บทที่ 7

 

 

มองร่างบนผืนน้ำที่จางหายไป หลิงเซี่ยอดกลั้นอารมณ์เอาไว้ไม่ไหวจริงๆ

แม้เขาจะรู้ว่าชุยอวี้เป็นเพียงแค่เด็กที่ไม่ค่อยมีเหตุผลและเอาแต่ใจ ซ่งเสี่ยวหูไม่น่าจะเกิดเหตุอะไรที่เป้นอันตรายต่อชีวิต ทว่าการถูกลากลงไปในน้ำก่อนหน้านี้ก็ยังคงอันตรายมาก ถ้าอีกฝ่ายเป็นคนปกติ มีความเป็นไปได้สูงที่เด็กคนนั้นจะชีวิตหลุดลอยไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว! สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือรีบหาทางปยังเมืองและช่วยเหลืออีกฝ่ายจากยายคุณหนูเอาแต่ใจ ไร้ความยั้งคิด หยิ่งยะโสนั่น

คนเรืออคนอื่นๆ ได้ช่วยเหลือคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก หันหัวเรือกลับมาที่ท่าน้ำ พวกเขาคุ้นเคยกับการเห็นเหล่าศิษย์ของสำนักใหญ่ทำตัวจองหองไร้กฎเกณฑ์เช่นนี้ และเมื่อเห็นว่าเด็กหญิงหายไปจากระยะสายตา พวกเขาก็เริ่มสบถด่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เหตุการณ์นี้ได้สร้างบรรยากาศแบบศัตรูของศัตรูก็คือมิตร กัปตันเรือลำหนึ่งพลันเอ่ยเรียกหลิงเซี่ยขึ้น “เฮ้ พวกเจ้ายังอยากจะข้ามฝั่งอยู่หรือไม่?”

หลิงเซี่ยยินดีอย่างมาก หลังจากที่ขอบคุณอีกฝ่ายแล้วก็คว้าตัวอวี้จื้อเจี่ยและกระโดดขึ้นไปบนเรือ

ทิวทิศน์รอบทะเลสาบนี้งดงามไม่น้อย ผิวน้ำที่สั่นกระเพื่อมสะท้อนเงาของท้องฟ้าสีคราม การนั่งอยู่บนกาบเรือและมีสายลมชื้นฉั่พดผ่านทำให้ประสาทสัมผัสของเขารู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก ดังนั้นแล้ว หัวใจที่บีบรัดของหลิงเซี่ยเองก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง

นอกจากพวกเขาสองคนแล้วยังมีเด็กหนุ่มสาวอีกห้าคนอยู่บนเรือด้วย คาดว่าล้วนมุ่งหน้าไปสมัครเข้าร่วมสำนักเฉาหยาง ยามนี้ พวกเขาพูดคุยกันเสียงเซ็งแซ่เกี่ยวกับวิธีการสมัคร ศิษย์ชื่อดังของสำนักเฉาหยาง และเรื่องอื่นๆ

หลิงเซี่ยเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ และเพราะว่าเขาลืมเลือนรายละเอียดจำนวนมากที่เขียนอยู่ในนิยาย เขาจึงจดจำเรื่องที่เขาคิดว่าสำคัญลงไปในสมอง

เรือเคลื่อนไปได้ด้วยแรงพายของคน ทว่าฝีพายทั้งสองแข็งแรงมาก ร่างของพวกเขาสูงเกือบสองเมตร ดังนั้นแล้วความเร็วเรือจึงไม่เชื่องช้า หลังจากที่พายไปราวๆ หนึ่งชั่วโมง พวกเขาก็มาถึงกลางทะเลสาบ

และในช่วงเวลาสำคัญนี้ เรือลำใหญ่ได้ปรากฏขึ้นที่เบื้องหลังด้วยความเร็วที่มากกว่าพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด

หลิงเซี่ยสำรวจอีกฝ่ายอย่างสงสัยพักหนึ่ง บนดาดฟ้าของเรือลำนั้นปรากฏเด็กหนุ่มสาวในชุดหรูหรา ผู้ที่อาวุโสมากที่สุดดูจะมีอายุราวๆ 20 ปี และเยาว์วัยที่สุดอยู่ที่ราวๆ 12-13 ปี คนทั้งหมดอยู่ในชุดสีขาวขลิบทองโดดเด่น เป็นไปได้มากว่าจะมาจากสำนักเดียวกัน หลิงเซี่ยแทบจะตาบอดจากแสงที่สะท้อนออกมาจากเสื้อผ้าของคนเหล่านั้น ผลคือเขาไม่อาจมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้ชัดเจน

ทว่าเขาไม่เคยคาดฝันมาก่อนว่าเรือลำใหญ่นั่นจะพุ่งตรงมาหาพวกเขา!

