บทที่ 280 การสอบสวนที่น่าพอใจ

จูอี้ฉวินค่อนข้างที่จะหวาดกลัว หลังจากที่โดนจับกุมโดยเย่เฟิง แต่ยังคงกัดฟันพลางพูดตอกหน้า “อย่าได้คิดทำร้ายผู้คนกันเชียว อ๊า ระวังเถอะฉันจะแจ้งจับแก!”

“จับยังไงกัน ไม่ยอมรับว่าส่งคนไปก่อกวนที่ศูนย์การแสดงสินค้างั้นหรอฮะ?”

เย่เฟิงพลันแค่นเสียงเบาๆ

“แกพูดอะไรกัน ฉันไม่เข้าใจเลย!”

จูอี้ฉวินแน่นอนว่าจะไม่ยอมรับมันออกไป มิฉะนั้นแล้วไม่ถือว่าเป็นการฆ่าตัวตายหรอ?

ช่างโชคร้ายนัก กล้าที่จะมาต่อต้านต่อหน้าเย่เฟิงมันช่างเป็นความพยายามที่สูญเปล่า กล้าที่จะไม่ยอมรับงั้นหรอ? เมื่อใดที่ถูกสะกดจิตแล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็จะบอกกล่าวออกมาอย่างว่านอนสอนง่าย แต่มันอาจเป็นไปได้ที่จะทำให้สมองเสียหายได้ ฉะนั้นมันก็เป็นเรื่องที่เสี่ยงด้วยเช่นกัน

เมื่อยามที่สะกดจิตแล้วและบังคับให้ฝ่ายตรงข้ามพูดมากเท่าไหร่ความเสียหายของสมองก็ได้รับมากเท่านั้นจนถึงขั้นที่อีกฝ่ายอาจจะพูดไม่ได้อีกเลย ยกตัวอย่างเช่นเซี่ยหมินและเซี่ยเฉิงเย่ที่ยอมบอกความผิดของตัวเองตั้งแต่แรกในระหว่างพิจารณาคดีหลังจากนั้นทั้งสองคนก็ตื่นขึ้นมาโดยมีความสับสนเพียงเล็กน้อย

[คั่นหนังสือ : สำหรับผู้อ่านที่จำไม่ได้ครับ เซี่ยหมินคือเมียใหม่ของพ่อซูเหมิงหาน และ เซี่ยเฉิงเย่คือน้องชายของเซี่ยหมินที่พาพวกทหารมาเล่นเย่เฟิงครับ ]

ถ้าต้องการที่จะถามเรื่องที่ไม่สำคัญ การบาดเจ็บของสมองที่จะได้รับเป็นเพียงขั้นต่ำสุด ยกตัวอย่างเช่นที่ภูเขาฉางไป่ ตอนนั้นที่เย่เฟิงสะกดจิตหลงหวางเอ๋อกล่าวถามเรื่องอดีตระหว่างตระกูลเย่และตระกูลหลงและทำให้ได้รู้เรื่องราวของยุทธภพ แน่นอนว่าหลงหวางเอ๋อไม่ได้ต่อต้าน ดังนั้นทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร

“เดิน”

เย่เฟิงพลันอุ้มจูอี้ฉวิน เขาคร้านที่จะพูดคุยกับตาแก่ผู้นี้ สิ่งแรกควรจะพามันไปให้หลินชื่อฉิงเป็นคนจัดการแน่นอนว่าจะต้องช่วยสะกดจิตในเวลาที่เหมาะสมเพื่อทำให้เธอได้บันทึกเสียงเก็บไว้เป็นหลักฐานแค่นั้นก็โอเค

ตัวจูอี้ฉวินที่หนักถึง 170-180 จิน กลับถูกอุ้มแบกราวกับไก่อยู่ภายในมือเย่เฟิง พวกเขาก็หันกลับไปยังสถานที่ตั้งของศูนย์การแสดงสินค้า

เนื่องจากไม่อยากที่จะเป็นจุดสนใจ เย่เฟิงจึงเข้าจากประตูด้านข้างและไปยังอาคารแรกของศูนย์การแสดงสินค้าอย่างรวดเร็วซึ่งหลินชื่อฉิงได้กำลังรออยู่ที่นั่น

“เอ๊ะ ทำไมจับได้เร็วจัง?”

