บทที่ 11:

 

 

 

หลิงเซี่ยฉวยโอกาสนี้ดึงอวี้จื้อเจี่ยและซ่งเสี่ยวหูหนีออกไปด้านนอก เวรเอ้ย ถึงเจ้าเด็กสองคนนี้ก็ฟันฝ่าอันตรายในระหว่างการเข้าร่วมสำนักเฉาหยางอยู่บ้างในนิยาย แต่มันไม่มีฉากลอบสังหารแน่ๆ ล่ะ!

เด็กชายดีดตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เขวี้ยงมีดธาตุไฟในมือของเขาไปยังทั้งสาม ทว่ามันพลาดและปักแน่นอยู่บนกำแพง ทำให้ไม้แห้งที่อยู่ใกล้ๆ ติดไฟขึ้นมา

หลิงเซี่ยเห็นภาพนั้นจากหางตาและสะดุ้งไปอย่างหวาดผวา โดยไร้ซึ่งความลังเล เขาโยนหินขนาดเท่าถังน้ำจำนวนหนึ่งไปยังร่างของเด็กชายอย่างเต็มแรงเพื่อที่จะขัดขวางการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย ฝนด้านนอกยังคงตก สายน้ำทำให้คนยากที่จะลืมตาได้

“หนี! อย่ามัวแต่ยืนอยู่ตรงนั้น!” หลิงเซี่ยแผดเสียง มองไปยังเด็กชายทั้งสองที่เขาลากออกมาที่ยืนนิ่งราวกับหวาดกลัว คว้าทั้งสองเตรียมจะหนีต่อ

อวี้จื้อเจี่ยพลันสะบัดมืออีกฝ่ายออก เอ่ยอย่างเย็นชา “เจ้าโง่ เจ้าจะหนีไปเพื่ออันใด?”

หลิงเซี่ยชะงักไป เพียงตอนนี้ที่ตระหนักได้ว่าอวี้จื้อเจี่ยไม่มีร่องรอยความหวาดกลัวใดๆ อยู่บนใบหน้า ในขณะที่ซ่งเสี่ยวหูที่แม้ดูจะกระวนกระวายอยู่เล็กๆ แต่ก็ไร้ซึ่งร่องรอยความหวาดกลัวเช่นกัน ในยามนี้ เขาจึงตระหนักขึ้นได้ว่าโลกใบนี้เป็นเช่นไร

ฉิบหายเอ้ย เจ้าพวกกระหายสงครามนี่มันอะไรกัน!

เด็กชายได้ออกมาถึงหน้าปากทางเข้าถ้ำพร้อมกับเค้นเสียงเย้ยหยัน “ไม่หนีแล้วหรือ? ในที่สุดก็รู้แล้วรึไงว่าหนีไม่พ้น?”

อวี้จื้อเจี่ยมองหลิงเซี่ยอย่างดูแคลน จากนั้นจึงหันกลับไปหาอีกฝ่ายแล้วเอ่ยถาม “เจ้าคือใครกันแน่? หากข้าดูไม่ผิด มีดสั้นธาตุไฟในมือเจ้าน่าจะทำขึ้นมาจากหินต้านเมฆาที่หายากนั่น กับผู้ที่สามารถครอบครองมีดเช่นนี้ได้ มีเหตุจำเป็นอันใดจึงต้องมาจู่โจมคนที่มาจากครอบครัวยากจนเช่นพวกข้า?”

เด็กชายคนนั้นแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กๆ และเก็บมีดสั้นที่งดงามนั้นกลับไปแล้วเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “สายตาของเจ้าไม่เลว และในเมื่ออีกไม่นานเจ้าก็จะตายแล้ว จะบอกให้เจ้ารู้ว่าข้าคือผู้ใดย่อมไม่เสียหาย”

เมื่อเอ่ยจบ เด็กชายก็หยิบเม็ดยาใส่ปากอย่างเชื่องช้า จากนั้น เมื่อผลของยาแปลงลักษณ์หมดลง ใบหน้าที่แสนคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้น

อวี้จื้อเจี่ยหัวเราะเสียงเย็น “ผู้ใดจะตายยังไม่แน่นอน!”