ผู้โดยสารบนเรือของพวกเขาไม่อาจอดกลั้นเสียงอุทานด้วยความกระวนกระวายเอาไว้ได้เมื่อเรือลำนั้นแล่นตรงมาพร้อมกับคลื่นที่สาดซัดรุนแรง เรือลำนั้นใหญ่กว่าเรือของพวกเขาอย่างน้อย 5-6 เท่า ถ้าอีกฝ่ายชนพวกเขา ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะต้องจบลงด้วยการจมน้ำอยู่กลางทะเลสาบหรืออย่างไร?

หลิงเซี่ยเองก็ไม่อาจปกปิดความลนลานเอาไว้ได้เช่นกัน เขามองซ้ายขวาอย่างกระวนกระวาย จากนั้นจึงคว้าเอาอวี้จื้อเจี่ยมาไว้ในอ้อมกอดด้วยแขนข้างหนึ่ง อีกข้างจับที่กาบเรือไม้ เขารู้สึกว่าร่างเล็กในอ้อมกอดของเขาพลันเกร็งขึ้น ดังนั้นเขาจึงก้มศีรษะและเอ่ยปลอบเสียงแผ่ว “อย่ากลัว ข้าว่ายน้ำเป็น…”

มองไปยังเรือลำใหญ่ที่เข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ หลิงเซี่ยก็หลับตาลงอย่างไม่เต็มใจ เฝ้ารอรับแรงกระแทกที่จะเกิดขึ้น ทว่าหายนะที่คาดการณ์เอาไว้กลับมาไม่ถึง

ไม่อาจที่จะอดทนรอได้อีกต่อไป เขาเปิดเปลือกตาขึ้นก่อนจะเห็นลูกแก้วสีดำสนิทส่องประกายวาบและจ้องมายังเขาด้วยความขุ่นเคืองจากในอ้อมกอดของเขา

น้ำเสียงที่กึ่งเรียบเฉยกึ่งดุดันของอวี้จื้อเจี่ยดังขึ้นผ่านฟันที่ขบกัน “ยังไม่ปล่อยอีก?!”

แม้ว่าน้ำเสียงของเด็กชายจะให้ความรู้สึกดุดันไม่เป็นมิตร ใบหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างช้าๆ

หลิงเซี่ยรีบปล่อยอีกฝ่ายและหันศีรษะไป เห็นว่าเรือใหญ่ลำนั้นหยุดอยู่ห่างออกไปไม่กี่ฟุตอย่างคาดไม่ถึง

ทุกคนบนเรือค่อยๆ ยืนขึ้นด้วยสีหน้าที่ราวกับรอดตายแบบเฉียดฉิว คนเรือดูพร้อมที่จะพ่นคำสบถหยาบคายออกมา ทว่าเมื่อเห็นเสื้อผ้าและเครื่องประดับของคนบนเรือแล้ว พวกเขาก็ไม่กล้าอีกต่อไป ทำได้เพียงก่นด่าในโชคอันเน่าเฟะของตนเอง

“เจ้ากระจอกที่ท้ายเรือนั่น!” เด็กชายอายุราวๆ 12-13 ปีตะโกนขึ้นขณะกวาดสายตาของเขาไปทั่วเรือลำเล็กและมุ่งเป้าไปยังหลิงเซี่ยกับอวี้จื้อเจี่ยอย่างรวดเร็ว

หลิงเซี่ยอดที่จะรู้สึกประหลาดไม่ได้ พวกนั้นมาตามหาเขาเนี่ยนะ? เขาสังเกตคนบนเรือใหญ่อย่างละเอียดและมั่นใจว่าเขาไม่เคยเห็นคนเหล่านั้นมาก่อน

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไร้ซึ่งปฏิกิรยาตอบสนอง เด็กชายก็ราวกับรู้สึกโกรธและคำรามออกมา “เฮ้ ข้าพูดกับพวกเจ้าสองคนอยู่!”