หลินชื่อฉิงยืนอยู่ที่โถงประชุมเด่นสง่าด้วยรูปร่างอันเซ็กซี่ของตัวเธอที่ดึงดูดความสนใจทางเพศ เสื้อคอวีที่ปกปิดปทุมถันคู่นั้นแทบไม่มิดจนมองเห็นอย่างเต็มตาทำให้เย่เฟิงอดไม่ได้ที่จะต้องกลืนน้ำลาย

ช่างยั่วยวนใจเกินไปแล้ว

“ไม่จำเป็นต้องทำอะไรทั้งนั้น เข้ามาถามเขาได้เลย”

เย่เฟิงก็โยนจูอี้ฉวินไปกลางห้องโถงประชุม จากนั้นก็นั่งอย่างสบายใจที่โซฟาใกล้ๆ และชื่นชมรูปลักษณ์อันอรชรและสัดส่วนที่งดงาม สาวสวยด้านหน้านี้จะไม่ดูก็น่าเสียดาย อย่างไรก็ตามเขาในตอนนี้ก็ไม่รู้จะทำอะไรดี

หลินชื่อฉิงได้เรียกประธานของเหล่าบริษัทเครื่องประดับและร่วมถึงผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมแต่ได้พยายามเติมเต็มบูธที่ว่างเปล่าทันก่อนคืนนี้ทำให้มีส่วนร่วมอย่างเต็มที่

แท้จริงแล้วไม่สามารถกล่าวโทษตำหนิการเตรียมการของหลินชื่อฉิงได้เลย เนื่องจากความจริงที่ว่าก่อนงานแสดงสินค้าจะเริ่ม บริษัทอื่นๆที่ต่างบอกว่าจะเข้าร่วม ก็ได้ลงสัญญาว่าจะไม่ยกเลิกสัญญาใดๆทั้งนั้น

แต่ไม่คาดคิดเลยว่าพวกเขาจะไม่มาในช่วงสุดท้ายเช่นนี้!

เรื่องนี้พูดได้เลยว่าหลินเหรินเทียนและจูอี้ฉวินและคนอื่นที่ชั่วร้ายต่างเป็นพวกสับปลับเล่นไม่ซื่อ แต่สุดท้ายหลินชื่อฉิงก็ได้รับโทรศัพท์จากอีกฝ่ายว่ามีเอกฉันท์อาจจะมาเข้าร่วมด้วยในวันพรุ่งนี้หรือวันมะรืนนี้

คิดจะมาสับปลับกันง่ายๆเช่นนี้หรือ?

เมื่อไม่ยอมมาตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องมาแล้ว! หลินชื่อฉิงจึงคิดให้บริษัทอื่นยึดบูธของพวกเขาเป็นการดีที่สุด ในเมื่ออีกฝ่ายผิดสัญญาก่อน เธอไม่สามารถที่จะมาพูดคุยได้ถึงจรรยาบรรณทางธุรกิจเลย

เมื่อเห็นเย่เฟิงได้พาจูอี้ฉวินมาแล้ว หลินชื่อฉิงก็เตรียมที่จะตัดสายโทรศัพท์ เตรียมจัดการเรื่องตรงหน้าก่อน

“คุณชายจู ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

หลินชื่อฉิงยกยิ้มเดินไปยังด้านข้างเย่เฟิงและนั่งลงพลางจ้องมองหน้าจูอี้ฉวิน

เย่เฟิงอดไม่ได้ที่จะสติหลุดลอยออกไปเล็กน้อย เมื่อกลิ่นหอมรัญจวนใจกระพือมาจากด้านข้าง แต่เมื่อรู้ว่าในตอนนี้กำลังจัดการเรื่องสำคัญอยู่จากนั้นก็จ้องมองไปยังดวงตาของจูอี้ฉวินพลางสะกดจิตเขาอย่างเงียบๆ

“พี่หลิน ถามเขาไปตามตรงได้เลย ผมจัดการเขาเรียบร้อยแล้ว เขาจะตอบคำถามอย่างแน่นอน”

เย่เฟิงเกรงกลัวว่าหลินชื่อฉิงจะชวนฝ่ายตรงข้ามคุยไม่หยุดจึงกล่าวเตือนเอาไว้ก่อน

“หื้ม?”