ริมฝีปากของหลิงเซี่ยกระตุก หมดสิ้นซึ่งคำพูดไปอย่างสิ้นเชิง! ในระหว่างความวุ่นวายของเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เขาได้คิดถึงความเป็นไปได้หลายอย่าง อย่างเช่นศัตรูของอวี้จื้อเจี่ยมาโผล่ถึงหน้าประตู ใครบางคนมองออกถึงความพิเศษของร่างกายของตัวเอกกับตัวร้ายแล้วรู้สึกริษยา ฯลฯ สิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดเลยแม้จะผ่านไปล้านปีก็คือเจ้าเด็กนี่คือศิษย์พี่คนนั้นของคุณหนูชุยอวี้ผู้สูงส่ง ไอ้หนูที่เกือบทำพวกเขาจมน้ำก่อนหน้านี้ ชางหยาน!

ยายเด็กนั่นอายุแค่ 10 ขวบเองนะ! ไม่ต้องพูดเลยว่าอวี้จื้อเจี่ยยังมีความสนใจในตัวนางเป็นศูนย์!! แค่เพราะเหตุผลโง่เง่าเช่นนี้ เจ้าต้องทำถึงขนาดปลอมตัวมาสังหารคนเลยหรือ?!

ชุยอวี้รออยู่ในปะรำชมเมฆาเป็นเวลานาน ทว่าศิษย์พี่ของนางมาถึงก่อน เด็กหญิงกลับไปพร้อมกับม่อไต้และคนอื่นๆ ด้วยความไม่พอใจอย่างเต็มเปี่ยม โอดครวญไปตลอดทางในขณะที่พ่นความต้องการในการขัดขวางไม่ให้อวี้จื้อเจี่ยเข้าร่วมกับสำนักเฉาหยาง ทำให้เขาติดตามนางกลับไปยังเมืองอวิ๋นเซียวและเป็นศิษย์ของบิดานาง

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชางหยานก็รู้สึกชิงชังริษยาอย่างไร้ที่สิ้นสุด ดังนั้นเมื่อเขาเห็นใครบางคนช่วยเหลือซ่งเสี่ยวหูออกมา เขาก็พลันกินยาแปลงลักษณ์และลอบตามมา กระทั่งจัดการคนที่รับหน้าที่แกะรอยคนเหล่านี้จนมาถึงที่นี่ เพราะเขตแดนที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้อาวุโสของสำนักเฉาหยาง การใช้อุปกรณ์วิเศษหรือวิชาที่ทรงพลังเกินไปจะทำให้ถูกจับได้โดยง่าย ดังนั้นจนถึงยามนี้ เขาจึงหลบซ่อนตัวและทำเพียงลอบติดตามทั้งสามจากด้านหลัง

เขาคือศิษย์หลักของผู้ปกครองเมืองอวิ๋นเซียว และแม้ว่าเขาจะไม่ได้เริ่มฝึกยุทธ์มานานนัก ความแข็งแกร่งของเขาก็ค่อนข้างจะเกินธรรมดาแล้ว ดังนั้นแล้วจึงสามารถปกปิดตนเองได้โดยที่คนทั้งสามไม่รู้ตัวว่าเขาติดตามอยู่เบื้องหลัง ฉวยโอกาสจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน เขาตัดสินใจเปิดเผยตัวและโจมตีอย่างเด็ดขาด

“เฮ้!” หลิงเซี่ยไม่มีแรงที่จะตอบสนองในสถานการณ์เช่นนี้อีกต่อไป เขาเอ่ยถามขึ้นตรงๆ “มันคงไม่ใช่เพราะศิษย์น้องเล็กของเจ้าที่ทำให้เจ้ามาอยู่ตรงนี้ใช่ไหม?”