หลิงเซี่ยลอบแสดงสีหน้าบิดเบี้ยวอยู่ในใจ ดึงอวี้จื้อเจี่ยให้เดินเข้ามาใกล้ขณะที่เขาเอ่ยถามอย่างสุภาพ “สหายนักเดินทาง ข้าขอบังอาจถามได้หรือไม่ว่าท่านเรียกพวกเราทำไม?”

เด็กชายคนนั้นกวาดตามองพวกเขาศีรษะจรดเท้า จากนั้นจึงเชิดจมูกขึ้นและย่นจมูกมายังทิศทางของพวกเขา ทำให้หลิงเซี่ยรู้สึกงุนงงยิ่งกว่าเก่า

เขาไปมีเรื่องกับเจ้าคุณชายจองหองนี่เมื่อไหร่กัน?

ในทางกลับกัน ชายหนุ่มอายุราวๆ 20 ปีที่ดูจะเป็นหัวหน้ากลุ่มเอ่ยถามอย่างสุภาพกว่า “พวกท่านสองคนเห็นศิษย์น้องเล็กของเราหรือไม่? เราได้ยินจากพวกที่อยู่บนท่าน้ำบอกว่านางไปกับหนึ่งในสหายของพวกท่าน พวกท่านำพอจะบอกได้หรือไม่ว่าเกิดอันใดขึ้น?”

แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะสุภาพ แต่มันชัดเจนว่าเขาไม่มีความคิดที่จะแนะนำตนเองหรือว่าสนใจพวกเขาสองคนเลยแม้แต่น้อย นอกจากนั้น มันชัดเจนว่าชุยอวี้ใช้กำลังบังคับลากตัวซ่งเสี่ยวหูไปก่อนหน้า ทว่าจากที่อีกฝ่ายเอ่ย เหตุใดมันจึงกลายเป็นว่าสองคนนั้นเดินทางไปพร้อมกันได้เล่า?

หลิงเซี่ยรู้สึกแค้นเคืองอยู่ในใจ แต่อย่างน้อย เขาก็สามารถรับรู้ได้ว่าคนเหล่านี้น่าจะเป็นศิษย์พี่ของชุยอวี้ การรับศิษย์ถือเป็นเรื่องซับซ้อนสำหรับทุกสำนัก และทุกครั้งที่มันเกิดขึ้น พวกเขามักจะเชื้อเชิญสำนักข้างเคียงมาเป็นกำลังเสริม คนเหล่านี้จากเมืองอวิ๋นเซียวก็คงเป็นผู้ที่ได้รับเชิญมาในครั้งนี้

และบิดาของชุยอวี้ก็คือผู้ปกครองเมืองอวิ๋นเซียว เมืองอวิ๋นเซียวเป็นหนึ่งในเมืองที่ได้รับความนิยมในทวีปแห่งนี้ ชื่อเสียงของมันเลื่องลือจากการสร้างอุปกรณ์วิเศษ อำนาจของมันนั้นเหนือกว่าสำนักเฉาหยางมากนัก หรืออีกนัยหนึ่ง สถานะของชุยอวี้เทียบเท่าได้กับลูกสาวของนักการเมืองท้องถิ่น

ในนิยาย พล็อตที่อยู่ในเมืองอวิ๋นเซียวนั้นถือได้ว่าเป็นฐานหลักของเหล่าตัวประกอบเดนตาย และมันกระทั่งมีตัวประกอบรุ่นพี่คนหนึ่งที่ชอบคุณหนูชุยอวี้ผู้สูงส่ง ใครจะไปรู้ว่าคนคนนั้นจะเป็นหนึ่งในกลุ่มคนตรงหน้านี่รึเปล่า…

จะอย่างไรก็ตาม การสู้กับตัวเอกเพื่อแย่งผู้หญิงถือเป็นเรื่องไร้ประโยชน์!

