท่าทีแบบนี้ แต่เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามเป็นเรือโจรสลัดของ 4 จักรพรรดิร้อยอสูรไคโด ซึ่งเพียงแค่เอ่ยชื่อออกมาก็ทำให้รู้สึกใจสั่น

 

ความจริงแล้วพวกเขาจะหันหัวเรือกลับ และหนีไปเลยก็ได้ แต่อย่างไรก็ต้องมารายงานโรจาก่อน

 

“โอ้?”

 

เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว โรจาก็ไม่เผยให้เห็นถึงความกระวนกระวายแม้แต่น้อย ดวงตาของเขาเป็นประกาย ก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วเดินไปสวมเสื้อคลุมพลเรือโท จากนั้นก็เดินออกจากสำนักงานแล้วขึ้นไปยังดาดฟ้าเรือ