ทันทีที่เขาเอ่ยถึงชุยอวี้ ชางหยานก็พลันหยิบเอาอาวุธวิเศษธาตุสายฟ้าของเขาออกมาจากกระเป๋ามิติและใช้กระแสไฟฟ้าจากท้องฟ้าในการส่งเส้นสายฟ้าตรงมายังพวกเขาทั้งสาม เขารู้ถึงนิสัยของศิษย์น้องเล็กของเขาเป็นอย่างดี ถ้าเขาล้มเหลวในการฆ่าสามคนนี้และนางรู้ นางย่อมเมินเขาและไม่มีวันพูดกับเขาอีกในอนาคต

ทันทีที่หลิงเซี่ยเห็นอีกฝ่ายหยิบอุปกรณ์วิเศษออกมา เขาก็นึกถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่ทะเลสาบและตะโกนออกไปในทันที “หลบ!” ขณะที่เอ่ยเตือน เขาก็หยิบหินก้อนใหญ่ขว้างไปยังร่างของชางหยาน มันได้เข้าไปขวางเส้นทางของสายฟ้าโดยบังเอิญ หินร่วงลงบนพื้นและแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วน

แรงกระโดดของทั้งอวี้จื้อเจี่ยและซ่งเสี่ยวหูต่างดีเป็นพิเศษ พวกเขากระโจนห่างออกไปในเสี้ยววินาที ผลคือพวกเขาสามคนกระจัดกระจายออกจากกัน ชางหยานชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นจึงวาดอุปกรณ์วิเศษของเขา พุ่งตรงไปหาหลิงเซี่ยอย่างรวดเร็ว ตัดสินว่าคนคนนี้ที่มีอายุมากที่สุดต้องแข็งแกร่งที่สุด ตอนที่อีกฝ่ายโจมตีเขาในถ้ำก่อนหน้านี้ เขากระเด็นไปกระแทกกำแพงอย่างรุนแรง กระทั่งตอนนี้ ปราณในร่างของเขาก็ยังคงติดขัดอยู่

หลิงเซี่ยรีบหลบ ทว่าไม่ช้าก็ถูกกดดันจนอยู่ในสภาพไม่น่ามอง เพียงแค่ก้าวพลาดเล็กน้อย เขาก็ถูกโจมตีเข้าที่สีข้างและกระแทกลงกับพื้น ร่างชาหนึบไม่อาจขยับเคลื่อนตัวได้

อวี้จื้อเจี่ยหยิบมีดยาวครึ่งฟุตที่เขาคว้าติดมือตอนที่หลบหนีออกจากตำหนักเทพมารดรออกมาจากในขากางเกงและโถมร่างตนเองไปทางชางหยานโดยไร้ซึ่งความลังเล เขาลอบเรียนรู้วิชามาบางส่วน ทว่าเขายังไม่รู้วิธีการใช้พลังวิญญาณ ชางหยานกวัดแหว่งอุปกรณ์วิเศษด้วยมือข้างหนึ่ง อีกมือหนึ่งกำมีดสั้นเอาไว้ เข้าปะทะกับอวี้จื้อเจี่ย ทุกการโจมตีแสดงให้เห็นถึงความชำนาญและประสบการณ์ที่เหนือกว่า

ซ่งเสี่ยวหูรีบฉุดร่างของหลิงเซี่ยขึ้นมา คิดจะพาอีกฝ่ายไปยังที่ปลอดภัย ทว่าร่างกายของเขายังคงเล็กเกินไป และการลากใครบางคนที่สูงกว่าเขาถึงหนึ่งช่วงศีรษะต้องใช้แรงไม่น้อย สายฟ้าเส้นหนึ่งฟาดลงที่ศีรษะของเด็กชาย ซ่งเสี่ยวหูกระตุกเฮือกก่อนที่ร่างจะทรุดล้มลง