ชายหนุ่มที่พูดสุภาพกว่านั้นคือศิษย์อันดับสองของเมืองอวิ๋นเสี่ยว ศิษย์น้องเล็กคนนี้ของเขาทั้งงดงามและเอาแต่ใจ ทว่าด้วยวัยของนาง พลังยุทธ์ของนางยังคงอยู่ในระดับแรกเริ่ม ตลอดทางจนมาถึงที่นี่ นางขี่อาชาซ้ายและวิ่งนำหน้าสร้างเรื่องมาตลอดทาง ทำให้ศิษย์พี่ที่นำกลุ่มไปยังสำนักเฉาหยางต้องอดทนต่อความยากลำบากจำนวนมาก

ถ้าแก้วตาดวงใจของอาจารย์เขาสร้างรอยช้ำให้ตนเองในระหว่างที่นางเดินทาง ผลของมันคือเขาต้องโดนลงโทษตอนที่กลับไป! เขาได้ลอบสอบถามสถานการณ์จากริมทะเลสาบมาและรู้ว่าเป็นศิษย์น้องของเขาที่ไปหาเรื่องผู้อื่นก่อน ความจริงแล้ว เขาไม่เข้าใจเลยว่ายายคุณหนูที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่นั่นคิดอะไรอยู่ แม้ว่าเด็กสองคนนี่จะดูดีมาก เสื้อผ้าของพวกเขาก็ธรรมดามาก โดยเฉพาะคนที่แก่กว่าที่เรียกได้ว่าสวมเสื้อผ้าขอทานอยู่ชัดๆ! พวกเขาเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป ไม่มีอะไรพิเศษหรือสะดุดตาเลยแม้แต่น้อย

ในตอนที่หลิงเซี่ยกำลังจะเอ่ยตอบนั่นเอง อวี้จื้อเจี่ยก็ชกอีกฝ่ายไปทีหนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ข้าไม่เห็นใครเดินทางไปกับสหายข้า ทว่าข้าเห็นสตรีโหดเหี้ยมใช้กำลังบังคับพาตัวสหายข้าไป”

“…” หลิงเซี่ยรู้สึกว่าร่างกายอ่อนแรงไปชั่วขณะ เขาแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของอวี้จื้อเจี่ย แย้มยิ้มและเอ่ยคำตอบที่ต่างออกไป “พวกเราเห็น นางบอกว่านางจะไปยังร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดของเมืองฉงหมิง ข้าเดาว่ายามนี้นางคงไปถึงที่นั่นแล้ว ดังนั้นถ้าพวกท่านสามารถ…”

ทว่าสีหน้าของเด็กชายอายุ 12-13 ปีคนนั้นได้เลวร้ายลงไปเรียบร้อย เขาเอ่ยแทรกคำพูดของหลิงเซี่ยขณะที่คำรามใส่อวี้จื้อเจี่ย “เจ้าพูดอันใดนะ?”

อวี้จื้อเจี่ยเหลือบตามองอีกฝ่ายทว่าไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก ทำเพียงหมุนตัวกลับไปทางเดิมอย่างเยือกเย็นและเดินจากไปอย่างอ่อนเพลีย

“เดี๋ยว!” เด็กชายคนนั้นเอ่ยสั่งอย่างขุ่นเคืองอีกครั้ง เขาหมุนลำคอขณะที่เอ่ยขึ้นกับม่อไต้ “ศิษย์พี่ คำพูดของไอ้เด็กเวรนั่นทำให้ศิษย์น้องเล็กเสียหาย ข้าจะสั่งสอนมัน!”

ม่อไต้รู้ว่าศิษย์น้องของเขาผู้นี้มักจะเอาอกเอาใจศิษย์น้องเล็กของพวกเขาอยู่เสมอ เขาไม่ต้องการจะรับผิดชอบคำกล่าวหาที่ว่าผู้แข็งแกร่งกลั่นแกล้งผู้อ่อนแอ ไม่ต้องเอ่ยเลยว่ามันเป็นศิษยน้องเล็กของพวกเขาที่ผิดจริงๆ ดังนั้นแล้วเขาจึงเอ่ยว่า “ชางหยาน ลืมมันไปเถอะ สิ่งที่เราต้องทำในตอนนี้คือการตามหาศิษย์น้องเล็กให้เจอให้เร็วที่สุด”

เรือลำใหญ่เริ่มแล่นผ่านเรือลำเล็ก ทว่าเด็กชายคนนั้นยังคงจ้องมองอวี้จื้อเจี่ยด้วยความเดือดดาลแค้นเคืองไม่หยุด

เมื่อได้ยินม่อไต้เอ่ยชื่อที่ค่อนข้างคุ้นเคยนี้ เส้นสีดำบนหน้าผากของหลิงเซี่ยก็ไม่ได้มีแค่ 3-4 เส้นอีกต่อไป นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เขาถาม เจ้าพวกลูกเจี้ยบเจ้าปัญหาพวกนี้ในโลกใบนี้มันเริ่มโตตอนไหนกัน?! ไม่ใช่ว่าเจ้านี่คือหนึ่งในตัวประกอบแมงหวี่แมงวันที่จะสู้กับตัวเอกในฐานะของศัตรูหัวใจในอนาคตไม่ใช่เหรอ?