หลินชื่อฉิงค่อนข้างประหลาดใจ จูอี้ฉวินคนนี้นะหรือที่จะให้ความร่วมมือกัน?

เมื่อเห็นจูอี้ฉวินที่เธอทักทายไปแล้วก็ไม่ได้มีการโต้ตอบอะไร ซึ่งเธอที่รักษาท่าทางเอาไว้อยู่ก็คิดจะลองถามจูอี้ฉวินดู “พวกคนชุดดำเหล่านั้นเป็นคุณจ้างมาใช่หรือไม่?”

.”

“ใช่แล้ว”

จูอี้ฉวินตอบตามความจริงท่าทางของเขานอบน้อมอย่างยิ่ง แลดูช่างไม่เข้ากับตัวตนและไฝอันเม็ดใหญ่อันอัปลักษณ์ที่จมูกเลย

เมื่อหลินชื่อฉิงได้ยินก็พลันประหลาดใจ จูอี้ฉวินคนนี้ตอบตามตรงจริงๆเลยงั้นหรือ?

“ผมพูดถูกใช่ไหมล่ะ พี่หลินถามตามสบายเลย”

เย่เฟิงยกยิ้มขึ้น

“พี่ไม่รู้เลยว่าเราใช้คาถาอะไรกัน”

หลินชื่อฉิงยิ้มให้พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล กลิ่นหอมรัญจวนใจพัดผ่านมาจนทำให้เย่เฟิงรู้สึกคันยิบๆ

ไม่นานหลินชื่อฉิงก็เพิ่งเคยรู้สึกพอใจกับการสอบสวนแบบนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต ไม่คาดคิดเลยว่าจะถามคำถามอะไรจูอี้ฉวินเขาก็ตอบมันหมดทุกสิ่ง ไม่ปกปิดมันแม้แต่นิดเดียว! แม้แต่หลินเหรินเทียนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ก็ยังพูดออกมา!

หลินชื่อฉิงรู้สึกสงสัย ไม่ว่าจะคำถามอีกฝ่ายมากมายแค่ไหนอีกฝ่ายก็ไม่มีความหวาดกลัวแถมยังคงตอบอย่างนอบน้อม อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ มันช่างลึกลับเกินไปแล้ว เย่เฟิงเขาทำอะไรไปกันแน่? เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจูอี้ฉวินคนนี้จะกลับตัวกลับใจจนแทบบรรลุนิพพานเช่นนี้

เมื่อเห็นหลินชื่อฉิงถามคำถามอีกฝ่ายหมดแล้วและเสียงพูดคุยของทั้งสองก็ต่างถูกบันทึกเก็บไว้แล้ว เย่เฟิงก็ถอนการสะกดจิตออกอย่างเงียบๆ

จูอี้ฉวินพลันฟื้นสติขึ้น เหงื่ออันเย็นเยียบต่างหลั่งไหลลงมาอย่างกะทันหัน มองไปยังฝั่งตรงข้ามที่มีหลินชื่อฉิงและเย่เฟิงนั่งอยู่ เขาจำได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ แต่มันคลุมเครือราวกับความฝันและข้อตกลงระหว่างหลินเหรินเทียนทั้งหมดเขาก็สารภาพมันออกไป

ทำไมเขาถึงพูดออกไปเช่นนั้นกัน?

“ขอบคุณในความร่วมมือมากคุณชายจู”

หลินชื่อฉิงก็หยิบเอาโทรศัพท์ที่บันทึกเสียงไปพลางยิ้มอย่างมีความสุข เกี่ยวกับพฤติกรรมทางการค้าที่ไม่โปร่งใสที่ลำบากใจต่อสถานที่สาธารณะ จะว่าเรื่องใหญ่ก็ใหญ่แต่จะบอกว่าเรื่องก็มันก็ไม่เล็กเลย

ถ้ากลุ่มคนที่ถือท่อนเหล็กพวกนั้นทำลายคนธรมดาจนบาดเจ็บแล้วล่ะก็ ผลลัพธ์มันอาจจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ แต่โชคดีที่ได้เย่เฟิงกอบกู้ไว้ทันเวลา