เมื่อเห็นว่าสองในสามล้มลงแล้ว ชางหยานก็รู้สึกพึงพอใจในตนเองมาก เขาเก็บอุปกรณ์วิเศษไปพร้อมรอยยิ้มเหยียดหยาม ลากคมมีดสั้นไปกับคมดาบสั้นของอวี้จื้อเจี่ยแล้วแทงลึกลงไปในฝ่ามือของอีกฝ่าย อวี้จื้อเจี่ยส่งเสียงครางออกมา ดาบสั้นในมือหล่นลงบนพื้นพร้อมด้วยเสียง เคร้ง

ทันใดนั้น ชางหยานก็ยึดมือของอวี้จื้อเจี่ยเอาไว้กับกำแพงหินแล้วเอ่ยเยาะเย้ย “ไม่ใช่ว่าเมื่อครู่เจ้ายังทำเป็นเก่งอยู่เลยหรือ? เหตุใดตอนนี้จึงเงียบนักเล่า?” ขณะที่เขาพูด เขาก็ดันมีดให้ฝังลึกลงไปอีก มองสีหน้าเจ็บปวดของอวี้จื้อเจี่ยที่กัดริมฝีปากอย่างอดทน จากนั้นจึงดึงมีดออกมาอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าเย้ยหยัน

“เจ็บเหรอ? เจ้ายาจกไร้ความสำคัญ เจ้ากล้าชมชอบศิษย์น้องเล็กของข้าหรือ?” ชางหยานทาบคมมีดลงไปที่ลำคอของอวี้จื้อเจี่ยแล้วเค้นเสียง “ก่อนหน้าเจ้าบอกว่ามันยังไม่แน่ว่าผู้ใดจะตาย หากเป็นเช่นนั้น ยามนี้เจ้าจะบอกว่าผู้ใดกำลังจะตาย?”

สายฝนสาดลงบนใบหน้าของหลิงเซี่ยอย่างไร้ที่สิ้นสุด ร่างน่าสงสารของเขาเปียกโชก นอนนิ่งอยู่บนแอ่งโคลน แม้ว่าเขาจะขยับตัวไม่ได้ ทว่าเขาก็ยังคงสามารถได้ยินและมองเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ และทั่วทั้งร่างของเขาก็กำลังสั่นสะท้านไม่หยุดขากความเป็นกังวล

เขาอดที่จะก่นด่าตนเองที่คิดตื้นๆ ไม่ได้ เขามั่นใจได้จากการกระทำโหดเหี้ยมของชางหยานว่าอีกฝ่ายคิดจะฆ่าพวกเขาทั้งสามคนแน่ๆ…

เขาสั่งตนเองในใจไม่หยุด รีบๆ ขยับตัวแล้วลุกได้แล้ว แค่ขยับ… เขาเลื่อนสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังไปยังตัวเอก ทว่าโชคร้ายที่ตอนนี้ดวงตาของซ่งเสี่ยวหูปิดแน่น ชัดเจนว่าตอนนี้เด็กชายสลบอยู่!

อวี้จื้อเจี่ยเหลือบมองไปยังมีดสั้นที่ทาบกับลำคอ จากนั้นจึงมองไปยังชางหยานด้วยสายตามั่นคงขณะเอ่ยว่า “มันยังไม่จบ” ประกายแสงสีชาดแปลกประหลาดที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมแล่นวูบผ่านดวงตาของเด็กชาย เมื่อเห็นเช่นนั้น ชางหยานที่เป็นฝ่ายเหนือกว่าก็สมองว่างโล่งไปชั่วขณะอย่างไม่น่าเชื่อ

ภายใต้ความขุ่นเคืองโกรธแค้น หลิงเซี่ยพลันตะกายขึ้นมาจากพื้น ด้วยแรงที่เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองมี ชายหนุ่มคว้าหินขึ้นมากำมือหนึ่งและพุ่งไปด้านหน้าพร้อมกับเสียงคำรามต่ำ “มารดาเจ้าเถอะ! เด็กบ้าที่ไหนมาเล่นเป็นอาชญากรใต้ดินอยู่แบบนี้? ข้าขอเตือนเจ้า เจ้ารับผิดชอบมันไม่ไหวหรอก!”