หลังจากที่เรือทั้งสองลำแล่นผ่านกันไปอย่างสมบูรณ์ ชางหยานพลันนำอุปกรณ์วิเศษออกมา ในเสี้ยววินาที เส้นสายฟ้าก็ฟาดลงมาที่เรือลำเล็ก

อุปกรณ์วิเศษนี้เป็นอุปกรณ์ธาตุสายฟ้าที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้นำเมืองอวิ๋นเซียวเองและมีพลังมหาศาล พลังยุทธ์ของชางหยานยังคงตื้นเขิน ดึงพลังของมันออกมาได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน ทว่ามันก็เกินพอในการสร้างรูขนาดเท่าอ่างอาบน้ำที่ก้นเรือได้

คิ้วของม่อไต้พลันขมวดมุ่นเข้าหากัน ทว่าเมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดถูกโจมตี เขาก็เดินไปตบศีรษะของชางหยานและเอ่ยเตือนว่า “เจ้าเด็กนิสัยเสีย ระวังท่านอาจารย์จะรู้แล้วลงโทษเจ้า!”

ชางหยานรีบก้มศีรษะลงและเก็บอุปกรณ์วิเศษก่อนจะยิ้มกว้าง “เช่นนั้นข้าคงต้องลำบากศิษย์พี่ในการรับผิดชอบแทนข้าแล้ว!”

ม่อไต้หัวเราะอย่างจนใจ ทว่าไม่ได้มองกลับไปอีก

มองตามเรือลำใหญ่ที่ค่อยๆ แล่นห่างออกไป หลิงเซี่ยอยากจะปล่อยตัวและด่าอีกฝ่ายจนกว่าหูจะบอดไปข้าง ไม่แปลกใจเลยที่แกเป็นได้แค่ขยะตัวประกอบเดนตาย! คอยดูตัวเองโดนน้องชายตัวเอกของข้ากำจัดเถอะ!

ฝีพายพยายามจะปิดรูนั้น ทว่ามันไม่มีอะไรเหมาะในการทำเช่นนั้นบนเรือ และหลังจากผ่านไปชั่วขณะ ระดับน้ำก็ท่วมสูงถึงข้อเท้า

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะเขาไม่มากก็น้อย ดังนั้นหลิงเซี่ยจึงเริ่มนอนลงเพื่อใช้ร่างของเขาในการปิดรูเอาไว้และเอ่ยขอโทษอย่างเจื่อนๆ “เราขออภัยด้วยจริงๆ รีบพายเข้าเถอะ อาเจี่ย ไปช่วยวักน้ำออกจากเรือเร็ว”

กัปตันเริ่มตวาดและก่นด่าใส่หลิงเซี่ย สบถด่าเรือลำใหญ่ครั้งหนึ่งแล้วด่าหลิงเซี่ยอีกครั้งหนึ่ง ผู้โดยสารคนอื่นๆ ต่างมองไปยังทั้งสองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความแค้นเคือง ทว่าตอนนี้พวกเขายังคงอยู่ห่างจากชายฝั่ง ดังนั้นมันชัดเจนว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดในยามนี้คือการจะไปถึงฝั่งอย่างปลอดภัยได้อย่างไร

ไร้ซึ่งท่าทีหวาดกลัวความตาย หลิงเซี่ยกดร่างของเขาลงขณะที่เอ่ยขึ้นกับคนเรือ “ข้าต้องขออภัยด้วย แม้ว่าเราจะไม่มีเงินในยามนี้ แต่หลังจากที่เราเข้าร่วมสำนักเฉาหยางในอนาคต เราจะจ่ายค่าเรือนี่คืนเต็มจำนวน โปรดอย่ากังวล”

หนึ่งในผู้โดยสารพลันเค้นเสียงเย้ยหยัน “เจ้านี่พูดจาใหญ่โตเสียจริง! เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าสำนักเฉาหยางจะรับเจ้าเข้าร่วม? ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่เรือนี่จม มันยังไม่แน่นอนด้วยซ้ำว่าเราจะอยู่หรือตาย!”

