บทที่ 6:

 

 

 

พวกเขาทั้งสามคนเดินทางต่อ เมื่อพวกเขาเข้าใกล้เมืองฉงหมิง ถนนก็เริ่มขยายกว้างขึ้น และจำนวนของเด็กหนุ่มสาวนักเดินทางก็เพิ่มมากขึ้น ชัดเจนว่าพวกเขาทุกคนล้วนมุ่งหน้าไปเข้าร่วมการคัดเลือกของสำนักเฉาหยาง และในบรรดาคนทั้งหมด มันมีเด็กลูกขุนนางชนชั้นสูงที่สวมใส่เสื้อผ้าหรูหราราคาแพงอยู่ด้วย

โรงน้ำชาธรรมดาๆ ราวสองสามร้านตั้งกระจัดกระจายอยู่ข้างถนน ทว่าราคาของน้ำชาและขนมเครื่องดื่มที่พวกเขาขายนั้นสูงกว่าปกติอย่างน้อย 3-4 เท่า ทันทีที่หลิงเซี่ยเห็นราคา เขาก็ไม่อยากจะซื้ออะไรอีก โชคร้ายที่พวกเขาไม่อาจหาแม่น้ำหรือลำธารใกล้ๆ ได้ ดังนั้นแล้วเขาจึงยังต้องแข็งใจและซื้อน้ำชามากาหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ เงินทั้งหมดของเขาจึงถูกใช้ไป

เมื่อพวกเขาไปถึงชานเมืองฉงหมิง หลิงเซี่ยก็นิ่งอึ้ง สองสามกิโลเมตรรอบเมืองได้ถูกโอบล้อมไปด้วยทะเลสาบที่มีระลอกคลื่นสั่นไหว และเรือขนาดเล็กถึงกลางจำนวนนับไม่ถ้วนได้จอดอยู่ริมตลิ่ง หลังจากที่ถามราคาสำหรับข้ามฟากแล้ว มันกลายเป็นว่าต้องใช้ 10 หินปราณระดับหนึ่งต่อหนึ่งคน ถ้าพวกเขาไม่ได้ซื้อเสื้อผ้า พวกเขาก็จะมีเงินพอพอดี…

ซ่งเสี่ยวหูเองก็ดูจะจนปัญญา เขาแหงนศีรษะมองไปยังหลิงเซี่ยอย่างไม่เต็มใจ

หลิงเซี่ยเหลือบยมองไปทางอวี้จื้อเจี่ยอย่างเป็นกังวล กลัวว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทีเลวร้ายกว่า ทว่าโชคดีที่เด็กชายทำเพียงมองไปยังน้ำ ไม่มีแม้แต่ร่องรอยความโกรธปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา

หลิงเซี่ยแสร้งทำเป็นใจเย็นและเอ่ยเสนอขึ้นว่า “อืม เราลองถามคนเรือดูว่าเราช่วยพวกเขาพายแลกแทนได้ไหม”

เสียแต่ว่าเหล่าคนเรือล้วนเป็นคนแข็งแรงและร่างกายกำยำที่หวังจะใช้โอกาสนี้ในการทำเงินอย่างรวดเร็ว แล้วพวกเขาจะต้องการความช่วยเหลือจากเด็กได้อย่างไร?

หลิงเซี่ยไม่กระทั่งได้ทันเอ่ยถามจนจบก่อนที่หนึ่งในคนเรือจากเรือระดับกลางจะโบกมืออย่างหมดความอดทนและตวาด “เจ้าถังแตกแล้วยังจะอยากขึ้นเรืออีกหรือ? หยุดมายุ่มย่ามกับธุรกิจของข้าได้แล้ว ชิ่ว!” คนจำนวนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นใกล้ๆ มองหาเรือเช่า และเขารีบวิ่งเข้าไปต้อนรับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม

หลังจากที่ถามอีก 7-8 เรือและได้รับคำตอบแบบเดียวกัน หลิงเซี่ยก็คอตกอย่างช่วยไม่ได้ แม้ว่าเขาจะสามารถหาที่ทำงานได้และหาเงินได้จนพอ ตอนนี้เวลาของพวกเขาก็ไม่พอแล้ว!