ดังนั้นถ้าต้องการร้องเรียนจริงเพียงอิทธิพลของตระกูลหลินก็คงทำให้จูอี้ฉวินติดคุกได้อย่างง่ายดายและถูกยึดทรัพย์สินทั้งหมดไป อันที่จริงแล้วจูอี้ฉวินทำได้แค่เพียงร้องขอเทปบันทึกเสียง การเผชิญหน้ากับตระกูลหลินตัวเขาจะหนีไปไหนได้? นอกเหนือจากนี้มันเป็นเขาที่ทำผิด

ถ้าหากเขาไม่เปิดโปงหลินเหรินเทียน บางทีหลินเหรินเทียนอาจจะช่วยเขาในชั้นศาล หลังจากที่ได้ช่วยเขาทำงานทั้งหมด แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ หลินเหรินเทียนไม่ฆ่าเขาก็ถือว่าดีแล้ว

“แกไปได้แล้ว”

เย่เฟิงกล่าวเบาๆกับจูอี้ฉวิน

จูอี้ฉวินหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ ลุกขึ้นอย่างไม่เต็มใจ พาร่างตัวเองออกไปจากประตู ทันใดนั้นก็ถูกควบคุมตัวโดยลูกน้องสองคนของหน้าบาก พวกเขาทั้งสองเพียงอยู่แต่ข้างนอกและเฝ้ารอตำรวจมาเพื่อสอบสวน ไม่ทราบเกี่ยวกับเรื่องของเย่เฟิงเลย

“พี่หลิน หลินเหรินเทียนช่างเป็นลุงชั้นเยี่ยมจริงๆ พี่วางแผนจะจัดการโต้ตอบเช่นไรดี?”

เย่เฟิงส่ายหัวพลางกล่าวถาม

หลินเหรินเทียนผู้นั้นได้จ้างคนนอกเพื่อมาจัดการกับคนในครอบครัวตัวเองอย่างไม่คาดคิดมันเพียงพอที่จะสร้างความเสียหาย บางทีแม้แต่ความสามารถหลินชื่อฉิงในตอนนี้ก็ไม่มีหนทางที่จะไปสู้จิ้งจอกเฒ่าผู้นั้นได้

“แม้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ พี่ก็ไม่ต้องการที่จะสร้างปัญหา อย่างไรก็ตาม ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า*”

[คั่นหนังสือ : 这次就算了吧 / ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า = เรื่องราวในครอบครัวไม่ควรแพร่งพรายออกข้างนอก]

ภายในใจหลินชื่อฉิงรู้สึกไม่สบายใจพลางกล่าวเบาๆ

“เรื่องที่เราต้องการให้ช่วยเหลือ พี่จะจัดการให้”

เย่เฟิงแสดงรอยยิ้มอ่อนโยนให้ เรื่องที่หลินชื่อฉิงต้องช่วยเหลือเขามันคงจะยุ่งยากเป็นแน่ ดังนั้นเขาเป็นธรรมดาที่จะต้องตอบแทน ดูเหมือนว่าหน่วย NSA ที่จับกุมหลงโม่หรันเอาไว้อีกไม่นานก็คงปล่อยตัวออกมาแล้ว เรื่องนี้ถือเป็นหนี้ที่ติดค้างหลินชื่อฉิง

“อืม แต่พี่สาวคนนี้ไม่ได้ใจกว้างเหมือนเราหรอกนะ”

เมื่อหลินชื่อฉิงเห็นเย่เฟิงแสดงออกอย่างจริงใจก็พลันรู้สึกซาบซึ้งใจ

หากไม่ใช่เรื่องของไซ่เชาหง บางทีเหตุการณ์ในครั้งนี้เขาอาจจะไม่ได้มายืนอยู่ข้างหลินชื่อฉิงแล้ว แต่หลังจากเรื่องการแข่งขันของหลินเหรินเทียนคราวนี้ ด้วยอิทธิพลที่แท้จริงของตระกูลหลินจะต้องส่งคนออกมาจัดการแน่

เนื่องจากเรื่องนี้เองที่ทำให้เธออยากจะคว้าเย่เฟิงมาจูบสักทีหนึ่ง แต่ก็อดกลั้นเอาไว้ อย่างไรก็ตามถ้าสาวสวยพวกนั้นเห็นเข้าอาจจะมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นได้

……………………………..

แปลโดย คั่นหนังสือ GSI