ทว่าด่าก็ส่วนด่า บ่นก็ส่วนบ่น สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครบนเรือหยุดมือในการวักน้ำออก

โชคร้ายที่รูนี้ใหญ่เกินไป ตอนที่พวกเขาเห็นชายฝั่งลางๆ น้ำในเรือก็สูงขึ้นมาถึงเข่าแล้ว สุดท้ายแล้วหลิงเซี่ยก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป ทุกคนต่างกระโดดลงไปในน้ำทีล่ะคน ว่ายน้ำสุดชีวิตไปยังฝั่ง เมื่อไม่เหลือทางเลือกอื่น เขาเองก็ยืนขึ้น คว้าอวี้จื้อเจี่ยและกระโดดออกไปเช่นกัน

แม้ว่ายามนี้หลิงเซี่ยจะมีพลังกายภาพ เขาก็รู้เพียงแค่ท่าลูกหมาตกน้ำ หลังจากผ่านไปชั่วขณะ เขาก็เริ่มเวียนหัวจากการสำลักน้ำมากเกินไป มือเท้าของเขาเริ่มหมดเรี่ยวแรงตามไป เขามองไปยังอวี้จื้อเจี่ยที่ว่ายอยู่ด้านหน้า การเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายไหลลื่นและมีชีวิตชีวาราวกับกำลังออกกำลังกายโดยไม่ต้องพยายาม

เขาอ้าปากคิดจะถอนหายใจ ทว่ากลับจบลงที่กลืนน้ำเข้าไปสองสามอึก จมูกและปากของเขาอยู่ใต้ผิวน้ำ พลันตกอยู่ในสภาวะขาดอกาศ หลังจากที่อดทนอยู่เงียบๆ เขาก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาหนักอึ้งเกินกว่าจะควบคุม ราวกับว่าถูกล่ามด้วยโลหะที่กำลังลากเขาลงไปลึกขึ้นเรื่อยๆ…

มือข้างหนึ่งพลันฉวยเข้าที่รักแร้ของเขาและดึงขึ้นด้านบน หลิงเซี่ยเปิดเปลือกตาและดิ้นรน อยากจะใช้แรงนั้นในการลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ โชคร้ายที่แรงของอีกฝ่ายน้อยเกินไป พวกเขาสองคนพัวพันกันวุ่นวายและจมลงไปลึกกว่าเดิม

เมื่อมองเห็นว่อวี้จื้อเจี่ยอยู่ในระยะที่เขาเอื้อมถึง ความอบอุ่นและตื่นตระหนกจากการได้รับความช่วยเหลือจากคนที่เหนือกว่าก็ท้วมทนความคิดของหลิงเซี่ย กับการที่ท่านตัวร้ายผู้ยิ่งใหญ่มาช่วยเขาด้วยตัวเองเนี่ยนะ? มันอาจจะเป็นเช่นนั้น ตอนนี้ออกซิเจนของเขาหมดลงอย่างสมบูรณ์ และหัวของเขากำลังทรมานราวกับจะระเบิดออกมาด้วยความเจ็บปวด!

หรือว่าเขาข้ามโลกมาเพียงเพื่อตายอยู่ในก้นทะเลสาบแห่งหนึ่ง กระทั่งก่อนที่พล็อตจะเริ่มขึ้นจริงๆ ด้วยซ้ำ?

ด้วยความคิดอยากมีชีวิตรอด ความคิดหนึ่งได้สว่างวาบขึ้นในศีรษะของหลิงเซี่ยราวกับสายฟ้าที่ฟาดลงมา เขาพลันจดจำเรื่องหนึ่งขึ้นได้: ร่างกายของอวี้จื้อเจี่ยมีพลังธาตุน้ำ!

หรืออีกนัยหนึ่ง อวี้จื้อเจี่ยสามารถหายใจในน้ำได้!

ชายหนุ่มใช้พลังเฮือกสุดท้ายดึงอวี้จื้อเจี่ยมาทางตนเองโดยไร้ซึ่งความลังเลและโน้มริมฝีปากออกไป…

พี่ใหญ่ไม่ได้ตั้งใจ พี่ใหญ่แค่ไม่อยากตาย! ได้โปรดยกโทษให้พี่ใหญ่ด้วยยย!

 

 


TL: เปิดฉากความซวยของอาหลิงอย่างเป็นทางการ//เปิดม่าน