ทันใดนั้น เสียงใสกระจ่างก็ดังกังวานขึ้นจากเบื้องหลัง แม้ว่าจะเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย หลิงเซี่ยก็ยังคงหันไปมองอย่างอัตโนมัติ และนิ่งค้างไปกับภาพที่ปรากฏขึ้น สัตว์ขี่ตัวยักษ์ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนกำลังวิ่งเหยาะๆ มาด้วยความเร็วคงที่และมุ่งหน้ามาที่สถานที่แห่งนี้ ด้านบนปรากฏร่างของเด็กหญิงวัยราวๆ 7-8 ขวบ เสียงที่เขาได้ยินก่อนหน้าคือเสียงระฆังที่คล้องอยู่บนลำคอของมัน

สัตว์ตัวนี้มีเขาสี่เขาอยู่ด้านบน สูงเท่าอูฐ มีริมฝีปากกับจมูกเหมือนฮิปโป ผิวหนังสีน้ำตาลของมันดูนุ่มและส่องประกาย ทว่าโดยรวมแล้วรูปลักษณ์ของมันน่ารังเกียจอย่างมาก

ในทางกลับกัน เด็กหญิงงดงามราวกับภาพวาด ร่างเล็กอยู่ในชุดสีชมพูตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ความแตกต่างระหว่างสัตว์ขี่และเจ้าของนั้นยิ่งสะดุดตากว่า

“มันคืออาชาซ้าย” คนจำนวนหนึ่งพึมพำ

ในฐานะของแฟนคลับเดนตาย หลิงเซี่ยย่อมรู้จักสัตว์วิเศษตัวนี้ มันคือสัตว์วิเศษขั้น 5 ที่เรียกได้ว่าค่อนข้างหายากในเมื่อมันเป็นมิตรกับมนุษย์ คล่องแคล่วราวกับพายุในน้ำ และสามารถป้องกันการโจมตีจากใต้น้ำได้ การขี่สัตว์วิเศษเช่นนี้ได้ ชัดเจนว่าสถานะของเด็กหญิงตัวเล็กนี้ไม่ธรรมดา

หลิงเซี่ยอดที่จะนึกถึงฮาเร็มจำนวนมากของตัวเอกไม่ได้ จำได้ว่าสมาชิกฮาเร็มคนแรกคือคนที่ซ่งเสี่ยวหูเจอหลังจากที่เข้าร่วมสำนักเฉาหยางแล้ว… ขณะที่ความคิดโลดแล่นอยู่ในสมอง อาชาซ้ายก็เดินมาทางพวกเขาแล้ว

หลิงเซี่ยย่อมงุนงง พวกเขายืนอยู่ที่สุดปลายท่าเรือ แต่หากอาชาซ้ายนั่นคิดจะพาเด็กหญิงบนหลังข้ามทะเลสาบไป ไม่ใช่ว่ามันจะดีกว่าเหรอถ้าไปทางริมตลิ่ง? มันคงไม่ได้วางแผนจะกระโดดลงไปจากตรงนี้ใช่ไหม?

ขณะที่เขากำลังสับสน เด็กหญิงคนนั้นก็ดึงบังเหียน และหยุดอยู่ข้างๆ บริเวณที่พวกเขายืนอยู่อย่างน่าแปลกใจ

เธอชี้แส้ม้าในมือไปยังซ่งเสี่ยวหูแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงค่อนข้างหยิ่งยโส “นี่ เจ้าชื่ออะไร?”

… เอ๋? นี่มันอะไรกัน?

หลิงเซี่ยหมดคำพูด แน่นอนว่าแม้ตัวเอกจะอายุเพียงสิบขวบ ไอ้กลิ่นอายที่เต็มไปด้วยฟีโรโมนนั่นก็ถือเป็นอาวุธชั้นยอดในการดึงดูดเพศตรงข้าม! แม้ว่าเด็กหญิงคนนี้จะเด็กเกินไปหน่อยจริงๆ ก็ตามทีเถอะ…

เฮ้อ เด็กๆ ในโลกใบนี้โตเร็วชะมัด! ในฐานะของคนที่มีชีวิตอยู่มาแล้ว 24 ปีและยังไม่เคยแม้แต่จะจับมือผู้หญิง ใครบางคนที่มีแซ่หลิงร้องไห้อย่างขมขื่นอยู่ในใจ