ชางหยานผงะไปอย่างตื่นตระหนก รีบเวหี่ยงขาเตะออกไป หลิงเซี่ยเซถอยหลังไปสองสามก้าว แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น เขาก็ยังคงเขวี้ยงหินในมือของเขาออกไปสุดแรง และหนึ่งในนั้นก็กระแทกเข้าที่มุมตาขวาของชางหยาน โดยภาพรวมแล้ว ช่วงเวลาการฝึกวรยุทธ์ของชางหยานก็ยังคงน้อยนิด และสุดท้ายแล้ว เขาก็ยังคงพึ่งพาอุปกรณ์วิเศษในการป้องกันตนเอง เขายังไม่ผ่านช่วงแรกเริ่มในการฝึกร่างกาย ดังนั้นแล้วเมื่อถูกโจมตีด้วยแรงมหาศาลของหลิงเซี่ย ดวงตาของเขาก็บวมขึ้นมาในเสี้ยววินาทีขณะที่เขากุมมันด้วยมือของเขาอย่างอัตโนมัติ

ในตอนนั้นเอง ชางหยานก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นที่ช่วงท้อง ตามมาด้วยความเจ็บปวด เด็กชายชะงักนิ่ง ก้มหน้าลงมองเห็นดาบสั้นที่แทงออกมาจากท้องของเขาและดวงตาคู่หนึ่งที่จ้องมองมายังเขาด้วยสายตาเหี้ยมเกรียมโดยไม่แม้แต่จะกระพริบ

ความคิดจำนวนมากแล่นวูบผ่านสมองของเขา เมื่อครู่อีกฝ่ายเคลื่อนไหวอย่างไรกัน? เหตุใดเขาจึงไม่รู้ตัว?… แต่ก่อนหน้าที่เขาจะได้คำตอบ ดาบสั้นที่ยาวครึ่งฟุตในร่างของเขาก็บิดคว้านในร่างของเขาหลายครั้งอย่างโหดเหี้ยม ความรู้สึกเจ็บปวดทรมานนั้นกระทั่งทำให้เขาลืมที่จะหายใจ

จากนั้นอวี้จื้อเจี่ยจึงกระชากดาบสั้นกลับออกมา และในเสี้ยววินาทีที่ประกายแสงสว่างวาบ เขาก็ได้เห็นสีหน้าของอวี้จื้อเจี่ย ร่างไหลไปตามผนังหินและหอบหายใจอย่างหนักหน่วง เมื่อดวงตาของพวกเขาสบกัน ใบหน้าที่ยังคงเยาว์วัยและบอบบางอย่างมากไม่มีทั้งความดุดันหรือความอำมหิต ทว่ามันเต็มไปด้วยความลังเลและหวาดกลัวของเด็กที่หลงทาง

เสียงคำรามของฟ้าดังขึ้นอีกสองสามครั้ง และราวกับสะดุ้งตื่นขึ้นอย่างกะทันหัน อวี้จื้อเจี่ยมองลงไปยังมีดในมือของเขา ไปยังสายฝนที่ชะล้างคราบเลือด ไหลไปตามคมอาวุธและไปยังข้อมือของเขา เขาพลันปล่อยมือก่อนจะก้มศีรษะลงขณะที่มือทาบกำแพงเอาไว้พยุงตัวและเริ่มอ้วกเอาทุกอย่างในร่างออกมา