ซ่งเสี่ยวหูจ้องไปยังแส้ม้าในมือของอีกฝ่ายที่อยู่ห่างจากหน้าเขาไปไม่กี่ฟุต และแม้ว่าเขาจะไม่ได้รับรู้เรื่องราวทางโลกมากนัก เขาก็ยังคงรู้ว่าท่าทีของอีกฝ่ายนั้นแสดงให้เห็นถึงความเหยียดยายามที่มีต่อเขาอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยวัยอย่างเขา เขาย่อมไม่ล่วงรู้ถึงมารบาทหรือความแตกต่างของเพศที่ละเอียดอ่อนกว่า เด็กชายพลันก้าวถอยหลังและตอบโต้ด้วยความรำคาญ “ทำไมข้าต้องบอกเจ้าด้วย? เจ้าเป็นใครกัน?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงหน้าของเด็กหญิงก็แดงก่ำขึ้นชั่วขณะ ทว่านางก็อดกลั้นมันเอาไว้และเอ่ยว่า “ข้าชื่อชุยอวี้ พวกเจ้ากำลังมุ่งหน้าไปเข้าร่วมการทดสอบของสำนักเฉาหยางหรือ?”

ทันทีที่หลิงเซี่ยได้ยินชื่อนั้น ศีรษะของเขาก็บวมขึ้นจากความคิดสับสนทันที! ทำไมคุณหนูผู้สูงส่งเย่อหยิ่งนี่ถึงได้มาปรากฏตัวขึ้นตอนนี้?

ใช่แล้ว ชุยอวี้คือสมาชิกฮาเร็มของตัวเอก และหากไม่นับว่าพื้นเพของนางยิ่งใหญ่แค่ไหน สิ่งที่ทำให้เธอโดดเด่นในบรรดาสมาชิกฮาเร็มนั้นก็คือรักแรกของสตรีเจ้าเล่ห์ ไร้มารยาทและเอาแต่ใจนี่คือตัวร้าย!

ยิ่งไปกว่านั้น นางคือคนประเภทที่ว่ายิ่งโดนสบประมาทแค่ไหนก็ยิ่งรู้สึกกระตือรือร้นเท่านั้น และแม้ว่าสุดท้ายแล้วเธอจะติดตามตัวเอกไป หลิงเซี่ยรู้สึกว่าคนที่นางยังคงรักมากที่สุดในใจก็ยังคงเป็นตัวร้ายอยู่ดี ในตอนนั้น เขารู้สึกไม่พอใจและหงุดหงิดกับความเปลี่ยนแปลงของเรื่องราวมาก เขาไม่รู้สึกชอบสตรีหัวแข็ง รุนแรง และเจ้าเล่ห์อย่างคุณหนูผู้ร่ำรวยคนนี้เลยแม้แต่น้อย แถมวิธีการที่นางตกหลุมรักตัวเอกยังดูไม่เป็นธรรมชาติเลยแม้แต่น้อยด้วย รู้ไหม?

แต่มันไม่มีอะไรที่เขาจะทำได้แม้เจ้านักแต่งน่าอนาถนั่นจะทำเพียงโยนนางไปหาตัวเอกซะเฉยๆ เชี่ยเอ้ย!

ทว่าเมื่อดูจากรักสามเส้าที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อหน้าเขา หลิงเซี่ยก็เกิดความรู้สึกที่อยากจะหัวเราะออกมาดังๆ อย่างอธิบายไม่ถูก นี่มันแค่เด็กประถมสามคนกำลังเล่นอะไรแบบ ‘ฉันชอบนาย ดังนั้นนายต้องเล่นกับฉัน’ แบบนั้นน่ะ รู้ใช่ไหม?

อวี้จื้อเจี่ยตีซ่งเสี่ยวหูอย่างหมดความอดทน “รีบๆ มานี่ได้แล้ว เรายังต้องหาวิธีข้ามไปอีก”

เขามีเพียงความรู้สึกรังเกียจและขยะแขยงต่อเด็กผู้หญิงจองหองเอาแต่ใจนี่ และหลังจากรับรู้ได้ถึงสายตาของอีกฝ่ายก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกหมั่นไส้มากขึ้นไปอีก ดังนั้นแล้ว เขาจึงเข้าไปแทรกบทสนทนาของซ่งเสี่ยวหู จากนั้นจึงเดินไปหาหลิงเซี่ยและเอ่ยว่า “ไปถามอีกหน่อยเถอะ”

ชุยอวี้เห็นว่าอีกฝ่ายเมินนางอย่างสิ้นเชิง พวงแก้มของนางก็พลันแดงซ่านขึ้น ในอดีต ไม่ว่านางจะไปที่ใด ทุกคนล้วนต้อนรับนางด้วยรอยยิ้มขณะที่เร่งรีบทำตามความต้องการของนาง เมื่อใดกันที่นางเคยถูกเมินเฉยเช่นนี้?

นางจ้องมองไปยังหลิงเซี่ยด้วยความแค้นเคืองก่อนจะฟาดแส้ไปทางหลิงเซี่ยจนเกิดเสียงแหวกอากาศ “ออกไป เจ้าขวางทางข้าอยู่!”

หลิงเซี่ยตะลึง และแม้ว่าเขาจะรีบถอยหลังอย่างรวดเร็วอย่างอัตโนมัติ ทว่าหางแส้ก็ยังคงฟาดโดนใบหน้าของเขาอยู่ดี สร้างความปวดแสบปวดร้อนขึ้น แส้นั่นสร้างขึ้นจากหนังของงูวิเศษขั้นสาม ดังนั้นแม้ว่าจะถูกเหวี่ยงมาด้วยแรงของเด็กหญิง มันก็ยังคงสร้างรอยแดงเป็นปื้นตามเส้นแส้ที่ฟาดโดนอยู่ดี

เวรเอ้ย ใครบอกกันว่าเด็กผู้หญิงก็น่ารักหมดแหละ? ยายลูกคุณหนูเอาแต่ใจตรงหน้าเขานี่มันน่าขยะแขยงสุดๆ ไปเลย ไม่เห็นรึไง? นี่มันเรียกว่าไปโจมตีคนบริสุทธิ์มั่วซั่วแล้วนะรู้ไหม?

ซ่งเสี่ยวหูพลันกระโจนเข้ามาและคำรามอย่างโกรธแค้น “เจ้าทำอะไร? ทำไมเจ้าถึงโจมตีผู้อื่นโดยไร้เหตุผล?”

ดวงตาของอวี้จื้อเจี่ยเย็นชาลง ประกายโหดเหี้ยมดุดันปรากฏวูบ

ชุยอวี้มองลงมาจากที่สูงด้วยท่าทีเย่อหยิ่งแล้วเยาะเย้ย “ผู้ใดบอกให้พวกเจ้าขวางทางข้ากัน?”

หลิงเซี่ยไม่คิดจะทะเลาะกับเด็กที่อายุเท่ากับเด็กประถมสอง เขาดึงอวี้จื้อเจี่ยมาหาตัวและเริ่มเดินห่างออกไป เขาเอ่ยเร่งโดยที่ไม่ให้โอกาสตัวเอกเอ่ยแย้ง “ลืมมันไปเถอะ คิดวิธีข้ามทะเลสาบก่อน”

ใช่แล้ว เขาต้องชี้แนะซ่งเสี่ยวหูอย่างจริงจัง จะอย่างไร สิ่งที่อีกฝ่ายขาดแคลนน้อยมากที่สุดคือว่าที่สมาชิกฮาเร็ม! เพื่อที่จะทำให้ความสัมพันธ์ในอนาคตราบรื่น จะดีที่สุดถ้าไม่เอายายนี่เข้าไปด้วย…

ซ่งเสี่ยวหูเหลือบตามองชุยอวี้อย่างไม่พอใจ จากนั้นจึงเดินไปหาหลิงเซี่ยขณะที่กัดริมฝีปาก

หลิงเซี่ยลูบศีรษะราวเม่นของเด็กชายราวกับกำลังปลอบอีกฝ่าย ดึงชายเสื้อของเด็กชายและอวี้จื้อเจี่ยก่อนเตรียมตัวจากไป

“เดี๋ยว!” ชุยอวี้ตะโกนในขณะที่จ้องไปยังแผ่นหลังของอวี้จื้อเจี่ย “ข้าบอกชื่อเจ้าแล้ว แต่เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามข้า”