เขาปลดปล่อยความเคียดแค้นโกรธเกรี้ยวจากการเลือกปฏิบัติที่เขาได้รับมานานลงไปในดาบที่แทงออกไปเมื่อครู่ แต่ตอนนี้ สิ่งที่หลงเหลืออยู่มีเพียงแค่ความขยะแขยงที่ไร้ที่สิ้นสุด

แม้ว่าเขาจะหวาดกลัวยิ่งนัก หลิงเซี่ยก็ยังคงรีบลุกขึ้นยืน ด้วยร่างที่โซเซสั่นสะท้าน อุ้มร่างของซ่งเสี่ยวหูกลับไปยังถ้ำ หลังจากที่ตรวจสอบลมหายใจและการเต้นของหัวใจของเด็กชายแล้วจึงรู้สึกโล่งอก และแม้ว่าร่าของเขาจะยังคงสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม เขาก็ยังคงเดินออกไปด้านนอกโดยไม่หยุดคิด

ตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้ เขาเคยเห็นคนตายเพียงแค่สามครั้งเท่านั้น ครั้งแรกคือปู่ของเขาที่เสียชีวิตไป ตอนนั้นเขายังคงเป็นเด็ก เมื่อเห็นชายชราที่นอนอยู่บนเตียงหยุดหายใจ เขาก็ทำได้เพียงเอ่ยถามแม่ของเขาที่ร้องไห้ไม่หยุดอย่างไม่รู้ความ “เกิดอะไรขึ้นกับคุณปู่เหรอครับ?”

ครั้งที่สองคือบนถนน ครั้งแรกที่เขาเห็นร่างเละเทะที่ถูกนำออกมาจากซากรถโดยตำรวจ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความสงสาร

ครั้งสุดท้ายคือตอนที่เด็กสาวที่เขาแอบรักจมน้ำ ตอนนั้นเขาอายุแค่ 16 ปี และเมื่อเขาเห็นศพของเธอที่งานศพ เขาก็ร้องไห้จนเกือบเป็นลม หากไม่ได้เพื่อนร่วมห้องสองคนคอยพยุงเอาไว้ เขาคงล้มลงไปกับพื้นแล้ว

ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นคนโดนฆ่าด้วยตาตนเอง และความหวาดกลัวที่ไม่อาจอธิบายได้นี้คือความจริง ไม่ใช่ฉากจากในหนังสือ นี่คือความเป็นจริงอันโหดร้ายในการมองภาพชีวิตที่ปลิดปลิวไปต่อหน้าต่อตาเขา!

ทว่าในทางแยกนี้ เขารู้ว่าเขาไม่อาจละทิ้งอวี้จื้อเจี่ยไป ไม่อาจปล่อยให้เด็กชายอยู่คนเดียวได้…

“นี่มันก็แค่การป้องกันตัวเอง ไม่งั้นตอนนี้พวกเราคงเป็นฝ่ายที่ตายแทน…” หลิงเซี่ยพึมพำกับตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า พยายามอย่างถึงที่สุดในการทำให้ทุกย่างก้าวดูมั่นคงและเด็ดเดี่ยวด้วยแรงที่มากกว่าเดิม

ก่อนหน้านี้ คำพูดทั้งหมดของเขาเกี่ยวกับการช่วยเหลือตัวร้ายนั้นเป็นเพียงแค่การเยียวยาจิตใจรูปแบบหนึ่งที่ตอบสนองในการข้ามมายังโลกใบนี้โดยไม่ทันตั้งตัว จนกระทั่งถึงตอนนี้ที่เขาเห็นสีหน้าใจสลายบนใบหน้าของอวี้จื้อเจี่ย ชายหนุ่มจึงตระหนักได้และคิดอย่างจริงจังขึ้นมา:

เขาต้องปกป้องเด็กคนนี้!

 

 


TL: แง อาเจี่ยลูกกก เข้มแข็งเอาไว้นะ