นางมักจะได้รับความรักจากผู้อาวุโสที่นางพบเจอ ศิษย์พี่ศิษย์น้องของนางต่างก็พยายามเอาอกเอาใจนาง ทว่าไม่มีผู้ใดมีความงามใกล้เคียงกับเด็กผู้ชายผู้นี้ ใบหน้างดงามที่เต็มไปด้วยความทระนงเย่อหยิ่ง และแม้ว่าเสื้อผ้าของอีกฝ่ายจะธรรมดามาก เขาก็ทำให้หัวใจของนางกระตุกได้ด้วยความรู้สึกที่นางไม่อาจอธิบาย

ริมฝีปากของหลิงเซี่ยกระตุก คุณไม่ควรเข้าไปยุ่งกับเด็กที่โตเร็วกว่าวัยเลยจริงๆ! ดูเหมือนยายคุณหนูผู้สูงส่งนี่ไม่คิดจะปล่อยพวกเขาไปจนกว่าพวกเขาจะบอกชื่อ

ซ่งเสี่ยวหูยังคงคิดว่าชุยอวี้พูดกับตนเอง ดังนั้นเขาจึงหมุนตัวกลับไป ตั้งตัว และตะโกนกลับ “ถ้าเจ้าขอโทษพี่ใหญ่หลิง ข้าจะบอกชื่อข้า”

“…” หลิงเซี่ยหมดคำพูด อ่า ท่านตัวเอกที่น่ารักใสซื่อของข้า ท่านกำลังเข้าใจเจตนาของสตรีผิดไปอยู่นะ…

“ขอโทษ?” ชุยอวี้เค้นเสียง แส้ของนางเหวี่ยงออกไปรวดเร็วกว่าสายลม ซ่งเสี่ยวหูกระโดดหลบไปข้างๆ อย่างอัตโนมัติ ทว่าแส้นั้นพลันปรับเปลี่ยนทิศทางกลางอากาศและพลันโอบรอบเอวของเขาเอาไว้

ก่อนที่อวี้จื่อเจี่ยและหลิงเซี่ยจะตั้งตัวติด ชุยอวี้ก็พลันเคาะส้นสูงของนางเข้ากับสีข้างอาชาซ้าย ลากซ่งเสี่ยวหูไปด้วยและกระโดดออกจากท่าเรือไปในน้ำ แรงคลื่นนั้นทำให้เรือเล็กๆ ถึงกับพลิกคว่ำ

กว่าที่หลิงเซี่ยและอวี้จื้อเจี่ยจะวิ่งไปถึงปลายท่าเรือ ชุยอวี้และอาชาซ้ายก็พุ่งออกไปราวกับลูกธนูและหยุดอยู่ห่างออกไป 2-3 เมตร ซ่งเสี่ยวหูกำลังสำลักน้ำ ไอไม่หยุดขณะที่เขาพยายามดิ้นรนให้ตัวลอยอยู่

หลิงเซี่ยรู้สึกโกรธมากและตวาดออกไป “เสี่ยวหู เจ้าเป็นอะไรไหม? คุณหนูชุยอวี้ รีบเอาเขากลับมาเร็ว!”

ดวงตาและลำคอของซ่งเสี่ยวหูเจ็บปวด ดังนั้นจึงไม่อาจเอ่ยตอบได้ในตอนนี้ มีเพียงแค่ราวกับผ่านไปชั่วกัลป์ชั่วกัลป์ที่เขาคายเอาน้ำจำนวนมากออกมา โผล่ศีรษะขึ้นเหนือน้ำและตะโกนว่า “พี่ใหญ่หลิง อาเจี่ย ข้าไม่เป็นไร!”

ชุยอวี้ลากแส้นำร่างของอีกฝ่ายเข้ามาใกล้มากขึ้นด้วยท่าทีพึงพอใจในตนเอง เธอฝึกฝนภายใต้คำสั่งสอนของผู้เป็นบิดามาตั้งแต่ยังเยาว์และแข็งแกร่งกว่าซ่งเสี่ยวหูในยามนี้มาก อาชาซ้ายที่ชาญฉลาดเข้าใจความต้องการของนางอย่างรวดเร็ว นำหางยาวของมันรัดรอบลำตัวของเด็กชายอย่างแน่นหนา

ชุยอวี้แสยะยิ้มและโบกมือไปทางตลิ่ง “ข้าจะรออยู่ที่ร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดของเมืองฉงหมิง”

 

 

 


TL: หลิงเซี่ยคนซวยที่แท้ทรู อยู่เฉยๆ ก็โดนแส้ฟาดได้